Yaksha: Ruthless Operations / ปฏิบัติการยักษ์ล้มยักษ์
2h 5m
Action, Crime, Thriller
Director Hyeon Na
Stars Sol Kyung-guPark Hae-sooHiroyuki Ikeuchi
Our score
6.9[รีวิว] Yaksha: Ruthless Operations : แอ็กชันโหดดุ ที่ต้องใช้สมาธิสูงในการรับชม
จุดเด่น
- เดินเรื่องได้น่าสนใจ กับคนแปลกหน้าที่ต้องหลุดเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมแปลกใหม่
- เลือกนักแสดงมีบุคลิกได้เหมาะสมกับบท
- คุมงานกำกับศิลป์ได้ดี
- ฉากแอ็กชันมาถี่ สมกับที่เป็นหนังแอ็กชันทุนสูง
จุดสังเกต
- ฝ่ายพระเอกเก่งระดับเทพทุกคน ไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำเสียท่าให้น่าเป็นห่วง
- ตัวละครเยอะมาก และมากันหลายฝ่าย ต้องใช้สมาธิในการรับชมสูง
-
คุณภาพงานสร้าง
8.0
-
คุณภาพนักแสดง
6.0
-
ตรรกะความสมเหตุสมผลของบท
6.0
-
ความสนุกตามแนวหนังแอ็กชัน
7.0
-
สมควรกับการสละเวลารับชม
7.5
ไม่ใช่ว่าจะมีแต่หนังฮอลลีวูดที่โดนผลกระทบจากโควิด-19 เลื่อนแล้วเลื่อนอีกจนต้องยอมปล่อยลงช่องสตรีมมิง หนังเกาหลีใต้ก็มีเหมือนกัน อย่างเช่น Yaksha: Ruthless Operations เรื่องนี้หนังทุนสูง ที่สุดท้ายยอมขายให้กับทาง NETFLIX ก็ดูจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะหลังจากปล่อยสตรีมมิงแค่เพียงสัปดาห์แรก หนังก็สามารถเข้าชาร์ต TOP 10 ของ Netflix ได้ในอันดับ 3 มียอดผู้ชมทั่วโลกสูงถึง 12,540 ล้านวิว ก็ไม่แน่ว่าถ้ายังคงฉายโรงตามแผนเดิม หนังอาจจะไม่ฮิตขนาดนี้เพราะหนังหนังก็ไม่ได้จุดขายอะไรเลย ทั้งตัวผู้กำกับ นา ฮย็อน (Na Hyeon) ก็มาจากอดีตนักแสดงและมือเขียนบท ที่เพิ่งมีผลงานกำกับมาแค่เรื่องเดียว ผลงานเขียนบทที่เคยสร้างชื่อในอดีตก็มี My Way (2011) หนังสงครามที่ได้ แจง ดองกัง มารับบทนำ ส่วน 2 นักแสดงนำในเรื่องนี้ก็มี ซอลคยองกู (Sol Kyung-gu) จาก Memoir of Murderer (2017) และ พัคแฮซู (Park Hae-soo) ที่หลายคนน่าจะคุ้นหน้ากันจาก Squid Game
หนังเปิดเรื่องด้วยการปูพื้นให้ผู้ชมรู้จัก 2 ตัวละครหลัก เริ่มจาก จีคังอิน ตำรวจจอมโหด จนได้ฉายาว่า ยักษ์ ที่กลายมาเป็นชื่อเรื่อง Yaksha นี่แหละ ในหนังอธิบายว่าชื่อนี้มาจากภาษาสันสกฤต แต่ในที่นี้ไม่ได้อิงถึงขนาดร่างกายที่ใหญ่โต แต่อิงจากความโหดเหี้ยมอำมหิต เราได้เห็น จีคังอินตามล่าผู้ต้องสงสัยไปตามท้องถนน ก่อนจะระเบิดกระสุนใส่สมองคู่กรณี นับเป็นการเปิดตัวพระเอกของเรื่องแบบที่เรียกร้องความสนใจผู้ชมได้ดี และเป็นการเปิดเรื่องได้อย่างน่าสนใจ โดยที่ยังไม่มีคำอธิบายใด ๆ ถึงที่มาที่ไปของการไล่ล่านี่ หนังก็ตัดมาแนะนำอีกตัวละครนำ ฮันจีฮุน อัยการฝีมือดี ที่กำลังทำคดีใหญ่เอาผิดนักธุรกิจรายใหญ่ แต่มาเสียฟอร์มเพราะลูกน้องในทีมทำผิดกฏระเบียบระหว่างสืบสวน ทำให้ต้องแพ้คดี และโดนย้ายไปอยู่หน่วยเล็ก ๆ ชานเมือง
แต่ไม่นานนักโอกาสก็กลับมาหา อัยการฮันเขาเสนอตัวรับงานเสี่ยงภัย ที่ต้องเดินทางไปเมืองเสิ่นหยางประเทศจีน เพราะที่นั่นมีหน่วยปฏิบัติการพิเศษ แบล็ก ที่ดูเหมือนจะมีลับลมคมในแอบแฝงไม่รายงานการปฏิบัติงานตามที่เป็นจริง และเมื่ออัยการฮันไปถึงเสิ่นหยาง เขาก็ได้พบกับ ‘ยักษ์’ หรือจีคังอิน ที่เป็นหัวหน้าหน่วยแบล็กนี้เอง นับเป็นการปูพื้น 2 ตัวละครนำที่กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงแรกของหนัง จากนั้นหนังก็เดินหน้าเร็วขึ้น ด้วยการแนะนำตัวละครอีกมากมาย ทั้ง 3 ลูกน้องฝีมือดีประจำหน่วยแบล็ก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ จินยอง จาก Got 7 ที่ใส่เข้ามาเรียกกลุ่มผู้ชมที่เป็นแฟนคลับได้ และ โยชิโนบุ โอซาวะ หัวหน้าหน่วยราชการลับจากญี่ปุ่น ในฐานะตัวร้ายของเรื่อง ที่มีความแค้นอันยาวนานกับจีคังอิน ส่วนปฏิบัติการในเสิ่นหยางนี้ จีคังอินสืบรู้ว่า โอซาวะจับตัวเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกาหลีเหนือไป เพราะต้องการเอกสารลับสำคัญบางอย่าง จีคังอินและทีมจึงพยายามชิงตัวเจ้าหน้าที่ผู้นี้และสืบให้รู้ได้ว่าเอกสารสำคัญนั้นคืออะไร
นับตั้งแต่หนังเปิดตัวโอซาวะ ตัวร้ายของเรื่อง หนังก็เข้าสู่โหมดแอ็กชันแบบเต็มตัว ใส่ฉากแอ็กชันเข้ามาถี่ยิบ และมีให้ครบทั้งขับรถไล่ล่า สาดกระสุน ระเบิดตู้มต้าม ไปจนถึงการต่อสู้ด้วยมีดและมือเปล่า ก็ทำให้เชื่อได้ละครับว่าหนังน่าจะใช้ทุนสร้างสูงจริงตามที่โฆษณาไว้ ควบคู่ไปกับปริศนาเล็ก ๆ น้อย ๆ ว่าเอกสารลับที่โอซาวะตามล่าอยู่นั้นคืออะไร ซึ่งเมื่อเผยออกมาก็ไม่ได้ชวนว้าวแต่อย่างใด ยังคงอยู่ในกรอบหนังสายลับที่เราผ่านตากันบ่อย ๆ ฉากแอ็กชันของ Yaksha ถือได้ว่าเป็นจุดขายของหนัง แต่ขณะเดียวกันก็ค่อนข้างเป็นจุดอ่อนของหนังไปด้วยคราเดียวกัน นั่นก็เพราะหนังอัดฉากแอ็กชันมาให้ค่อนข้างถี่ ทั้งฉากเล็กฉากใหญ่ แต่ก็ไม่มีฉากที่ชวนตื่นตา ฝ่ายพระเอกไม่ได้พลาดท่าเสียทีให้ชวนลุ้น ทั้งตัวจีคังอินและลูกทีมล้วนใส่พระดีมากันทั้งนั้น ฝ่ายตรงข้ามสาดกระสุนมาเท่าไหร่ก็ไม่โดนสักนัด เมื่อเข้าสู่ฉากต่อสู้ ฝายพระเอกก็เลยไม่น่าเป็นห่วงเท่าใดนัก ซึ่งก็รวมไปถึงฉากไคลแมกซ์ของหนัง ที่สร้างบรรยากาศรอบข้างเล่นใหญ่ตู้มต้ามแต่ไม่ได้รุ้สึกว่าลุ้นตามไปด้วยเลย
ข้อดีส่วนหนึ่งของหนัง ก็ต้องยกให้ความแปลกใหม่ในการจับคู่ 2 ตัวละครนำที่ค่อนข้างคอนทราสต์กัน ซอลคยองกู นั้นเหมาะมากกับบทจีคังอิน ด้ายภาพลักษณ์ที่หยาบกร้าน สายตาแข็งกร้าว ทั้งเรื่องไม่มีรอยยิ้มให้เห็น ทำให้เชื่อได้ว่าเขาคือสายลับจอมโหดตัวจริง ยิงใส่คู่ต่อสู้ได้อย่างไร้ปราณี แล้วต้องมาประกบกับ ฮันจีฮุน ที่รับบทโดย พัคแฮซู ที่เรียกได้ว่าแทบจะมาจากคนละโลกเลย เพราะรายนี้คืออัยการที่ถนัดแต่งานนั่งโต๊ะ สะอาด เนี้ยบ แล้วจับพลัดจับผลูต้องมาลงสนามจริง ที่มีแต่กระสุนปลิวว่อน บทฮันจีฮุนจึงต้องทำหน้าที่สอดแทรกความบันเทิง ไม่ให้โทนเรื่องที่มีแต่คนโหดดุ จนโทนหนังดูหนักกินไปนัก ก็เป็นทั้งพระเอกตัวรองและเป็นตัวสร้างสีสัน พอเรียกรอยยิ้มให้คนดูได้บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นตลกปัญญาก่อนเกินไปนัก จนเสียมาดอัยการฝีมือดี
ภาระสำคัญอีกอย่างของอัยการฮันก็คือ การเป็นตัวเดินเรื่องและทำหน้าที่แทนสายตาผู้ชม ที่พาเราไปสู่เมืองเสิ่นหยาง ไปแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ว่าใครเป็นใคร มีปฏิบัติการอะไรลึกลับแอบแฝงอยู่ที่นี่ ซึ่งการเดินเรื่องแบบนี้ก็ถือว่าทำได้ดี ชวนติดตาม หนังเดินหน้าไปพร้อมกับปะติดปะต่อเรื่องราว ผู้คน แล้วค่อย ๆ เข้าใจสถานการณ์โดยรอบทีละนิด แต่ก็ต้องเป็นการรับชมที่ใช้สมาธิอย่างสูง เดิมทีหนังสายลับก็มีเนื้อหาที่ซับซ้อนพอตัวอยู่แล้ว แต่กับ Yaksha: Ruthless Operations นึ่ต้องใช้สมาธิเพิ่มมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง เพราะหนังมีตัวละครเยอะมาก และแต่ละตัวก็มาจากแต่ละประเทศ ทั้งเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน แถมยังมีเอ่ยถึงรัสเซีย และสหรัฐฯ อีกด้วยนะ แล้วหนังยิ่งพูดถึงสายลับที่แอบซ่อนอยู่ใน่แต่ละองค์กร ก็ยิ่งต้องคิดตามตั้งข้อสงสัยว่าใครจะถูกเผยว่าเป็นสายลับของฝ่ายตรงข้าม แล้วการเผยตัวตนสายลับที่เป็นคนของโอซาวะ บางรายก็นับว่าเกินคาดเดา ก็นับว่าเซอร์ไพรส์คนดูได้ดี แต่บางรายก็คาดเดาได้แต่แรก
อีกจุดที่นับว่าโดดเด่นก็คือการงานกำกับศิลป์ ที่สื่อผ่านการคุมโทนสีของหนังมาตั้งแต่โปสเตอร์ เน้นสี แดง-ม่วง-น้ำเงิน สอดแทรกอยู่ในหลาย ๆ ฉากโดยเฉพาะฉากกลางคืน ถ่ายทอดบรรยากาศของเมืองเสิ่นหยางให้เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสีสันยามค่ำคืน และช่วยให้โทนหนังไม่ดาร์กเกินไปนัก
สรุปได้ว่า Yaksha: Ruthless Operations นับเป็นหนังแอ็กชันเกาหลีทุนสูง ที่สามาถสร้างบรรยากาศแปลกใหม่ได้ด้วยการย้ายไปเล่าเรื่องราวในประเทศจีน เดินเรื่องได้น่าติดตามพอควร เป็นหนังที่ต้องตั้งใจดู ไม่ใช่เปิดมาแล้วทำนู่นทำนี่ไปด้วยได้ หนังจบแบบปูทางต่อไปภาค 2 ดูแล้วว่าหนังค่อนข้างประสบความสำเร็จ ก็มีสิทธิ์สูว่าเราจะได้เห็นการแท็กทีมของ จีคังอินและอัยการฮันในภาคต่อไปเป็นแน่