Release Date
15/04/2022
ความยาว
84 นาที
Our score
7.0Choose or Die
จุดเด่น
- การนำเสนอพลอตหนังสยองขวัญที่เล่นกับเกมด้วยทุนที่ไม่สูงมาก แต่ก็ชดเชยด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่พอมีอะไรให้น่าชมอยู่บ้าง
จุดสังเกต
- หนังจัดในหมวดดูได้เพลิน ๆ แต่ก็ยังไม่ถือว่าดีนัก
-
บท
6.5
-
ความคิดสร้างสรรค์
8.0
-
โปรดักชัน
6.0
-
การแสดง
6.5
-
ความสนุกตามแนวหนัง
7.5
-
ความคุ้มค่าการรับชม
7.5
เรื่องย่อ: เมื่อเคย์ลาหญิงสาวจากย่านสลัมเผลอไปเล่นเกมต้องคำสาปเข้า ทำให้ต้องเผชิญกับตัวเลือกสุดโหด ถ้าไม่เลือกก็มีแต่ตาย!
แม้ ‘Choose or Die’ ผลงานของผู้กำกับชื่อไม่คุ้นอย่าง โทบี เมกินส์ (Toby Meakins) จะเดินเรื่องด้วยพล็อตที่ไม่ได้ชวนให้รู้สึกแปลกใหม่มากกับเกมคอมพิวเตอร์ต้องคำสาปที่ผู้เล่นไม่สามารถหนีพ้น ต้องเล่นให้ชนะหรือไม่ก็ตาย อาจด้วยเพราะเราผ่านหนังเกรดบีแนวนี้มาบ้างแบบดัดหลบวิธีเล่ากันอย่างละนิดละหน่อย เกี่ยวกับเกมมรณะที่มีอำนาจลึกลับควบคุมผู้เล่นให้ต้องเอาชนะไปเรื่อย ๆ
และก็ต้องยอมรับว่าแม้พลอตมันจะไม่ได้ดูใหม่แต่มันก็น่าสนใจอยู่วันยังค่ำ กับการได้ดูตัวละครเผชิญอาถรรพ์เหนือธรรมชาติที่ยากจะเข้าใจและถูกกดดันให้ต้องเล่นเกมนั้น แน่นอนว่านอกจากการเดินเรื่องแบบธริลเลอร์ที่ชวนลุ้นว่าตัวละครจะเอาตัวรอดหรือจะหาวิธีผ่านในแต่ละด่านได้อย่างไรแล้ว อีกอย่างที่ทำให้หนังแนวนี้น่าสนใจเสมอคือปมปริศนาว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งหนังส่วนมากมักจะตกม้าตายกันตรงนี้เสียส่วนใหญ่
ซึ่งข้อดีหนึ่งของหนังเรื่องนี้ก็คือ หนังมีไอเดียที่น่าสนใจในการหาที่มาที่ไปของเกม และเมื่อเฉลยที่มาที่ไปแล้วคนดูไม่รู้สึกว่าผู้สร้างแถ และดูถูกคนดูมากเกินไป รวมถึงด่านสุดท้ายของตัวเกมเป็นอะไรที่สร้างสรรค์และไม่เหมือนใครดี แม้ด้านโปรดักชันอาจไม่ได้ดูอลังการสมการรอคอย แต่แค่ไอเดียของการเล่นมันก็ชวนให้เดาได้ยากทีเดียว
สำหรับหน้าหนังนั้นได้ อาซา บัตเทอร์ฟิลด์ (Asa Butterfield) มาชูโรง โดยช่วงหลังเขาเหมือนจะมีผลงานดังแค่ซีรีส์ ‘Sex Education’ และเหตุผลในการเล่นเรื่องนี้ก็อาจแค่เพื่อช่วยให้หนังเรื่องนี้มีดาราที่มีชื่อเสียงบ้างไม่ดูเกรดต่ำจนเกินไป และอาจเพื่อให้คนดูคาดไม่ถึงกับบางฉากในหนังว่าผู้กำกับจะเอาบัตเทอร์ฟิลด์มาเล่นแบบนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าบทบาทที่บัตเทอร์ฟิลด์ได้รับนั้น แทบไม่ได้ต้องการฝีมือการแสดงอะไรมากมายเลยจะเป็นดาราคนไหนก็น่าจะเล่นได้ จึงเป็นความน่าเสียดายสำหรับแฟนคลับของเขาที่ติดตามมาตั้งแต่ ‘The Boy in the Striped Pyjamas’ (2008) ที่หนังใช้ประโยชน์จากเขาน้อยเกินไป
ตัวหลักของหนังจริง ๆ เป็นฝั่งตัวละครสาวอย่าง เคย์ลา ที่ได้นักแสดงหน้าและชื่อไม่คุ้นอย่าง ไอโอลา อีแวนส์ (Iola Evans) เสียมากกว่า เธอต้องรับบทหญิงสาวที่ตะเกียกตะกายหาชีวิตที่ดีกว่าแต่ด้วยสภาพฐานะทางบ้านที่อาศัยในแฟลตสลัมย่านค้ายาเสพติด เธอจึงเลือกได้แต่เป็นพนักงานทำความสะอาดจนวันหนึ่งได้มาพบเกมเก่าที่เพื่อนชายอย่าง ไอแซก (อาซา บัตเทอร์ฟิลด์) ไปเหมายกกระบะมา เธอเอามาเล่นเพราะไอแซกบอกว่าบางครั้งเกมเก่าพวกนี้ก็ซ่อนพวกรางวัลที่เป็นเงินไว้ ด้วยภูมิหลังตัวละครที่มีดราม่าในครอบครัวค่อนข้างมากทำให้ตัวละครนี้ดูมีชีวิตมากที่สุดไปตามระเบียบ แต่ถามว่าอีแวนส์โดดเด่นเป็นที่จดจำได้ไหม ก็ต้องตอบว่ายังไม่ได้
สิ่งที่แฟนหนังสยองขวัญอาจจะตื่นเต้นได้มากหน่อยสำหรับเรื่องนี้คือการได้เสียงของ โรเบิร์ต อิงลันด์ (Robert Englund) หรือ เฟรดดี ครูเกอร์ จากแฟรนไชส์หนังนิ้วเขมือบ ‘A Nightmare on Elm Street’ มาพากย์เสียงในตัวเกมด้วย ดังนั้นใครดูเรื่องนี้ก็แนะนำเลยว่าดูเสียงดั้งเดิมดีกว่าพากย์ไทยแน่นอน
โดยรวมหนังเรื่องนี้เป็นหนังสไตล์เกรดบีที่ทุนไม่สูงมาก แต่พยายามชดเชยด้วยความคิดสร้างสรรค์ทั้งวิธีการเล่นเกม (โดยเฉพาะด่านสุดท้าย) และที่มาที่ไปของเกม น่าเสียดายมันยังไม่โดดเด่นพอเป็นม้ามืดเหมือนอย่างหนังเรื่อง ‘Escape Room’ (2019) ที่มีปัจจัยหลาย ๆ อย่างใกล้เคียงกันได้ แต่ก็พอดูเพลินและชวนติดตามว่าหนังจะเฉลยอย่างไรพอสมควร
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส