Release Date
13/05/2022
ความยาว
1 ซีซัน 10 ตอน ตอนละ 45 นาทีโดยประมาณ
Our score
9.5The Lincoln Lawyer
จุดเด่น
- บทที่ดัดแปลงจากนิยายได้ร่วมสมัย น่าติดตามซับซ้อนและมีเสน่ห์ การแสดงที่น่าหลงใหลของทุกตัวละคร
จุดสังเกต
- ตัวละครค่อนข้างมาก และมีเส้นเรื่องรองเยอะ ปูเรื่องน้อยไปมากแม้จะแทบเดินเรื่องต่อจากฉบับหนังเลยก็ตาม ต้องใช้เวลาปรับจูนกับซีรีส์ในช่วง 1-2 ตอนแรก
-
บท
10.0
-
โปรดักชัน
9.5
-
การแสดง
9.5
-
ความสนุกตามแนวหนัง
10.0
-
ความคุ้มค่าการรับชม
10.0
เรื่องย่อ: เมื่ออดีตคู่หูทนายความของเขาถูกฆ่าตายจากการว่าความในคดีหนึ่ง มิกกี้ ฮอลเลอร์ ซึ่งวางมือจากการเป็นทนายมานานเพราะปมปัญหาในอดีตจึงต้องกลับมารับว่าความต่อแทนเพื่อน ซึ่งมีตั้งแต่คดีเล็ก ๆ น้อย ๆ จนถึงการไต่สวนคดีฆาตกรรมที่สังคมจับตามอง ฮอลเลอร์ หรือฉายาทนายความเจ้าของรถลินคอล์นจะได้พบว่าการกลับมากู้อาชีพของเขาคืนอาจมีเดิมพันสูงกว่าที่เขาคิดไว้
ไมเคิล “มิกกี้” ฮอลเลอร์ (Michael “Mickey” Haller) เป็นตัวละครจากหนังสือนิยายแนวสืบสวนของ ไมเคิล คอนเนลลี (Michael Connelly) หลังจากที่คอนเนลลีประสบความสำเร็จในการสร้างตัวละครตำรวจแอลเอคู่บุญของเขาอย่าง แฮร์รี บอส์ช (Harry Bosch) มาตั้งแต่ปี 1992 แล้ว ฮอลเลอร์ก็นับเป็นตัวละครตัวที่ 2 ที่อยู่ในจักรวาลเดียวกันและมีบทนำในฐานะทนายความแก้ต่างมืออาชีพในหนังสือของตัวเองนับตั้งแต่เรื่อง ‘The Lincoln Lawyer’ ในปี 2005 เป็นต้นมา โดยสร้างความเกี่ยวดองไว้เป็นพี่น้องคนละแม่กับบอส์ชด้วย
ความสนุกของนิยายชุดทนายความของฮอลเลอร์ มาจากบุคลิกที่น่าจดจำของเขา ฝีปากและลวดลายในการว่าความที่เฉียบแหลมเจ้าเล่ห์ มีเสน่ห์ แต่ก็ไม่ได้ดูไร้จุดอ่อนจนไม่ร่วมลุ้นไปด้วย นิสัยที่ชอบคบหาคนหลากหลายประเภทและหน้าที่การงานของเขายังมักเชื้อเชิญให้เขาพบคนหลอกลวง พวกที่ไม่น่าไว้ใจ และอาชญากรจริง ๆ ตลอดจนอาชญากรในคราบคนดีที่เวียนวนเข้ามาหาเป็นลูกความของเขา ทำให้เขาไม่เพียงแต่ต้องสู้กับอัยการตามหน้าที่ทนายความ แต่ยังต้องสู้กับความขัดแย้งภายในใจ ตลอดจนการใช้เล่ห์แพรวพราวเพื่อหาทางออกให้ได้สวยงามที่สุด
ประกอบกับภาพจำที่เขามักมีมาดเนี้ยบในชุดสูทนั่งรถยี่ห้อลินคอล์นจนเป็นภาพจำ ก็เสริมสร้างให้ฮอลเลอร์เป็นตัวละครทนายอีกตัวหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำของนักอ่าน และนักดูหนังที่ได้รับชมฉบับดัดแปลงในหนังชื่อเดียวกันในปี 2011 ที่ได้พระเอกเจ้าบทบาทอย่าง แมทธิว แม็คคอนาเฮย์ (Matthew McConaughey) มารับบทนำ
โดยในฉบับหนังได้ใช้เนื้อหาในหนังสือปี 2005 เป็นเส้นเรื่องหลักว่าด้วยคดีลูกเศรษฐีที่พัวพันกับคดีทำร้ายร่างกายผู้หญิงที่พบกันในบาร์ ซึ่งจบลงที่ตัวฮอลเลอร์เสียนักสืบคนสนิทอย่างแฟรงก์ (รับบทโดย วิลเลียม เอช. เมซี (William H. Macy)) ไป และตัวเองก็ถูกคนร้ายตัวจริงยิงจนสาหัส ส่วนลูกความอีกคนหนึ่งของเขาอย่าง เฮซุส เมเนนเดส (ในหนังใช่ชื่อ เฮซุส มาร์ติเนส รับบทโดย ไมเคิล พีนา (Michael Peña)) ก็ยังคงติดคุกจากความผิดที่ไม่ได้ก่อ
เนื้อหาในซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ในปี 2022 นี้ เป็นเหมือนการรีบูตแบบอ่อน ๆ ผสมภาคต่อแบบจริงจัง ด้วยการเปลี่ยนนักแสดงมาเป็น มานูเอล การ์เซีย รุลโฟ (Manuel Garcia-Rulfo) ที่เคยมีบทเด่นในหนัง ‘The Magnificent Seven’ (2016) ซึ่งบุคลิกของตัวฮอลเลอร์จะดูต่างจากแม็คคอนาเฮย์เล็กน้อยตรงที่ดูเปราะบางกว่า อมทุกข์กว่า แต่ภาพรวมซีรีส์จะยังดูสดใสบ้างไม่ดำมืดเครียดหนักเท่าฉบับหนัง
ทั้งนี้เนื้อหาในซีรีส์ 10 ตอนนี้ได้นำมาจากหนังสือนิยายเรื่องที่ 2 ของตัวละครฮอลเลอร์ที่ชื่อ ‘The Brass Verdict’ ในปี 2008 เล่าต่อจากฉบับหนังไปเลย ดังนั้นใครไม่เคยดูฉบับหนังของแม็คคอนาเฮย์มาก่อนแนะนำให้ไปชมนะครับ จะเข้าใจสิ่งที่ซีรีส์พูดถึงแต่ไม่ขยายความอย่างเรื่อง อาการบาดเจ็บที่ทำให้เลิกว่าความไป หรือปมที่เขาช่วยลูกความอย่างเมเนนเดสไม่ได้ ตลอดจนที่มาของตัวละครคู่หูนักสืบคนใหม่ที่เป็นอดีตแก็งซิ่งอย่าง ซิสโก ( รับบทโดย แองกัส แซมป์สัน (Angus Sampson)) ได้เข้าใจมากขึ้นด้วย
ในซีรีส์จะเล่าถึงการกลับมารับงานอีกครั้งหลังเว้นว่างไปรักษาอาการบาดเจ็บที่ถูกยิง และการติดสารเสพติดเพื่อบรรเทาความรู้สึกผิดที่ช่วยเหลือลูกความที่ถูกปรักปรำไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอดีตเพื่อนทนายของเขาที่ชื่อ เจอร์รี่ เกิดถูกฆ่าและผู้พิพากษาอาวุโสต้องการให้เขามารับผิดชอบคดีต่าง ๆ ที่เจอร์รี่ทำคาทิ้งไว้ให้เรียบร้อย
สำหรับฮอลเลอร์นี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะกลับมาสู่อาชีพทนายและแก้ไขชื่อเสียงของตนเองไปพร้อมกัน และส่วนหนึ่งก็เพื่อหาทางกลับไปรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับอดีตภรรยาที่มีลูกสาวด้วยกันอย่าง แม็กกี้ ซึ่งรับบทโดย เนฟ แคมป์เบลล์ (Neve Campbell) ที่เป็นอัยการของรัฐอยู่ (ฉบับหนังรับบทนี้โดย มาริสา โทเม (Marisa Tomei))
ทว่าสิ่งที่ฮอลเลอร์และผู้ชมต้องเจอคือ เจอร์รี่ทิ้งงานไว้หลายคดีมากทั้งคดีเล็กน้อยอย่าง อิซซี (แจส เรย์โคล Jazz Raycole) หญิงสาวผิวดำที่เคยติดยาถูกกล่าวหาว่าขโมยสร้อยเพชร, วิมส์ ชายหน้าโหดที่ควักปืนยิงถล่มตำรวจไปกว่า 90 นัดและไม่เชื่อใจทนายความ, คดีใหญ่ที่เป็นเส้นเรื่องหลักของซีรีส์เมื่อเศรษฐีนักพัฒนาเกมอย่าง เทรเวอร์ เอลเลียต (รับบทโดย คริสโตเฟอร์ กอร์แฮม (Christopher Gorham)) ถูกกล่าวหาว่าฆ่าคนรักและชายชู้ของเธอซึ่งโอกาสรอดยากมาก ๆ แถมยังซับซ้อนสูงมีทั้งการติดสินบน และอำนาจของมาเฟียรัสเซียเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
รวมถึงคดีฆาตกรรมเจอร์รีที่ยังตามหาคนร้ายและแรงจูงใจไม่ได้ จนตำรวจเจ้าของคดีอย่าง เรย์มอนด์ กริกส์ (รับบทโดย เอ็นแตร์ กูมา เอ็มบาโฮ เอ็มไวน์ (Ntare Guma Mbaho Mwine)) เริ่มเข้ามายุ่มย่ามในชีวิตของฮอลเลอร์ที่อาจเป็นเป้าหมายรายต่อไป ซึ่งสุดท้ายฮอลเลอร์ก็พบว่าคำเตือนของกริกส์นั้นไม่เกินความจริงเลย ในระหว่างที่หาทางเอาชนะคดีต่าง ๆ เขาเองก็ต้องหาทางรอดให้กับตัวเองและเพื่อน ๆ ตลอดจนอดีตภรรยาและลูกสาวที่อาจถูกคุกคามคล้ายคดีในหนังก่อนหน้าด้วย
ความสนุกของซีรีส์นี้จึงมาในแบบฉบับของการติดตามชีวิตและการหาทางรอดด้วยความสามารถทางทนายของฮอลเลอร์ และการผูกปมปัญหาของแต่ละคดีที่สุดท้ายสามารถเอามาเล่นร่วมกันได้ไม่มีตกหล่นทิ้งขว้าง ถ้าใครชอบดูหนังแนวขึ้นโรงขึ้นศาลอยู่แล้วจะยิ่งชอบ
หรือใครมองว่าหนังแนวนี้เป็นยาขม ก็ต้องบอกว่าผู้สร้างและมือเขียนบทอย่าง เท็ด ฮัมฟรีย์ (Ted Humphrey) จากซีรีส์ ‘The Good Wife’ ได้เอาเจ้าของนิยายมาร่วมทำบทซีรีส์ ให้น่าติดตามด้วยตัวละครที่มีสีสันหลากหลาย ทั้งปมความสัมพันธ์แบบหนังดราม่า การดึงทักษะเฉพาะของแต่ละคนมาร่วมสร้างทีมทนายแก้ต่างที่เหมือนหนังฮีโรสนุก ๆ และการเล่าเรื่องที่หักมุมไปมายากคาดเดาชนิดที่จบแต่ละตอนต้องปล่อยหมัดหนักให้ค้างคาใจ จนต้องเปิดดูตอนต่อไปได้เรื่อย ๆ ทีเดียว
แม้จะมีเส้นเรื่องหลักที่เหมือนในหนังสือ แต่ซีรีส์ก็มีการดัดแปลงหลายอย่างที่ดูเป็นเน็ตฟลิกซ์และร่วมสมัยมากขึ้น เช่นการเปลี่ยนจากเศรษฐีแวดวงฮอลลีวูดมาเป็นเจ้าพ่อเกมก็ดูส่งเสริมกับลูกเล่นด้านเทคโนโลยีที่เอามาแก้ปมปัญหา หรือการเปลี่ยนเพศตัวละครอิซซี่จากผู้ชายในนิยายมาเป็นสาวผิวดำก็เพิ่มมิติความน่าเอ็นดูและน่าเอาใจช่วยมากขึ้น
การตัดบทของบอส์ชพี่น้องคนละแม่กลายมาเป็นนายตำรวจผิวดำอย่างกริกส์แทนก็ช่วยให้คนดูที่ไม่รู้จัก แฮร์รี่ บอส์ช จากนิยายมาก่อนไม่รู้สึกสับสนเกินไป เพราะแค่ที่ซีรีส์เลือกปูพื้นเรื่องน้อยก็ทำให้ตามตัวละครมากมายได้ยากในช่วงแรกอยู่แล้ว ซึ่งที่ว่ามาอาจจะมองว่าเป็นนโยบายความหลากหลายของเน็ตฟลิกซ์ที่มักยัดเยียดตัวละครผิวดำ คนเอเชีย และ LGBTQ เข้ามาจนสร้างปัญหาให้หนังหลายเรื่อง แต่ส่วนตัวมองว่าในเรื่องนี้เป็นการปรับที่สมเหตุสมผลและช่วยให้เรื่องโดยรวมดูดีขึ้นด้วย (นาน ๆ จะได้ชื่นชมการดัดแปลงของเน็ตฟลิกซ์นะ)
โดยรวมแล้วนี่คือซีรีส์ที่อนาคตไกลมีโอกาสได้สร้างซีซันต่อสูง ดูแล้วติดหนึบ หลงรักตัวละครได้ทุกตัว และมีเรื่องราวที่น่าติดตาม ทั้งยังได้เรียนรู้เล่ห์เหลี่ยมเทคนิคของพวกทนายและอัยการ ตลอดจนการตัดสินคดีในชั้นศาลที่มีและไม่มีคณะลูกขุน เป็นหนังแนวขึ้นโรงขึ้นศาลที่ควรใส่ในลิสต์ต้องติดตามอีกเรื่องหนึ่งเลย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส