Release Date
26/08/2022
ความยาว
102 นาที
Our score
7.0Samaritan
จุดเด่น
- ธีมที่น่าสนใจชวนคิด การแสดงที่ดีของทั้งซิลเวสเตอร์ สตอลโลนและเจ้าหนูเจวอน วอลตัน การเล่าเรื่องไม่ซับซ้อนยุ่งยากดูได้เพลิน มีฉากแอ็กชันสวย ๆ อยุ่
จุดสังเกต
- การเดินเรื่องยังธรรมดาไป จุดพลิกผันมีความสำคัญแต่เดาได้ง่ายไป ฉากแอ็กชันยังไม่ค่อยกลืนกับทางดราม่าเหมือนมีให้ขายได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
-
บท
6.0
-
โปรดักชัน
7.0
-
การแสดง
7.5
-
ความสนุกตามแนวหนัง
6.5
-
ความคุ้มค่าการรับชม
7.5
เรื่องย่อ: เมื่อ 25 ปีก่อนโลกมีคู่แฝดเหนือมนุษย์ที่เลือกเส้นทางเดินคนละทางจนต้องห้ำหั่นกัน ฝั่งหนึ่งอยากช่วยเหลือผู้คนแต่อีกฝั่งอยากล้างแค้นสังคมที่เคยขับไล่พวกเขา การปะทะกันครั้งนั้นทำให้ฝั่งตัวร้ายตายและฮีโรฝั่งดีก็หายสาบสูญไปนับแต่นั้น จนถึงปัจจุบันผู้คนกลุ่มหนึ่งก็ยังเชื่อมั่นและตามหาเขาอยู่เสมอ
เป็นหนังที่น่าจับตามองนับตั้งแต่เห็นหน้าหนังแล้ว แค่ว่าเป็นหนังของ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน (Sylvester Stallone) ยอดนักบู๊ในยุคหนึ่งที่แม้จะโรยราแต่ก็ยังมีผลงานแนวแอ็กชันให้ได้ชมไม่ขาดอย่างล่าสุดคือ ‘Rambo: Last Blood’ (2019) ยิ่งพอหายจากจอไปหลายปีเช่นนี้ การกลับมาเลยน่าสนใจทุกครั้ง แถมยังเป็นหนังพลอตซูเปอร์ฮีโรวัยเกษียณอายุในยุคที่หนังฮีโรครองเมืองเช่นนี้ก็ยิ่งน่าสนใจ
หนังเป็นผลงานการกำกับของ จูเลียส เอเวอรี (Julius Avery) ที่เคยมีผลงานเด่นแบบโหดเข้มในหนังซอมบี้นาซีเรื่อง ‘Overlord’ (2018) ซึ่งแม้จะไม่ได้ขึ้นหิ้งแต่ก็น่าจับตามองให้ติดตามผลงานต่อไม่น้อย ยิ่งเรื่องนี้ได้มือเขียนบทอย่าง บราจี เอฟ. ชูต (Bragi F. Schut) ที่เคยมีผลงานอย่าง ‘Escape Room’ ทั้ง 2 ภาค รวมถึงทีวีซีรีส์แฟรนไชส์ ‘Ninjago’ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นมือเขียนบทที่มีไอเดียที่ชวนติดตาม ก็ถือว่าน่าสนใจทีเดียวในการจับคู่กันครั้งนี้
หนังเดินเรื่องผ่านสายตาของเด็กชายที่ชื่อ แซม นำแสดงโดยเจ้าหนู เจวอน ‘วอนนา’ วอลตัน (Javon ‘Wanna’ Walton) จาก ‘The Umbrella Academy’ ซึ่งเขาคลั่งใคล้ในเรื่องเล่าของสองพี่น้องยอดมนุษย์ฝาแฝดนาม ซามาริทัน และ เนเมซิส จนนำไปสู่การแอบติดตามคนเก็บขยะชรานามว่า โจ ที่น่าสงสัยว่าคือซามาริทันในอดีต
หนังปูปูมหลังเรื่องซูเปอร์ฮีโรนี้ให้เราแต่ต้นผ่านบทเล่าคล้ายนิทานในสายตาของแซม ซึ่งดีตรงเราเข้าใจมิติตัวละครได้เร็ว ทั้งปมดราม่าว่าพวกเขาในวัยเด็กเคยถูกรังเกียจจากผู้คนเพราะพลังที่มากกว่าคนทั่วไป จนนำมาซึ่งการลุกฮือขับไล่และจบด้วยความตายของพ่อกับแม่ของพวกเขาในเหตุเพลิงไหม้ ทำให้เนเมซิสเลือกทางที่จะล้างแค้นผู้คนและต้องปะทะกับซามาริทันที่เลือกทางช่วยเหลือผู้คน เหมือนสีขาวกับสีดำ จนเนเมซิสได้สร้างอาวุธแห่งความแค้นขึ้นมาเป็นค้อนที่สามารถฆ่าซามาริทันได้ นำมาสู่บทสรุปแสนเศร้าที่เนเมซิสตาย ส่วนซามาริทันก็เสียใจและหายตัวไปนับแต่นั้น
การเอาเด็กมาจับคู่กับฮีโรเกษียณที่อดีตมีปมและปัจจุบันไม่อยากยุ่งเรื่องของใครอีกแล้ว อาจไม่ใช่พล็อตใหม่มาก นึกไว ๆ ก็อาจคาดหวังไปหนังดราม่าเข้ม ๆ แบบ ‘Logan’ (2017) หรือถ้าไปทางหนังครอบครัวก็มีอีกหลายเรื่องเลยที่พอเทียบได้โดยแผลงไปทางสัตว์ประหลาดบ้าง มนุษย์ต่างดาวบ้าง ซึ่งชูตกับเอเวอรีก็รู้ดีพวกเขามีทางเลือกการนำเสนอมากมาย ให้เป็นหนังดราม่าว่าด้วยเรื่องคนแก่ผ่านมุมมองของโจก็ได้ ให้ไปทางหนังแฟนตาซีติดตลกผ่านสายตาแซมก็ได้ หรือจะไปทางหนังซูเปอร์ฮีโรสมัยนิยมระเบิดเถิดเทิงหรือธริลเลอร์เข้มข้นชวนตั้งคำถามก็ได้ แต่สิ่งที่ผู้สร้างเรื่องนั้นน่าสนใจทีเดียว
พวกเขามีธีมที่อยากนำเสนออยู่ในเรื่องของอะไรคือสีขาวหรือสีดำ ทุกคนต่างมีเหตุผลในการกระทำและต้องยอมรับผลที่ตามมา มนุษย์ล้วนเทาและไม่ได้ยึดถือเฉดใดเฉดหนึ่งไว้กับตัวตลอดชีวิต ในห้วงเวลาหนึ่งเขาอาจเทาเข้มในช่วงหนึ่งเขาอาจเทาอ่อนมาก ๆ และเมื่อหนังมีธีมเช่นนี้มันจึงอาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่จะเน้นดารานักบู๊ที่ดูดราม่าได้และมีความเก๋าให้คนยำเกรงพอตัวอย่างสตอลโลน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าบารมีของป๋าแกยังทำงานได้ดีสายตาเศร้า ๆ นิ่ง ๆ แต่น่าเกรงขามยังแผ่ออกมาจากการแสดงของแกได้ดี เมื่อเข้าคู่กับดาราเด็กที่มาแนวซนดื้อแต่ยังพอน่ารักก็ทำให้หนังมีเคมีที่ดีได้ ในแนวหนังดราม่าผสมแนวครอบครัวนิด ๆ
และแม้ทีมสร้างจะใช้แรงบันดาลใจจากหนังฮีโรไม่สวมเกราะอย่าง ‘Unbreakable’ (2000) แต่มันก็มีฐานที่ต่างกันที่เรื่องนั้นเอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน (M. Night Shyamalan) ค่อย ๆ ชวนให้คนดูอยากรู้และสงสัยเต็มไปด้วยกลิ่นแบบคอมิกผสมธริลเลอร์ แต่ในเรื่องนี้ทุกอย่างมันกระจ่างพอควร ทำให้ผู้สร้างเองก็ต้องหาอะไรมาดึงความสนใจเพิ่มเติมซึ่งมันยังไม่ดีพอ
แม้จะมีจุดเด่นที่ดีแล้วทั้งธีมและเคมีนักแสดง แต่ปัญหาที่มีคือหลายอย่างมันดูฝืน ยิ่งดีไซน์ของตัวละครฮีโรในชุดเกราะเหล็กที่ว่ากันตามตรงมันโบราณและเชยมากราวกับไปลอกฮีโรคนดำเรื่อง ‘Steel’ (1997) มายังไงยังงั้น การสร้างอาวุธค้อนที่พล็อตเหมือนแหวนของเซารอนก็ดูเป็นอะไรที่ยัดเยียดเข้ามาแบบไม่กลืนกับเรื่องแถมไม่เท่อีก พลังของยอดมนุษย์ก็มีแค่พลังเหนือมนุษย์กับความอึดและฟื้นตัวได้ไวมันธรรมดาเหลือเกินในแง่ภาพ เหล่านี้เป็นจุดด้อยเมื่อพิจารณาว่ามันวางตัวเป็นหนึ่งในหนังฮีโรยุคปัจจุบันอันเห็นได้จากดีไซน์ฉากแอ็กชันและการเดินเรื่องต่าง ๆ
หนังยังพึ่งพิงจุดพลิกผันเพื่อขยายธีมของมันอย่างมากเกินไป และดันพลาดด้วยที่ฝืนพยายามในการซ่อนบางอย่างมากเกินพอดีจนกลายเป็นพิรุธให้คนดูเกิดคาดเดาได้ทัน ทำให้พลังในตอนเฉลยปมบางอย่างไม่ทำงานอย่างที่คิด และแทนที่จะหนังจะใช้งานเพื่อเล่นต่อไปทางดราม่าให้หนักขึ้น ปรากฎหนังก็ทิ้งดราม่าที่อุตส่าห์สร้างมาแล้วไปเล่นทางหนังแอ็กชันเสียแทนทั้งที่ปมความรู้สึกชัดแย้งระหว่างพระเอกและตัวร้ายนั้นดูน่าสนใจทีเดียว เหมือนจะรีบเพื่อไปสู่ฉากจบที่คิดไว้ว่าจะเป็นบทสรุปที่เท่สุด ๆ แต่มันไวและง่ายไปหน่อย
ดูจากจุดแข็งของหนัง จริงแล้วมันควรขายหน้าหนังว่าจะเล่นดราม่าและต้องการขายความเชยโดยตั้งใจเพื่อชูช่วงเวลาที่ทอดยาวและเน้นไปที่ธีมความขัดแย้งเชิงความคิดเรื่องดีชั่วผ่านตัวพระเอกและตัวร้าย อาจจะเล่าผ่านสายตาเด็กเพื่อให้หนังดูซอฟต์ลง แต่ที่มันพลาดคือหน้าหนังมันคลุมเครือแบบเหยียมแคมเรือฝั่งซูเปอร์ฮีโรแบบตลาดนิยมด้วยฉากระเบิดตึกเผาเมืองไว้ด้วยนั่นเอง
ใครยังไม่ดูลองตั้งธงแบบหนังดราม่ากับหนังครอบครัวไว้แล้วจะไม่ผิดหวัง
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส