Release Date
24/06/2022
ความยาว
12 ตอน (ปล่อยทีละ 6 ตอน) ตอนละประมาณ 60 นาที
Our score
5.5Money Heist: Korea - Joint Economic Area
จุดเด่น
- ปรับฉากหลังมาพรมแดนเกาหลีทำให้เรื่องดูมีจุดให้เล่นได้ต่างจากต้นฉบับ รวมนักแสดงชั้นนำฝีมือดี รีเมกจากซีรีส์ที่บทแข็งแรงน่าจะพัฒนาต่อยอดด้วยจุดแข็งแบบซีรีส์เกาหลีได้ดีขึ้นไปอีก
จุดสังเกต
- เป็นรีเมกที่ดัดแปลงได้ไม่ค่อยดีกว่าต้นฉบับ หลายส่วนทำได้แย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ ใช้จุดแข็งเรื่องพรมแดนเกาหลียังไม่เด่นนัก โดยรวมยังขาดเสน่ห์ แต่ก็ดูสนุกได้หากไม่เคยชมต้นฉบับให้รู้สึกเปรียบเทียบ
-
บท
4.5
-
โปรดักชัน
7.5
-
การแสดง
5.5
-
ความสนุกตามแนวหนัง
6.0
-
ความคุ้มค่าการรับชม
6.5
เรื่องย่อ: 4,000 ล้านล้านวอนในสกุลเงินเดียวภายใต้แนวทางการรวมประเทศระหว่างเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ ก่อให้เกิดแผนการปล้นโรงกษาปณ์สุดระห่ำในพื้นที่ความร่วมมือพิเศษ ด้วยแผนการที่เดินตามรอย ‘Money Heist’ ต้นฉบับ
‘Money Heist’ ที่เป็นต้นฉบับคือซีรีส์จากสเปนที่กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกผ่านการเผยแพร่ของเน็ตฟลิกซ์ ด้วยเวลาที่ออกอากาศยาวนับตั้งแต่ปี 2017 จนถึงตอนสุดท้ายในปี 2021 ด้วยจำนวน 5 ซีซัน 48 ตอน มีจุดเด่นเรื่องของบทที่มีความเหนือชั้น หักเหลี่ยม ซ้อนแผน การสร้างตัวละครที่มีมิติลุ่มลึกและมีเสน่ห์น่าติดตาม สามารถเฉลี่ยพื้นที่ให้แต่ละตัวละครเฉิดฉายและน่าจดจำได้อย่างดี รวมถึงโปรดักชันที่สมกับเป็นซีรีส์ระดับขายทั่วโลกราวกับจะให้เป็นความภูมิใจของสเปนเลยทีเดียว
ในปี 2020 เกาหลีก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวที่จะทำฉบับรีเมก และได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีว่าจะผลิตให้เน็ตฟลิกซ์จำนวน 12 ตอน โดยผู้กำกับ คิมฮงซอน (Kim Hong-sun) จากซีซันแรกของซีรีส์ ‘Voice’ (2017) และมือเขียนบทหน้าใหม่จากซีรีส์ ‘Psychopath Diary’ (2019-2020) อย่าง รยูยองแจ (Ryu Yong-Jae) ซึ่งดูเป็นการจับคู่ที่น่าสนใจสำหรับการรีเมกซีรีส์ดราม่าอาชญากรรมแอ็กชันธริลเลอร์ และหลังจากนั้นก็เริ่มประกาศรายชื่อนักแสดงที่จะมารับบทบาทโดยอิงจากชื่อตัวละครเดิมอย่างครบครัน โดยตัวเด่นหลัก ๆ ล้วนทำให้ผู้ชมต่างตื่นเต้นไม่เบา
ทั้ง โตเกียว ที่ได้ จอนจงซอ (Jeon Jong-seo) นักแสดงสาวฝีมือดีน่าจับตาที่แจ้งเกิดจากหนังรางวัลเรื่อง ‘Burning’ (2018) และฉายแววร้ายได้เลือดเย็นใน ‘The Call’ (2020) รูปหน้าที่โฉบเฉี่ยวทั้งน่ามองและยากคาดเดาจิตใจเธอนับเป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียว, ศาสตราจารย์ รับบทโดย ยูจีแท (Yoo Ji-Tae) สายฝีมือที่หลายคนจดจำเขาได้จากบทจอมวางแผนแสนเลือดเย็นใน ‘Oldboy’ (2003) ทำให้เขาดูเป็นตัวเลือกที่ดูเข้าไม่น้อย และ เบอร์ลิน รับบทโดย พัคแฮซู (Park Hae-soo) ที่โด่งดังกับซีรีส์แห่งปีอย่าง ‘Squid Game’ (2021) จากบทบาทล่าสุดนี้ที่เขาแสดงถึงด้านมืดและพลังกดดันจากตัวละครได้ดี ก็ทำให้เขามีเค้าความเป็นเบอร์ลินที่น่าสนใจ
ต้องบอกว่าส่วนตัวเป็นแฟนของซีรีส์ต้นฉบับ และรู้สึกว่าเป็นโจทย์ยากที่ทีมงานไม่ว่าใครจะมารีเมกเรื่องนี้ในช่วงเวลาที่ห่างจากต้นฉบับเพิ่งจบลงหลักเศษปี (และหากนับจากซีซันแรกซึ่งเป็นเรื่องราวที่นำมารีเมกก็ห่างราว 5 ปี) ที่ผู้ชมส่วนใหญ่ยังจำเรื่องราวและรายละเอียดต่าง ๆ ได้ดีพอสมควร และเมื่อดูก็พบว่าฉบับเกาหลีนั้นเคารพต้นฉบับจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันเพียงลองปรับเชปของการเล่าเรื่องนิดหน่อย แก้ไขฉากหลังและภูมิหลังของเรื่อง บางจุดรวบรัดให้กระชับ บางจุดก็ข้าม ๆ ไปบ้าง แต่การเดินเรื่องก็นับได้ว่าคือ ‘Money Heist’ เดิม ๆ นั่นเลย
หนำซ้ำเสน่ห์หรือความน่าติดตามก็กลับพบว่ายิ่งด้อยลงเสียอีก ด้วยความรวบรัดและไวมากในช่วงแรก ประกอบกับลีลาภาพและซีจีที่ดูเหมือนการ์ตูนในบางจุดจนเราไม่ค่อยรู้สึกว่านี่จะเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นจริงได้หากเกาหลี 2 ประเทศจะมารวมกันจริง ๆ ทั้งที่โทนของซีรีส์นี้เดิมวางพื้นให้รู้สึกว่าสมจริงและน่าจะเกิดขึ้นได้จริงมากกว่าแฟนซีอย่างที่เกาหลีเปิดหัว
อีกอย่างที่คิดว่าไม่ควรเป็นปัญหาแต่ก็กลายเป็นปัญหาคือ นักแสดงหลายคนทำให้การตีความตัวละครด้อยลง ในต้นฉบับเรารู้สึกถึงความอ่อนไหวเปราะบางภายใต้ความฉลาดของศาสตราจารย์ แต่ยูจีแทด้วยรูปลักษณ์ที่บึกบึนกว่า อัลวาโร มอร์เต (Álvaro Morte) เขาดูแข็งแกร่งเกินไป ยิ่งบทเปิดช่องให้เล่นความเปราะบางน้อยไปด้วยจนเแทบเห็นแต่ภาพด้านฉลาดเจ้าเล่ห์ ก็ยิ่งทำให้เราไม่ค่อยลุ้นเอาใจช่วยเขาเท่าใดนัก อันนี้คิดว่าพลาดที่การเตรียมตัวนักแสดงให้เข้าบทควรไปปรับรูปลักษณ์เขาให้เหมาะกว่านี้ หรืออาจมองว่าผู้กำกับเลือกวิธีการนำเสนอใหม่ที่แย่กว่าต้นฉบับมากไปหน่อย
ในขณะที่พัคแฮซูก็ยังไม่สามารถเป็นแม่เหล็กทางสายตาในแบบที่ เปโดร อลอนโซ (Pedro Alonso) ทำกับบทเบอร์ลินไว้ได้เลย ตัวพัคแฮซูไม่ใช่ปัญหาว่าเขาจะแสดงในแบบที่หลายมิติไม่ได้ แต่คิดว่าการตีความตัวละครนี้ของเขาหรือผู้กำกับน่าจะพลาดไปหน่อยทำให้ดูน่าสนใจน้อยลงไปเสียอย่างนั้น
ในส่วนของจอนจงซอ น่าจะเป็นส่วนที่คิดว่าบทกับผู้กำกับให้ทิศทางที่ไม่ชัดเจนนัก เธอกลายเป็นตัวละครโตเกียวแบบที่ธรรมดาลงไปมาก ไม่เห็นมิติที่น่าสนใจประสาทเสียหรือเปราะบางขนาดเกลียดหรือหลงรักเธอได้ลง เป็นความรู้สึกเฉย ๆ เสียมากกว่า
เหมือนว่าทั้ง 3 นักแสดงนำจะมีของดีให้ใช้ได้มากกว่านี้แต่ทีมสร้างเอามาใช้ผิดประเภทไปหน่อย ยังไม่นับตัวละครอย่างสารวัตรซอนอูจิน ที่แสดงโดย คิมยุนจิน (Kim Yunjin) ที่ขาดมิติบางอย่างหากเทียบกับต้นฉบับ เธอดูแสดงล้นในทางแข็งกร้าวจนขาดด้านอ่อนแอที่เป็นหัวใจของตัวละครนี้ ฉากการเจรจากับศาสตราจารย์ก็ดูเหมือนการพูดต่อปากต่อคำกันธรรมดาไม่ได้มีความลึกการตีความเท่าใดนัก
ยังไม่นับเรื่องที่ซีรีส์ยังเฉลี่ยบทให้สมาชิกในทีมได้ไม่ค่อยดี อย่างไนโรบีหรือกลุ่มออสโลว์และเฮลซิงกิก็ไม่ได้มีอะไรน่าจำ แต่ก็ยังพูดยากเพราะยังมีครึ่งหลังอีก 6 ตอน ดังนี้แล้วในแง่ตัวละครและการแสดงจึงยิ่งทำให้รู้สึกเลยว่านักแสดงและทิศทางการกำกับการแสดงฝั่งสเปนนั้นดูลึกกว่าจริง ๆ ทั้งที่เกาหลีก็พัฒนาเรื่องนี้มาเยอะแล้ว ค่อนข้างน่าผิดหวัง
ที่สำคัญคือบทของซีรีส์ขาดความเฉียบคมใหม่ ๆ ที่ทำให้รู้สึกมันฉลาด อาจมีความน่าสนใจในการใช้ความขัดแย้งแบบรัก-เกลียดปนเประหว่างเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ เพราะซีรีส์มีความพยายามใช้ความรู้สึกเหยียดระหว่างคนสองประเทศนี้มาใช้เป็นมุกขับเคลื่อนเรื่องราวอยู่ตลอดเพื่อให้ซีรีส์มีรสการตีความใหม่บ้างซึ่งทำได้ดี แต่ในด้านมุกหลักคือการปล้นและการต่อรองกลับรู้สึกไม่ได้พัฒนาให้ดีขึ้นเลยซ้ำยังแย่ลง ในขณะที่ฝั่งสเปนจะดึงสถานการณ์ให้หนักหน่วงทั้งฝั่งในโรงกษาปณ์และนอกโรงกษาปณ์จนบีบหัวใจ แต่เกาหลีเหมือนจะเน้นไปที่สถานการณ์บีบคั้นทีละฝั่ง แถมมุกก็ธรรมดาไม่ได้เหนือล้ำอะไรเลย
นอกจากนี้บทซีรีส์ยังขาดการอุปมาขาดสุทรียะทางภาษาลงไปมาก เสียงบรรยายของโตเกียวในฉบับสเปนหลายครั้งเป็นดั่งบทกวีที่ชวนคิด ทิ้งปริศนาให้ชวนติดตาม บทพูดของตัวละครอย่างเบอร์ลินและศาสตราจารย์ทำให้เรารู้สึกถึงคนที่มีความรู้สูงและเป็นศิลปิน แต่ในเรื่องนี้ดันเป็นอะไรที่ทื่อลงมาก ไม่ต่างอะไรจากคนทั่วไป การหักมุมเล่ห์เหลี่ยมที่เสริมเติมไปก็ไม่ได้ทำได้ดีกว่าเดิมเลย เอาจริงก็น่าเห็นใจทีมเขียนบทที่งานถือว่ายาก แต่ว่ามองอีกมุมถ้าตั้งใจจะรีเมกงานที่มีแฟนติดตามเยอะและมาทีหลังเขาอีก ถ้ามีเวลาเตรียมตัวก็น่าจะพัฒนาได้ดีกว่านี้
ซึ่งทำให้คิดว่าซีรีส์ที่เลือกแนวทางรีเมกแบบปรับหรือตีความใหม่ไม่ได้ดีมากนักอย่างนี้ น่าจะไม่ได้ทำมาสำหรับคนที่เคยดูต้นฉบับเท่าใดนัก พูดตรง ๆ ว่าความคิดตลอดการดูซีรีส์นี้คือ เสียเวลาชีวิตเปล่า ๆ หรือเอาเวลากลับไปดูต้นฉบับอีกรอบยังสนุกกว่า (ซึ่งหลังจากดูเกาหลีจบ ลองกลับไปดูซีซันแรกของสเปนอีกรอบก็รู้สึกสนุกกว่าจริง ๆ นั่นล่ะ)
แต่ก็เป็นเพียงความรู้สึกจากความเป็นแฟนต้นฉบับ ไม่ใช่ว่าตัวซีรีส์แย่จนไม่ควรดูแต่อย่างใดเพราะก็มีทิศทางการนำเสนอที่คนละแบบ เพียงแต่ส่วนตัวเชื่อว่ากับบทแบบนี้ใช้ทิศทางที่ต้นฉบับเลือกไว้สมเหตุสมผลและดูสนุกกว่าเท่านั้นเอง และเชื่อว่าใครที่ชอบดูซีรีส์เกาหลีแล้วมาดูเรื่องนี้ก่อนต้นฉบับ ก็น่าจะชอบในรสความสนุกและกลิ่นการแสดงแบบเกาหลีที่คุ้นเคย มีฉากแอ็กชันชวนลุ้น ดราม่าความสัมพันธ์ที่ถนัดมือ และก็น่าจะให้คะแนนที่ดีกว่านี้อาจถึง 7 หรือ 8 เต็ม 10 ก็ได้
ตอนนี้ก็คาดหวังแค่ว่าครึ่งหลังของซีรีส์ จะมีอะไรให้น่าตื่นเต้นคาดเดายากสักหน่อย ใช้จุดแข็งภูมิหลังเรื่องเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ได้เฉียบคมเสริมเรื่องให้สนุกขึ้น ถ้ามีการแทรกแซงสถานการณ์จากฝั่งเกาหลีเหนือแรง ๆ บ้างด้วยอาจจะดีมาก
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส