Release Date
12/04/2022
แนว
แอ็กชัน/ดราม่า/ระทึกขวัญ
ความยาว
1 ซีซัน (12 ตอน)
เรตผู้ชม
16+ (TV-17)
ผู้กำกับ
อันกิลโฮ (Ahn Gil-ho)
Our score
7.6Happiness | 해피니스
จุดเด่น
- บทใช้ซอมบี้มาตีความใหม่เกี่ยวกับโรคระบาด และความเห็นแก่ตัวของคนได้น่าสนใจและครบทุกด้าน
- นักแสดงพระ-นางเล่นได้เข้าขามาก ๆ นักแสดงอื่น ๆ ก็เล่นได้น่าหยุมหัวมาก
- มีความโรแมนติกแทรกเล็กน้อย ตัดความขมของเรื่องได้พอสมควร
- โปรดักชัน งานภาพสวยเหมือนหนังโรง
จุดสังเกต
- เดินเรื่องช้ามาก ๆ จนเรียกว่าอืดได้เลย
- เส้นเรื่องและตัวละครเยอะมาก จนทำให้แอบสับสนและตัวละครบางตัวที่น่าจะเด่นกลับไม่เด่น
- มีตัวละครบางตัวที่ทำให้ประเด็นหลักของเรื่องเบี่ยงเบนไป ควรตัดออก
- การกระทำตัวละครบางตัวเล่นใหญ่เกินเบอร์ไปหน่อย
-
ความสมบูรณ์ของเนื้อหา
7.4
-
คุณภาพงานสร้าง
8.9
-
คุณภาพของบท / เนื้อเรื่อง
6.8
-
การตัดต่อ / การลำดับ และการดำเนินเรื่อง
7.3
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
7.5
ปีนี้คือปีแห่ง ‘K-Zombie’ หรือซอมบี้เกาหลีจริง ๆ ครับ และซีรีส์เรื่องนี้ ‘Happiness’ ก็เป็นซีรีส์อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ยอมตกขบวนซีรีส์แนวซอมบี้เกาหลีด้วยเช่นกัน อันที่จริง ใครที่เป็นคอซีรีส์เกาหลีน่าจะคุ้น ๆ อยู่แล้วแหละ เพราะสามารถหาดูได้ในหลายแพลตฟอร์ม ทั้งอ้ายฉีอี้ (iQiyi) วิว (VIU) วีทีวี (WeTV) และล่าสุดก็มาลงใน Netflix แบบรวดเดียวจบ 12 ตอนด้วย จนกลายเป็นซีรีส์ที่ติดอันดับยอดคนดู Top 10 หลังจากลงได้ไม่นาน ใครที่ถนัดแพลตฟอร์มไหน ก็สามารถหาชมได้ตามสะดวกโยธินนะครับ
แม้ตัวซีรีส์เองจะเปิดหน้าหนังว่ามีซอมบี้ แต่ผู้เขียนเองก็ต้องกาดอกจันเอาไว้ก่อนว่า อย่าคาดหวังว่าซีรีส์เรื่องนี้จะมีซอมบี้แอ็กชัน หรือแนวเอาตัวรอดจากซอมบี้ (Zombie-survival) อะไรแบบนั้นเชียวนะครับ เพราะแม้ใน Synopsis ของซีรีส์จะระบุว่ามีซอมบี้ แต่ที่จริงซอมบี้ในซีรีส์เรื่องนี้ กลับเป็นตัวแทนเรื่องราวการระบาดของโรคอุบัติใหม่ที่เรียกว่า ‘โรคคนคลั่ง’ ต่างหาก สำหรับคอหนังซอมบี้สับตีนแตก อาจรู้สึกว่าซีรีส์เรื่องนี้โคตรไม่ตรงปก
โรคคนคลั่งเกิดจากไวรัสบางอย่างที่มีสาเหตุจากยารักษาอาการปอดอักเสบ ‘เน็กซ์’ (Next) อันเป็นผลจากการวิจัยยารักษาโรคโควิด-19 เน็กซ์กลายเป็นยาผิดกฏหมายเพราะผลข้างเคียงของยาคือ คนที่กินจะมีอาการคุ้มคลั่ง สติหลุด กระหายน้ำอย่างรุนแรง และมักบุกไปกัดที่คอของคนเพื่อกินเลือด เหยื่อที่ถูกกัดคอหรือถูกข่วนก็จะติดไวรัสต่อ ๆ กันไปคล้ายกับซอมบี้ ต่างกันที่โรคคนคลั่งจะเป็น ๆ หาย ๆ และไม่ได้สมองตายแบบซอมบี้ แม้จะผิดกฏหมาย แต่นายทุนยาก็ยังลักลอบเข้ามาขาย เพราะความเชื่อผิด ๆ ที่ว่า ตัวยาจะช่วยทำให้มีสมาธิและตื่นตัว
ส่วนเรื่องราวเล่าเรื่องในอนาคตหลังการระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อ ‘ยุนแซบม’ (Han Hyo-Joo) สิบเอกหญิงแห่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษต่อต้านการก่อการร้าย มีความฝันอยากจะมีบ้านเป็นของตัวเอง เธอจีงใช้สิทธิ์เจ้าหน้าที่รัฐเพื่อเช่าซื้ออะพาร์ตเมนต์ แต่มีเงื่อนไขว่า คนที่จะซื้อได้ต้องเป็นคู่ที่แต่งงานแล้ว เธอจีงขอให้ ‘จองอีฮยอน’ (Park Hyung-Sik) ตำรวจหนุ่มอดีตนักเบสบอล เพื่อนสนิทสมัยมัธยมปลายของเธอ มาสมมติเป็นคู่สามีภรรยาปลอม ๆ และย้ายเข้าไปอยู่ในอะพาร์ตเมนต์สร้างใหม่ที่ชื่อว่า ‘แซยัง ฟอเรสต์ เลอเชียล’ (Seyang Forest Le Ciel) ด้วยกัน
อะพาร์ตเมนต์แห่งนี้มีเงื่อนไขพิเศษคือ ชั้นบน ๆ จะเป็นชั้นสำหรับผู้ที่ซื้อเป็นของตัวเอง ส่วนชั้นล่าง ๆ จะมีไว้สำหรับผู้เช่า และพนักงานของรัฐที่เช่าซื้อในราคาพิเศษ ทั้งสองฝ่ายจะไม่สามารถไปมาหาสู่กันได้ แต่ด้วยความระห่ำของแซบม ทำให้ทั้งคู่ได้พบเจอกับเพื่อนบ้านที่มีหลายฐานะและนิสัย จนกระทั่งเมื่อตึก 101 ที่ทั้งคู่อาศัยอยู่ มีการพบผู้ป่วยเป็นโรคคนคลั่งเป็นครั้งแรก ‘พ.ท.ฮันแทซอก’ (Jo Woo-Jin) หัวหน้าทีมวิจัยควบคุมการระบาด จึงต้องเข้าจัดการล็อกดาวน์อาคารแห่งนี้โดยทันที ทำให้เหล่าเพื่อนบ้านในอาคารแห่งนี้ ต้องพยายามดิ้นรน เอาตัวรอด และหาประโยชน์จากอาการป่วยโรคคนคลั่งในอาคารที่ถูกปิดตาย
ถ้าว่ากันแบบง่าย ๆ ก็คือ ผู้เขียนบทหยิบเอาแรงบันดาลใจจากโรคโควิด-19 ในปัจจุบันมาแต่งเรื่องนี่แหละครับ ซึ่งเรื่องที่ต้องชื่นชมอย่างแรกก็คือ การที่ผู้เขียนบทสามารถเอาบริบทต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับความยากลำบากในโลกยุคโรคระบาด (ที่กำลังเกิดขึ้นจริงในโลกยุคนี้) รวมถึงวิถีชีวิตในแบบ New Normal ที่ในอีกมุมหนึ่ง มันก็เป็นตัวพรากความสุขบางอย่างของคนเราไป โดยเฉพาะความทุกข์ที่ไม่สามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตได้อย่างปกติสุข และในบางครั้งก็บังคับให้เราทำสิ่งที่ไม่ควรทำเพื่อคืนความสุขให้ตัวเองและคนรอบข้าง
การสะท้อนความเห็นแก่ตัว เบียดเบียนคนอื่นในยามคับขันจนถึงขั้นวิปริต เพื่อให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ต้องการโดยไม่เกรงกลัวกฏหมาย ความกลัว รังเกียจ และมองผู้ป่วยราวกับว่าเป็นปีศาจ รวมทั้งการสะท้อนวิธีการอันสกปรกและง่อยเปลี้ยของรัฐในการจัดการโรคระบาดที่มองผู้ป่วย (ที่มีโอกาสหายได้) เป็นเพียงซอมบี้สมองตายที่ต้องควบคุมและกำจัดให้สิ้นซาก รวมทั้งความฉ้อฉลในวงการวัคซีนที่พร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อหาช่องโอกาสเพื่อผลิตและขายวัคซีนในยามวิกฤติ
นั่นจึงเป็นเหตุผลง่าย ๆ ที่ทำให้ผู้เขียนบทต้องเพิ่มเส้นเรื่องและตัวละครลงไปในซีรีส์เยอะมาก ๆ เยอะชนิดที่ว่าผู้เขียนต้องดูแล้วกรอเพื่อดูซ้ำอยู่เรื่อย ๆ ไม่งั้นจะงงและหลุดไปเลยว่าตัวละครเหล่านั้นมีที่มายังไง ทำอะไร ทำอย่างไร ด้วยแรงจูงใจอะไร ในขณะที่จังหวะการดำเนินเรื่องถือว่าช้ามาก โดยเฉพาะใน 3 อีพีแรกนี่คือมีไว้เพื่อปูเรื่องล้วน ๆ เลย
ก่อนจะค่อย ๆ เพิ่มเส้นเรื่อง Conflict และความคับขันของตัวละครเพื่อนบ้านในอะพาร์ตเมนต์ ซึ่งเป็นตัวแทนของคนในสังคมเข้ามาทีละน้อย ทั้งฝั่งคนรวย (ผู้ซื้อห้อง) ที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่า เอาแต่พูดเรื่องผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่ก็กลัวโลกแตกซะจนดูประหลาดไปเลย ในขณะที่ฝั่งผู้เช่าที่มักเป็นชนชั้นกลาง ก็มักถูกคนรวยดูถูก และตกเป็นเหยื่อของสิ่งต่าง ๆ ได้ง่าย ส่วนคนรุ่นใหม่ก็กลายเป็นคนทำงานหาเงินด้วยวิธีการที่ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจ เช่นการเป็นยูทูบเบอร์ หรือเขียนนิยายออนไลน์ ส่วนคนที่เป็นลูกจ้างอะพาร์ตเมนต์ กลายเป็นคนที่ไร้สิทธิ์ไร้เสียง ไร้ตัวตน
หรือแม้แต่คนอีกชนชั้นที่เรานึกไม่ถึงก็คือ ผู้ป่วยโรคคนคลั่งครับ ด้วยความกลัวและไม่เข้าใจ ทำให้พวกเขาถูกรังเกียจ จะบอกให้ใครช่วยเหลือก็ไม่ได้ ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เพราะกลัวถูกกำจัด กลัวถูกตราหน้าจากสังคม และอาจต้องถูกกำจัดทิ้งทั้งหมดนั้นแหละที่บังคับให้พวกเขาเหล่านั้นต้องเอาตัวรอดด้วยวิธี วิถี และสันดานดิบของแต่ละคนออกมา ทั้งการใช้ความรุนแรง เห็นแก่ตัว จนบางครั้งก็เริ่มผิดมนุษย์มนา ซึ่งซีรีส์ต้องการสะท้อนให้เห็นว่า ความวิปริตของมนุษย์น่ากลัวกว่าคนป่วยที่อยู่ข้างนอกอะพาร์ตเมนต์เสียอีก
และด้วยความที่เส้นเรื่องและตัวละครมันเยอะมาก รวมทั้งการดำเนินเรื่องที่ช้าจนอืด ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้เองก็มีปัญหา แม้ในช่วงแรก ๆ จะยังพอมีอะไรให้ติดตาม แต่พอเข้าสักอีพีที่ 4-5 เป็นต้นไป เนื้อหากลับเริ่มวนลูปไปมาด้วยซับพล็อตและ Conflict เดิม ๆ จนทำให้ตัวเรื่องเคลื่อนไปน้อยมาก และด้วยความที่ตัวละครเยอะ ยังส่งผลให้ตัวละครบางตัวหายไปจากเรื่องอยู่เป็นระยะ ๆ จนแอบเสียดายที่อุตส่าห์ปูเรื่องเอาไว้ได้อย่างน่าสนใจแล้วแท้ ๆ จนผู้เขียนแอบคิดว่า ถ้าตัดตัวละครบางตัว หรือบางเส้นเรื่องออกไป ซีรีส์เรื่องนี้อาจเหลือสัก 8 อีพีเป็นอย่างต่ำ
ปัญหานั้นกลับมาซ้ำในช่วงอีพีท้าย ๆ อีก เพราะกลับมีตัวละครบางตัว (และเส้นเรื่อง) ที่ไม่รู้ว่าจะใส่มาทำไมเสียอย่างนั้นแหละ พอโผล่มาเฉย ๆ โดยที่ไม่ได้ปูเนื้อเรื่องให้เห็นถึงแรงจูงใจ และแทบจะไม่มี Conflict อะไรกับตัวละครและธีมเรื่องหลักเลยด้วยซ้ำ ทำให้เจตนาที่ต้องการสะท้อนภาพความทุกข์เกี่ยวกับโรคภัย และวิพากษ์การทำงานของรัฐ วิจารณ์นายทุนยาและวัคซีน ที่ซีรีส์พยายามปูเรื่องไว้อย่างเท่ กลับถูกอีตานี่แย่งซีน เบี่ยงประเด็นจนเกิดอาการ Out focus ของเนื้อเรื่องในช่วงท้าย ๆ ไปอย่างน่าเสียดาย
อีกอย่างที่ผู้เขียนรู้สึกได้ก็คือ ความ Extreme ของเนื้อเรื่องที่บางครั้งก็ดูเกินเหตุไปหน่อย ทั้งในแง่บทโดยรวมที่มีบางจุดที่ไม่เมกเซนส์ รวมทั้งตัวบท วิธีการ และการกระทำบางอย่างของตัวละครที่ออกจะเวอร์เกินจริงไปอยู่บ้าง คืออารมณ์ประมาณทำมากเพื่อจะได้น้อย หรือแอบไม่เข้าใจว่าจะทำแบบนั้นไปทำไม อะไรประมาณนั้นแหละครับ แถมยังแอบมี Plot Hole เล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ด้วยอีกต่างหาก (ต้องหาดูนะครับอยู่ตรงไหน สปอยล์ไม่ได้)
พูดถึงตอนท้าย ก็ต้องพูดถึงอีพีที่ 12 ซึ่งเป็นอีพีสุดท้ายด้วยครับ แน่นอนว่าตัวเรื่องเองสามารถสรุปจบเรื่องได้ค่อนข้างดี แต่ก็แอบไม่ค่อยสุดอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะบทสรุปของเหล่าเพื่อนบ้านในอะพาร์ตเมนต์ ที่ล้วนแล้วแต่สร้างวีรกรรมเห็นแก่ตัวจนเข้าขั้นวิปริต กลับถูกสรุปเรื่องตัดจบแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ จนรู้สึกแอบเสียดายตัวละครร้าย ๆ ที่อุตส่าห์ปูเรื่องให้คนดูรู้สึกเกลียดตลอดทั้ง 11 อีพีเหลือเกิน พลอยทำให้ตอนจบดูจืด ๆ ไม่ค่อยพีกไปด้วย
แม้ตัวหนังจะค่อนข้างซีเรียสกับประเด็นโรคระบาด และด้านมืดของคนจนดูหม่น อืด และหนักไปบ้าง แต่ก็ถือว่ายังดีที่มีความโรแมนติกของพระนาง ทั้ง ‘ฮันฮโยจู’ (Han Hyo-Joo) ผู้รับบท ‘ยุนแซบม’ และ ‘พักฮยองชิก’ (Park Hyung-Sik) ผู้รับบท ‘จองอีฮยอน’ มาช่วยถ่วงดุลเอาไว้ เพราะทั้งคู่เคมีเข้ากันดีมาก ทั้งตอนบู๊ก็เท่ ฉลาด โหดพอ ๆ กัน แต่เวลาใจดีหรือโรแมนติก ก็มีความเข้าขาน่ารักน่าชัง ส่วนคุณ ‘โจอูจิน’ (Jo Woo-Jin) ผู้รับบท ‘พ.ท.ฮันแทซอก’ ก็รับบทตัวละครที่มีมิติหลากหลาย เป็นตัวละครกึ่งดีกึ่งเลวได้ออกมาหล่อ น่าเห็นใจ และน่าหมั่นไส้ได้ในเวลาเดียวกัน ส่วนเหล่าเพื่อนบ้านร้าย ๆ หลายคนนี่ก็แสดงดีซะจนผู้เขียนอยากขอหยุมหัวสักแมตช์ (555)
โดยสรุป แม้ ‘Happiness’ จะเป็นซีรีส์ที่ประสบปัญหาการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างเชื่องช้า การแก้ Conflict ที่บางครั้งเล่นใหญ่ไปหน่อย รวมถึงแก่นเรื่องและตัวละครบางตัวที่มีหลุด ๆ ขาด ๆ รวมทั้งตอนท้ายที่ไม่ค่อยพีกสมการรอคอยสักเท่าไหร่ แต่ซีรีส์เรื่องนี้ก็ถือเป็นซีรีส์โรคระบาดที่หยิบเอาวิธีการเล่าแบบหนังซอมบี้ได้ออกมาน่าสนใจและชวนหดหู่ไม่ใช่น้อย
รวมทั้งงานภาพที่สวยระดับ Cinema ส่วนนักแสดงโดยรวมถึอว่าดี นี่คือซีรีส์ที่คอหนังแอ็กชันซอมบี้สายลุยสายสับอาจจะบอกว่าไม่ตรงปก ชวนง่วง เสียเวลา และเกลียดเข้าไส้ แต่สำหรับคอซีรีส์แปลกใหม่ที่พร้อมจะดำดิ่งและค้นหาความหมายของความสุข โดยเฉพาะความสุขที่หายไปในโลกยุค New Normal ซีรีส์เรื่องนี้อาจถูกใจคุณก็เป็นได้ครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส