[รีวิว] The Unbearable Weight of Massive Talent: เริ่มอย่างคราฟต์ จบอย่างห่อลังกระดาษ
Our score
7.0

Release Date

19/05/2022

ความยาว

107 นาที

[รีวิว] The Unbearable Weight of Massive Talent: เริ่มอย่างคราฟต์ จบอย่างห่อลังกระดาษ
Our score
7.0

The Unbearable Weight of Massive Talent

จุดเด่น

  1. นิโคลัส เคจ คือทุกอย่างที่จะทำให้คุณต้องดูหนังเรื่องนี้

จุดสังเกต

  1. หนังยังคุมโทนทั้งหมดไม่ลงตัวว่าจะเป็นแนวไหนกันแน่ และมีครึ่งเรื่องหลังที่ยังดูไม่มีอะไรน่าจดจำนัก
  • บท

    7.0

  • โปรดักชัน

    6.5

  • การแสดง

    8.5

  • ความสนุกตามแนวหนัง

    7.5

  • ความคุ้มค่าการรับชม

    6.5

สนับสนุนข้อมูลโดย Major Cineplex

เรื่องย่อ: Nicolas Cage (นิโคลัส เคจ) ดาราฮอลลีวูดรุ่นใหญ่ตกอับ ที่แม้ว่าในอดีตจะเคยฝากผลงานอันยิ่งใหญ่เอาไว้มากมายทั้ง Con Air และ Face/Off แต่เขากลับต้องมาเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบากไม่มีใครจ้างงาน จนต้องจำใจยอมรับข้อเสนอที่ไม่น่าไว้วางใจให้เดินทางไปร่วมงานวันเกิดของ ฮาวี มหาเศรษฐีชาวเม็กซิกันแลกกับเงินหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐ และเขาก็พบว่ามหาเศรษฐีคนนี้เป็นแฟนพันธุ์แท้ของตัวเขาเอง

แต่เรื่องราวสุดวายป่วงยังไม่จบลงแค่นี้ เมื่อเคจพบว่าภายใต้หน้ากากแฟนพันธุ์แท้ ‘นิค เคจ’ มหาเศรษฐีคนนี้คือ เจ้าพ่อค้ายารายใหญ่ที่เป็นที่ต้องการตัวของ CIA นั่นทำให้เขาถูกหมายหัวในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด เคจต้องตกกระไดพลอยโจนสวมบทบาทในอดีตที่เคยสร้างชื่อให้กับเขาเพื่อหาทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ไปให้ได้

หนังเปิดมาได้อย่างน่าสนใจด้วยสภาพที่จมไม่ลงและพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายของพระเอกในการได้กลับมาเล่นหนังสักเรื่องหนึ่ง ท่ามกลางมรสุมของความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ต่อไม่ติดกับอดีตภรรยาและลูกสาววัยรุ่นที่ปฏิเสธการอยู่ใต้ร่มเงาของพ่อที่เป็นตำนาน จนเขาต้องตัดใจว่ามันคงหมดยุคของเขาแล้วจริง ๆ ด้วยการยอมรับงานโชว์ตัววันเกิดเช่นเดียวกับพวกดาราตกอับเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้ แล้วจะประกาศเกษียณจากอาชีพนักแสดงไปตลอดกาล

The Unbearable Weight of Massive Talent

แต่โชคชะตาก็เล่นตลกกับเขาเพราะนายจ้างคนล่าสุดนั้นดันเป็นแฟนคลับเดนตายที่ต้องการเปลี่ยนใจให้เขามาแสดงหนังที่ตนเองเขียนบทรอไว้ให้ได้ ซึ่งถึงช่วงเวลานี้ของหนังต้องบอกว่ามีลูกเล่นและท่าทีรวมถึงบทสนทนาที่คมคาย เป็นงานคราฟต์โบรแมนซ์ที่ดีมาก ๆ ทีเดียว

The Unbearable Weight of Massive Talent

ใครที่ติดตามข่าวตัวหนังมาระดับหนึ่งคงไม่ได้คาดหวังจะเห็นฉากบู๊สะบั้นแบบงานของ นิโคลัส เคจ (Nicolas Cage) ในยุคพีค ๆ หรืองานเกรดบีเอามันเช่นในช่วงหลัง เพราะหนังเรื่องนี้เป็นงานดราม่าตลกร้ายที่จิกกัดเสียดสีชีวิตในเส้นทางการแสดงหลายสิบปีของเคจมากเสียกว่า แค่เปิดเรื่องมาก็แทบจะอธิบายสิ้นสงสัยแล้วว่าทำไมช่วงหลังแกรับงานหนังไม่เลือกเกรดเสียขนาดนั้น จะบอกว่าเป็นงานที่ใกล้เคียง ‘Adaptation.’ (2002) ที่เคจรับบทเป็นฝาแฝดในแบบที่ไม่หนักข้อและเข้าถึงได้ง่ายกว่าก็ว่าได้

และคงต้องระลึกอยู่เสมอตลอดการรับชม ว่าเคจในเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เคจที่เป็นนักแสดงในโลกความจริงที่เรารู้จัก แต่เป็นเหมือนตัวตนในอีกมัลติเวิร์สที่แตกแขนงออกจากตัวจริงมามากกว่า

The Unbearable Weight of Massive Talent
เสียงในหัวของเคจที่มาในรูปลักษณ์ของตัวเขาสมัยเล่น Wild at Heart สะท้อนถึงความยึดติดในอดีตของตน

โดยเรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นจาก ‘บทหนัง’ ที่ถูกจับตามองและยังไม่ถูกนำมาสร้างของฮอลลีวูด อาจด้วยเหตุผลของความยากในการผลิตหรือปัญหาอื่น ๆ ที่คนในวงการรู้จักดีว่าเป็นกลุ่ม ‘แบล็กลิสต์’ ซึ่งในปี 2019 โปรเจกต์หนังของผู้กำกับ ทอม กอร์ไมแคน (Tom Gormican) ที่เคยมีผลงานหนังโรแมนติกคอมเมดี้ 3 เพื่อนซี้ไม่อยากโสดเรื่อง ‘That Awkward Moment’ (2014) และมือเขียนบท เควิน เอตเทน (Kevin Etten) เรื่องนี้ก็ได้รับการชื่นชมให้เป็นแบล็กลิสต์ของปีนั้นเช่นกัน

พล็อตของหนังมีความสร้างสรรค์สูงและมีหน้าหนังที่ขายได้อย่างแน่นอนด้วยทุนสร้างที่ไม่ต้องสูงนักเพราะเน้นชูความคลั่งไคล้ในดาราไอคอนของหนังยุคหนึ่งอย่างเคจที่มีฐานแฟนคลับมาหลายรุ่น (เพราะแกมีหนังออกมาตลอด) โดยให้นักแสดงได้เล่นเป็นตัวละครสมมติที่เป็นตัวเองอีกที ซึ่งปัญหาเดียวคือถ้าเคจไม่รับเล่นหนังเรื่องนี้ก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นมาได้ และทำให้บทหนังเรื่องนี้ค้างเติ่งไม่ถูกสร้างมาหลายปี ซึ่งสำหรับเคจด้วยเนื้อหาที่พูดถึงการเป็นตัวเขาเองมันก็สุ่มเสี่ยงที่หากไปอยู่ในมือผู้สร้างที่ไม่เคารพเขา ก็อาจทำให้การแสดงหนังเรื่องที่ 100 ของเขานั้นเป็นตราบาปไปชั่วชีวิตเลยก็ได้

The Unbearable Weight of Massive Talent
Face/Off หนังที่ทั้งภูมิใจและทำให้เคจกังวลใจในเวลาเดียวกันว่ายุคของเขาได้พ้นผ่านไปแล้ว

สิ่งที่ต้องชื่นชมสำหรับเรื่องนี้นอกไปจากการนำเสนอและการแสดงที่ล้อตัวเองของเคจ คือการแสดงของ เปโดร ปาสคาล (Pedro Pascal) ในบทฮาวีที่ทั้งอ่อนไหวและดุดัน มีมิติหลายชั้นที่ทำคนดูรู้สึกผูกพันไปด้วยอย่างประหลาด ช่วงการสานสัมพันธ์ของชาย 2 คนที่ต่างกันทั้งที่มาและทัศนคติจึงสวยงาม น่าขันและละมุนอย่างที่สุด

The Unbearable Weight of Massive Talent

ทว่าหนังก็เริ่มนำปมปัญหาเข้ามาเพิ่มเติม เมื่อเส้นเรื่องของเคจที่ต้องช่วยเหลือหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ อย่างจำใจ และเข้าไปเสี่ยงในปฏิบัติการที่เินตัวเขาไปไกล เป็นช่วงนี้เองที่หนังเริ่มเข้าสู่สถานะของการโกหกตัวเองเพื่อให้มีฉากขายสำหรับคนดูทั่วไปที่คาดหวังฉากแอ็กชันต่าง ๆ จริงแล้วตัวหนังก็พอรู้ว่ามันไม่เวิร์กเท่าไหร่ ถึงขนาดมีฉากที่ตัวละครมาถกกันด้วยซ้ำ โดยเคจเป็นตัวแทนของคนสร้างสรรค์งานศิลปะที่ยืนยันว่าฉากแบบนั้นมันไม่สมเหตุสมผล และเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองคือตัวแทนค่ายหนังที่เรียกร้องให้ยัดฉากทำการตลาดง่าย ๆ ลงไปบ้าง

The Unbearable Weight of Massive Talent

ในบางทีการอุปมาเปรียบเปรยเรื่องของความหมายของการแสดง และการมีอยู่ของหนังสำหรับโลกใบนี้ ถ้าทำออกมาได้อย่างละเมียดมันคงเป็นหนังที่อิ่มฟินอุ่น แต่ด้วยฝีมือของการเล่าเรื่องของทีมสร้างมันทำให้ครึ่งหลังของหนังแปรเปลี่ยนไปเป็นหนังที่พร่องความสมบูรณ์ จะเป็นหนังดราม่าตลกร้ายก็ไม่สุด จะเป็นหนังปรัชญาเปรียบเปรยแบบแดกดันก็ไม่ถึง และจะให้เป็นหนังตลาดที่เถิดเทิงบ้าบอถูกใจคอหนังทั่วไปเลยก็ยังไม่ใช่

The Unbearable Weight of Massive Talent

มันจึงคล้ายสถานะของการพยายามพาหนังให้จบลงเป็นพัสดุส่งถึงผู้ชมให้ได้ โดยเชื่อว่าคุณค่าของสินค้าภายในจะแข็งแรงพอให้คนดูพอใจ และหวังเอาว่าคนดูจะมองข้ามวัสดุรองกันกระแทกและลังกระดาษธรรมดา ๆ ที่เอามาเป็นกล่องภายนอกสุดไปได้ แน่นอนว่าคุณค่าของเคจที่เป็นแก่นกลางนั้นยังคงไม่ลดทอนไปแน่ ๆ แต่ในฐานะหนังเรื่องหนึ่งนอกจากธีมของเคจกับการแสดงของปาสคาลแล้ว เราก็แทบไม่มีอะไรให้อยากเก็บกลับเข้าบ้านไปด้วยเลย

แต่แค่นั้นก็ทำให้หนังเรื่องนี้ดูบันเทิง มีขำดัง ๆ อยู่หลายหน และผลาญเวลาที่น่าเบื่อไปได้พอสมควรทีเดียว

The Unbearable Weight of Massive Talent

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส