จบกันไปอีกเรื่องหนึ่งสำหรับมังงะยอดนิยมอย่าง ‘มหาเวทย์ผนึกมาร (Jujutsu Kaisen)’ ที่ตอนจบนั้นเสียงส่วนใหญ่มักเอนเอียงไปทางบ่นกันซะมากกว่า ว่าจบแย่หรือจบได้จืดชืดมาก (ผมก็หนึ่งในนั้นนะ) ยิ่งหลังจากบทสรุปการต่อสู้กับสุคุนะ แล้วมีเวลาเหลือให้เล่าเรื่องอีกแค่ 3 ตอนเท่านั้น ทำให้อาจารย์เกเกะ อาคุตามิ อาจารย์ผู้เขียนไม่สามารถที่จะเล่าปมที่ยังเหลืออยู่ในเรื่องให้ผู้อ่านอย่างเราสามารถเคลียร์ปมบทสรุปได้ทั้งหมด แล้วปมที่ว่ามีอะไรกันบ้างนะ เดี๋ยวบทความนี้ผมจะพาไปดูสิ่งที่ยังเหลืออยู่ของอาจารย์เกเกะกันว่ามีอะไรบ้าง ?

คำเตือน : มีเนื้อหาสปอยล์ในมังงะจนถึงตอนที่ 271 (ตอนจบ)


ทำไมไม่พูดถึงศพของ ‘โกะโจ ซาโตรุ’

โกะโจ ซาโตรุ ถือเป็นอีกหนึ่ง ‘ตัวละครหลัก’ ไม่ว่าจะเป็นนักไสยเวทที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคปัจจุบัน หรือพลังอาคมที่เข้าข่ายคำว่าขี้โกงเพราะดวงตาริคุกัน หรือความหล่อที่เรียกได้ว่าเกินหน้าเกินตาตัวละครอื่นไปมาก และยิ่งในศึกสุดท้ายเขายังมีตอนที่ต่อสู้ตัวต่อตัวกับราชาคำสาปอย่าง ‘เรียวเมนสุคุนะ’ มากถึง 14 ตอน (มังงะเล่มที่ 25 – 26 ตอนที่ 223 – 236) จึงสามารถบอกได้เลยว่าโกะโจเป็นหนึ่งในตัวละครที่ส่งผลต่อการดำเนินเรื่องสูงมาก ทว่าบทของเขากลับถูกตัดออกไปแบบงง ๆ พร้อมกับตัวของเขาที่ขาดครึ่งจนเป็นกระแสหนักมากในโลกโซเชียล

แต่ที่ไม่เข้าใจที่สุดก็คือ ทำไมอาจารย์เกเกะถึงเลือกที่จะไม่พูดถึงโกะโจเลยสักนิด โดยเฉพาะในช่วงหลังจบศึกไปแล้ว ว่าศพหรือร่างกายของโกะโจถูกนำไปทำอะไรต่อ มีการจัดงานศพให้อย่างสมเกียรติเหมือนที่ใช้งานตัวละครมาอย่างหนักหน่วงมั้ยนะ ? โดยส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างไม่โอเคตรงจุดนี้มาก เพราะคิดว่าตัวละครที่เป็นคนดำเนินเรื่องหลักควรจะได้รับสิ่งที่เหมาะสมกับการตายของเขามากกว่านี้นะ แต่ในขณะที่ตัวประกอบอื่น ๆ ในเรื่องกลับได้รับการเล่าเรื่องราวหลังจากนั้นกันต่อแทบทุกคน รวมถึงการที่เมงุมิไปเยี่ยม ‘หลุมศพ’ ของสึมิคิด้วย

หน้าปกมังงะมหาเวทย์ผนึกมารเล่มที่ 26

ถึงอาจารย์เกเกะจะเคยให้สัมภาษณ์ว่า ความหมายที่ต้องการสื่อของหน้าปกในมังงะเล่มที่ 26 ที่โกะโจขึ้นปกอีกรอบ พร้อมกับจบเล่มลงด้วยความตายของเขา ในหน้าปกนั้นคือ ‘งานศพ’ ของโกะโจนั่นเอง อาจจะเป็นสิ่งที่อาจารย์แกต้องการจะสื่อเข้ามาเพิ่มเติมก็ได้ ว่าเรื่องราวหลังจากนั้นของโกะโจเป็นยังไงบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็ไม่โอเคอยู่ดีนะที่ไม่ยอมพูดถึงในเนื้อเรื่องหลัก แต่กลับเอามาใช้ในหน้าปกแทน


พลังที่ยังไม่เปิดเผยของ ‘เรียวเมนสุคุนะ’

ในศึกสุดท้ายที่ทุกคนเข้าไปรุมสู้กับเรียวเมนสุคุนะ เรียกได้ว่าสุคุนะแทบจะต้องงัดทุกอย่างที่มีออกมาใช้เพื่อรับมือกับแผนการที่ทีมโรงเรียนไสยเวทเตรียมมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการกางอาณาเขตของฮิกุรุมะ, การซุ่มโจมตีของมาคิ, การวางแผนซ้อนแผนของยูตะ และแผนการอีกเพียบเพื่อจบชีวิตของราชาคำสาปให้ได้ ถึงแม้สุคุนะมักจะโดนล้อว่า ‘ยังไม่เอาจริง’ ก็ตาม แต่ส่วนตัวผมมองว่าสุคุนะงัดเอาทุกอย่างที่มีมาใช้หมดในจังหวะนั้นแล้ว

ทว่าถึงจะบอกว่างัดมาใช้ทั้งหมดในการต่อสู้นั้น แต่ยังไม่ถือว่าเป็นทั้งหมดของสุคุนะซะทีเดียว เพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่อาจารย์เกเกะเคยวางเรื่องราวเกี่ยวกับพลังของสุคุนะเอาไว้กลับยังไม่ถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด โดยคิดว่าที่ทุกคนอยากรู้ที่สุดเลยก็คือ…

  1. อาวุธชิ้นสุดท้าย ‘นภาหกเหิน’ ที่มีรูปร่างเป็นตรีศูรของสุคุนะ ถูกเปิดเผยมาตั้งแต่มังงะตอนที่ 117 ในหน้าปกสี่สีรูปร่างเดิมของสุคุนะในยุคเฮย์อันกำลังถืออาวุธสองมืออยู่ โดยอาวุธอีกอันถูกนำออกมาใช้ในการต่อสู้กับคาชิโมะ ฮาจิเมะ และถูกฮิกุรุมะ ฮิโรมิ ยึดไปด้วยความสามารถกางอาณาเขตเป็นที่เรียบร้อย
  2. เงื่อนไขในการใช้ ‘ฟูกะ’ แบบละเอียด รวมถึงคำพูดของสุคุนะที่เคยพูดกับโจโกะว่าตนนั้นคิดว่า ทุกคนในยุคสมัยปัจจุบันน่าจะรู้รายละเอียดพลังนี้ของตนกันหมดแล้ว ทว่าหลังจากนั้นกลับมีการบอกแค่เพียงเงื่อนไขในการเปิดใช้ ต้องใช้อาคมตัดทั้ง ฮาชิและไคก่อนจึงจะใช้ฟูกะได้ แต่คำถามสำคัญคือ แล้วทำไมสุคุนะถึงใช้ ‘พลังไฟ’ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาคมต้นกำเนิดได้กันนะ ?
  3. ‘เทวดาตกสวรรค์’ ที่นางฟ้าเคยยกมาพูดถึงสุคุนะว่าเป็นพวกเดียวกับตนเองในตอนที่จะให้ความร่วมมือกับพวกยูจิ ทว่าหลังจากนั้นกลับไม่มีการพูดถึงอีกเลยว่าจริง ๆ แล้ว เทวดาตกสวรรค์เนี่ยมันคืออะไรกันแน่ เกี่ยวข้องอะไรกับการที่กลายเป็นวิญญาณสิงร่างแล้วงอกปากออกมาจากร่างคนสิงได้มั้ยนะ ?
  4. ทำไมถึงกลายเป็น ‘ราชาคำสาป’ ได้ ทั้งร่างกายที่มีสี่แขนสองปากผิดปกติจากมนุษย์ทั่วไป และการกลายสภาพเป็นอย่างนั้นเริ่มต้นจากอะไร ?
  5. ขั้นตอนในการแบ่งวิญญาณลง ‘นิ้วต้องสาป’ ทั้ง 20 นิ้วของเรียวเมนสุคุนะ ที่ทำให้แม้จะโดนผนึกเอาไว้กว่าพันปีแต่เมื่อมีคนรับเอาวิญญาณเข้าไปในร่างก็สามารถฟื้นคืนกลับมาได้ในยุคปัจจุบัน แล้ววิธีการนั้นคืออะไรกันแน่นะ ?

อดีตของเรียวเมนสุคุนะ ในยุค ‘เฮย์อัน’

ในตอนสุดท้ายได้มีการพูดถึงทางเลือกของสุคุนะ พร้อมกับต้นกำเนิดที่ทำให้ตัวเขาตัดสินใจเลือกเดินทางในเส้นทางของ ‘คำสาป’ ว่ามาจากการโดนกระทำในอดีตและต้องการล้างแค้นมนุษย์ทุกคน ทว่าอาจารย์เกเกะกลับไม่คิดจะเล่าเรื่อง ‘อดีตในยุคเฮย์อัน’ ของสุคุนะให้คนอ่านอย่างเรารับรู้เลยสักนิด ถึงสิ่งที่สุคุนะโดนกระทำมาว่ามันหนักหนาถึงเพียงไหน เพื่อให้นักอ่านอย่างเราสามารถเข้าถึงตัวละคร หรือเห็นใจสุคุนะมากกว่านี้ (เช่น อาคาสะ ในดาบพิฆาตอสูร)

ยิ่งกว่านั้นยังมีการใส่ตัวละครผู้ช่วยมือขวาของสุคุนะอย่าง ‘อุราอุเมะ’ เข้ามาเพิ่มอีกด้วย ตามติดตั้งแต่ยุคเฮย์อันจนมาถึงยุคปัจจุบันที่ผ่านมาเป็นพันปีก็ยังคงรับใช้สุคุนะอยู่ แต่อาจารย์กลับไม่เล่าประวัติที่ผ่านมาว่าทำไมอุราอุเมะถึงซื่อสัตย์ได้ขนาดนี้ สุคุนะไปช่วยเหลืออะไรในตอนเด็กกันนะ ? รวมถึงยังตัดฉากการต่อสู้กับฮาคาริออกไปจนไม่ได้เห็นพลังที่แท้จริงอะไรสักอย่างของอุราอุเมะเลย ถือว่าเป็นอีกตัวละครที่ค่อนข้างน่าเสียดายมากเลยทีเดียว

จากนั้นในช่วงสุดท้ายที่เป็นการเล่าถึงทางแยกของสุคุนะ ยังมีการใส่ตัวละคร ‘ผู้หญิงในอดีต’ เพิ่มมาอีกคนด้วย ซึ่งเป็นใครมาจากไหน มีความเกี่ยวข้องอะไรกับสุคุนะ ก็ไม่น่าจะรู้กันอีกต่อไปจนกว่าจะถึงวันที่อาจารย์เกเกะเลือกที่จะหยิบเอาเรื่องราวของสุคุนะในยุคเฮย์อันมาเล่านั่นแหละ


เคนจาคุ ผู้วางแผนเบื้องหลังมาเป็น ‘พันปี’

อีกหนึ่งตัวละครผู้วางแผนเบื้องหลัง และแทบจะเรียกได้ว่าเป็น ‘ลาสต์บอส‘ ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ทุกอย่างตามที่วางแผนมาไว้โดยตลอดไม่ว่าจะเป็น การร่วมมือกับวิญญาณคำสาป, วางแผนอุบัติการณ์ชิบุยะ, ผู้ให้กำเนิดจรดลล้างบาง, ช่วยสุคุนะแบ่งวิญญาณลงนิ้ว, ตามหาโกะคุมงเคียวมาผนึกโกะโจ, ขโมยร่างของเกะโทที่มีอาคมควบคุมวิญญาณคำสาป, ให้กำเนิดครรภ์คำสาปรวมถึงยูจิ และแผนการอีกมากมายที่เขาเป็นคนสร้างมาตั้งแต่อดีตเมื่อพันปีที่แล้วมาโดยตลอด

เช่นเดียวกับอดีตของสุคุนะที่อาจารย์เกเกะจงใจไม่เล่าอดีต ดังนั้นแผนการของเคนจาคุแบบเรียงตามไทม์ไลน์อาจารย์เกเกะก็ไม่ได้เล่าอะไรมาให้เรารู้ด้วยเช่นกัน มาเฉลยทีละจุดเอาแทนจากเหตุการณ์ในปัจจุบัน แถมนอกจากนั้นบทสรุปยังจบไม่สมกับการที่เป็นตัวละครที่วางแผนมาอย่างยาวนานอีกด้วย เพราะคู่ต่อสู้คนสุดท้าย คือ ทาคาบะ จึงทำให้การต่อสู้กลายต่อสู้กลายเป็นการเล่นตลกแทนซะงั้น


ครอบครัวอันลึกลับของ ‘อิตาโดริ ยูจิ’

อิตาโดริ ยูจิ พระเอกของเรื่องที่แทบจะไม่มีการเล่าถึงต้นกำเนิดมาก่อน ทั้งที่ครอบครัวของเขาแท้จริงแล้วนั้นมีความสัมพันธ์ซับซ้อนมาก และหลายเหตุผลยังเป็นที่มาของพลังอาคมต้นกำเนิดในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายอีกด้วย แหละเหมือนอย่างเคย อาจารย์เกเกะเลือกที่จะพูดถึงแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น (ไม่กี่หน้าในมังงะตอนที่ 143)

  1. อิตาโดริ คาโอริ (แม่ของยูจิ) : คนสำคัญที่เป็นต้นกำเนิดพลังของยูจิ เพราะเป็นอีกหนึ่งร่างที่เคนจาคุสิงสู่โดยสังเกตที่หัวของแม่ยูจิตอนปรากฏตัวครั้งแรกจะมีรอยเย็บปะ และมารู้ทีหลังว่าเคนจาคุตั้งใจคลอดยูจิออกมากับทางพ่อของยูจิที่มีความเกี่ยวข้องกับสุคุนะ จนยูจิกลายเป็นครรภ์คำสาปที่สมบูรณ์ที่สุดตั้งแต่เคนจาคุสร้างมา ทว่าก็ยังมีความลับในพลังอาคมของคาโอริที่เคนจาคุนำมาใช้อยู่ เกี่ยวกับการต้านแรงโน้มถ่วงที่สุดท้ายแล้วอาจารย์ก็ไม่เปิดเผยอะไรออกมาอยู่ดี
  2. อิตาโดริ จิน (พ่อของยูจิ) : ถูกเฉลยว่าเป็นวิญญาณฝาแฝดของสุคุนะที่กลับชาติมาเกิดในร่างของมนุษย์ และให้กำเนิดยูจิขึ้นมา โดยหน้าตาของเขาปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในมังงะตอนที่ 143 เพียงแค่สองหน้าเท่านั้น จึงทำให้ไม่รู้เลยว่าปัจจุบันนี้เป็นยังไง ทำอะไรอยู่กันแน่ ?
  3. อิตาโดริ วาซุเกะ (ปู่ของยูจิ) : เป็นตัวละครที่โผล่มาตั้งแต่ตอนแรกและก็ตายในตอนแรกเช่นกัน ซึ่งก็เหมือนจะไม่มีอะไรเป็นแค่คุณปู่ธรรมดา ๆ ทว่าหลังจากนั้นกลับมีจังหวะโผล่มาคุยกับจิน เพื่อเตือนให้ระวังคาโอริอยู่ เหมือนจะเปิดประเด็นมาละ แต่สุดท้ายก็จบแค่นั้นไม่มีอะไรถูกเปิดเผยเกี่ยวกับปู่ของยูจิมามากกว่านั้นอีกเลย

ชิคิงามิ ‘เงาตัวที่สิบ’ ของฟุจิงิโระ เมงุมิ

ชิคิงามิ ‘สิบเงา’ ของฟุจิงุโระ เมงุมิที่ถูกเปิดเผยมาตั้งแต่ช่วงต้นเรื่องเลยว่ามีทั้งหมดสิบตัว โดยที่ชิคิงามิแต่ละตัวจะต้องถูกกำราบด้วยฝีมือของผู้ใช้ซะก่อนถึงจะนำมาใช้งานได้ ซึ่งถือเป็นกิมมิกอีกอย่างหนึ่งในเรื่องที่ทำให้เราได้รอลุ้นเลยว่า ชิคิงามิของเมงุมิจะถูกนำมาใช้ตอนไหน เป็นตัวอะไรบ้าง ? โดยที่มาของพลังอาคมนี้มาจากเรื่องราวพื้นบ้านของญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า ‘สมบัติสิบประการ’

แต่ตัวเมงุมิเองยังไม่ทันจะใช้ชิคิงามิได้ครบสิบตัว ก็ดันโดนสุคุนะยึดร่างเอาไว้ซะก่อน และถูกสุคุนะนำชิคิงามิตัวอื่น ๆ ออกมาใช้แทน (เพราะสุคุนะกำราบได้หมด) รวมถึงตัวที่แข็งแกร่งที่สุดอย่าง ‘มโหรากา’ ก็ถูกนำมาใช้เป็นตัวแปรสำคัญในการต่อสู้กับโกะโจ ซาโตรุอีกด้วย ทว่าในเงาทั้งหมดสิบตัวนั้นยังถูกนำมาใช้แบบไม่ครบตามนี้…

  1. Gyokuken – สุนัขคู่ ดำขาว
  2. Nue – นกฮูก
  3. Gama – กบ
  4. Orochi – งูยักษ์
  5. Banshō – ช้าง
  6. Datto – กระต่ายเผ่น
  7. Madoka – กวาง
  8. Kangyū – กระทิง
  9. ??? – เสือ
  10. Yatsuka-no-Tsurugi Ikaishinshō Makora – มโหรากา

โดยตัวที่ยังไม่เคยปรากฏออกมาให้เราได้เห็นหรือถูกนำเอาไปผสมที่ไหนก็คือ ‘เสือ’ นั่นเอง และคิดว่าจากนี้ก็คงจะไม่ได้เห็นอีกต่อไปเช่นกัน


‘กางอาณาเขต’ ที่ถูกโยนทิ้งภายในเรื่อง

การ ‘กางอาณาเขต’ ถือเป็นวิชาขั้นสูงสุดของนักไสยเวทที่สามารถใช้งานโดนแน่นอนแก่ทุกคนที่อยู่ในขอบเขต เป็นวิชาที่ยากจนเรียกได้ว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้ และพลังที่ได้มานั้นก็ต้องเกี่ยวข้องกับอาคมต้นกำเนิดอีกด้วย ดังนั้นการกางอาณาเขตจึงเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งกิมมิกในเรื่องที่ทำให้นักอ่านอย่างเราทำการคาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าอาณาเขตของแต่ละคนจะมีความสามารถอะไรกันบ้างนะ ?

ทว่าอาจารย์เกเกะกลับเลือกที่จะโยนอาณาเขตของตัวละครบางคนทิ้ง ยกตัวอย่างจากคนที่ถูกยืนยันแน่นอนแล้วว่าสามารถใช้กางอาณาเขตได้นะ แต่อาจารย์ไม่ยอมให้ใช้ตัดบทออกไปซะก่อน ทำให้มีหลายตัวละครที่นักอ่านอย่างเราไม่มีทางได้รู้ความสามารถที่แท้จริงของพวกเขาเหล่านั้นอีกต่อไป โดยผู้โชคร้ายมีดังนี้…

  1. วิญญาณคำสาป ฮานามิ : ในช่วงศึกกระชับมิตรระหว่างโรงเรียนโตเกียวและเกียวโตที่ฮานามิบุกเข้ามา เมื่อต่อสู้กับยูจิและโทโดได้จนถึงจุดนึง ฮานามิก็กำลังจะกางอาณาเขตใส่เพื่อจบศึก ทว่าดันเป็นจังหวะเดียวกับที่โกะโจทำลายเขตแดนได้พอดี จึงโดนตัดบทการกางอาณาเขตไปอย่างน่าเสียดาย
  2. อิชิโกริ ริว และ อุโระ ทาคาโกะ : ในโคโลนีเซนได ที่ทั้งคู่เป็นคู่ต่อสู้ให้กับอคคทสึ ยูตะ และเกิดจังหวะที่กางอาณาเขตชนกันทั้งสามคนจนเขตแดนดันกันเองและสลายหายไป จากนั้นอิชิโกริ ริว โดนสุคุนะในร่างของเมงุมิสังหารทิ้ง ส่วนอุโระ ทาคาโกะก็หนีหายไปโดยไม่มีใครได้ข่าวคราวอีกต่อไป จึงไม่มีทางได้เห็นอาณาเขตของทั้งคู่อีกแล้วว่ามีความสามารถอะไรกันแน่
  3. สึคุโมะ ยูคิ : นักไสยเวทระดับพิเศษ 1 ใน 4 คนที่มีความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดสูงที่สุด เพราะอาคมของเธอเป็นการควบคุมมวลสาร และเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ถูกปูความสามารถมายาวนานมาก เพียงแต่ตอนที่สู้จริงกับเคนจาคุนั้น ถึงจะมีการวางแผนที่จะใช้อาณาเขตเมื่อถึงคราวคับขันแล้วก็ตาม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้งัดออกมาใช้และดันโดนหลุมดำทำลายตัวเองไปพร้อมกับเคนจาคุ (ถึงจะตายคนเดียวก็เถอะ)

จากหัวข้อที่กล่าวมาจะเห็นได้ชัดเลยว่า แม้ตัวมังงะของมหาเวทย์ผนึกมารจะจบลงไปแล้ว แต่กลับมีปมอีกมากมายที่อาจารย์เกเกะไม่ได้กล่าวถึง และคิดว่าน่าจะค้างไว้แบบนี้ตลอดไปจนกว่าจะมีการสร้างภาคต่อ หรือ ภาคเสริมเพื่อเล่าเนื้อหาในมุมมองอื่นออกมา

ส่วนในเรื่องของตอนจบนั้น เอาจริง ๆ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการจบแบบ Good Ending ที่ถือว่าลงตัวทุกฝ่าย ถ้าเพิ่ม ‘เงื่อนไข’ ที่ว่าอาจารย์สามารถเคลียร์ปมต่าง ๆ ที่ผมยกมาหรือนอกเหนือจากนั้นให้หมดซะก่อน หรือพูดง่าย ๆ อาจจะต้องให้จำนวนตอนอาจารย์เพิ่มอีกหลายสิบตอนในระหว่างทางก่อนที่เนื้อหาจะไปถึงบทสรุปในตอนสุดท้าย ถ้าอาจารย์เกเกะสามารถทำได้แบบนั้นจริง ๆ บางที ‘มหาเวทย์ผนึกมาร (Jujutsu Kaisen)’ อาจจะกลายเป็นหนึ่งในเรื่องที่จบได้ดีเรื่องหนึ่งเลยก็ได้