Release Date
01/10/2022
แนว
แอ็กชัน/ผจญภัย
ความยาว
1.35 ช.ม. (105 นาที)
เรตผู้ชม
16+
ผู้กำกับ
ไบรอัน กูดแมน (Brian Goodman)
SCORE
4.2/10
Our score
4.2Last Seen Alive | ลาส ซีน อะไลฟ์
จุดเด่น
- องก์แรกถือว่ายังระทึกใช้ได้
- ฉากแอ็กชันถือว่าทำได้มันพอสมควร
- การแสดงของ เจอราร์ด บัตเลอร์ พอประคับประคองทรงหนังให้ดูได้แม้ว่าการแสดงจะแอบล้ำหน้าบทบาทของตัวเองไปบ้างก็คาม
จุดสังเกต
- งานโปรดักชันโดยรวมยังดูไม่ค่อยแพง ซึ่งก็ตามฐานะหนังค่ายเล็ก โดยเฉพาะการตัดต่อ เกรดสี โมชันเบลอ โดยเฉพาะงานซีจีที่เข้าขั้นหยาบอย่างรุนแรง
- เป็นหนังแอ็กชันโทนกลาง ๆ ที่ไม่ได้ระทึกระห่ำขั้นสุด
- การกระทำของตัวละครยังไม่สมเหตุสมผล
- บทมีปัญหายังสมดุลเรื่องได้ไม่ดีพอ เลยไปไม่สุดสักทาง
- บทสรุปหนังธรรมดามาก ไม่ได้ประทับใจ ไม่หักมุมใด ๆ ทั้งสิ้น
-
คุณภาพด้านการแสดง
6.0
-
คุณภาพโปรดักชัน
3.6
-
คุณภาพของบทภาพยนตร์
3.3
-
ความบันเทิง
4.7
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
3.2
อันดับหนังยอดนิยมของ Netflix นี่มักจะมีอะไรให้เซอร์ไพรส์เราได้อยู่เรื่อย ๆ เลยครับ หนังบางเรื่องก็เป็นหนังเล็ก ๆ ทุนต่ำที่เราก็ไม่คุ้นกับหน้าหนัง หรือแทบไม่เคยได้ยินเวลาอัปเดตข่าวฮอลลีวูดด้วยซ้ำไป ซึ่ง ‘Last Seen Alive’ หนังแอ็กชันเรื่องนี้ก็เข้าข่ายนั้น ทั้ง ๆ ที่ตัวหนังเข้าฉายที่สหรัฐอเมริกามาตั้งแต่เดือนมิถุนายนแล้ว แถมตัวหนังก็ไม่ได้เข้าฉายในไทยอีกต่างหาก คือเรียกว่าออกจากโรงนอกยิงตรงมาเข้า Netflix เลย แต่แม้ว่าจะเป็นหนังเล็กทุนต่ำ แต่ตัวหนังก็มีดาราแม่เหล็กให้อุ่นใจ ทั้ง เจอราร์ด บัตเลอร์ (Gerard Butler) พ่อหนุ่มนักรบสปาตาขวัญใจชาวไทย จาก ‘300’ (2006) และ เจมี อเล็กซานเดอร์ (Jaimie Alexander) นักแสดงสาวเจ้าของบท เลดีซิฟ (Lady Sif) จากหนังแฟรนไชส์ ‘Thor’ ของค่าย Marvel
ส่วนชื่อชั้นของผู้กำกับ ไบรอัน กูดแมน (Brian Goodman) เองจริง ๆ ก็ถือว่าพอมีเครดิตอยู่บ้างทั้งในฐานะนักแสดงที่เราคุ้น ๆ ทั้งในบทบทพันตรีบอสเวลล์ (Major Boswell) พ่อของ ฌอน บอสเวลล์ (Sean Boswell) ใน ‘The Fast and the Furious: Tokyo Drift’ (2006) และบทเจ้าของโมเต็ลใน ‘Catch Me If You Can’ (2002) แต่ก็ต้องยอมรับว่าเราคนไทยตาดำ ๆ อาจจะไม่ได้คุ้นตาเขาในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ที่เคยผ่านงานกำกับมาแล้วมากนัก โดยเฉพาะผลงานกำกับหนังที่ไม่คุ้นชื่อคนไทยเท่าไหร่ ทั้ง ‘What Doesn’t Kill You’ (2008) และ ‘Black Butterfly’ (2017)
‘Last Seen Alive’ เป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องของ วิล สแปนน์ (Gerard Butler) ชายหนุ่มธรรมดา ๆ ผู้ทำอาชีพนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มีภรรยาชื่อ ลิซา สแปนน์ (Jaimie Alexander) ทั้งคู่เผชิญความสัมพันธ์ที่กำลังอยู่ในช่วงตึง ๆ เพราะว่ากำลังจะหย่าร้างกัน วิลขับรถพาลิซาไปส่งที่บ้านของเธอเพื่อพักใจ แต่เมื่อใกล้ถึงจุดหมาย วิลขับรถแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มน้ำมัน ส่วนลิซาเดินไปซื้อน้ำดื่มที่มิมิมาร์ต ดันกลายเป็นว่า เมื่อวิลเติมน้ำมันเสร็จ ลิซาก็พลันหายตัวไปอย่างลึกลับ แถมดันไปจุดให้นักสืบแพตเตอร์สัน (Russell Hornsby) สงสัยในความไม่ชอบมาพากลของวิลไปเสียอีกแน่ะ วิลจึงต้องตะลุยเดี่ยวเสี่ยงตายเดินทางตามหาภรรยาด้วยตัวเอง
แน่นอนว่าไอ้หนังประเภทแฟนหาย เมียหายอะไรพวกนี้นี่ไม่ใช่ของใหม่ในฮอลลีวูดเสียทีเดียวนะครับ ถ้าเป็นยุคใหม่ ๆ ก็ต้องนึกถึงหนังทริลเลอร์ ‘Gone Girl’ (2014) ที่สามารถบิดความเป็นทริลเลอร์ไปสู่หนังแนวจิตวิทยาได้อย่างน่าทึ่งมาก หรือถ้าเอาแบบเก่า ๆ บ้าน ๆ หน่อย ก็ต้องย้อนไปถึงหนังเรื่อง ‘The Vanishing’ ทั้งเวอร์ชันต้นฉบับปี 1988 และฉบับรีเมกปี 1993 ที่พล็อตว่าด้วยเรื่องเมียหายที่ปั๊มน้ำมันเหมือนกันแบบเด๊ะ ๆ เลย
ส่วน Gone Girl กับเรื่องนี้ก็มีพูดถึงประเด็นที่ฝั่งสามีโดนตกเป็นผู้ต้องสงสัยเสียเองเหมือนกันอีก ซึ่งผู้เขียนเองก็ไม่แน่ใจว่างานนี้ผู้กำกับเองได้แรงบันดาลใจมาจากหนังเหล่านี้มาแบบตรง ๆ หรือไม่อย่างไร แต่สิ่งที่ต่างกันแน่ ๆ เลยคือ ตัวหนังเองนั้นมีวิธีการเล่าด้วยการเล่าแบบเรียลไทม์นะครับ คือพยายามเล่าคุมพล็อตเรื่องให้เกิดขึ้นภายในไม่เกินวัน ไม่ได้หายแบบนานเป็นหลาย ๆ ปี แม้ว่าในหนังเองจะบอกเวลาเอาไว้เพียงแค่เป็นกิมมิกเฉย ๆ ไม่ได้เป็นเงื่อนไขบีบบังคับด้านเวลากับตัวละครอะไรเป็นพิเศษ
จริง ๆ แล้วตัวหนังในองก์แรกนี่ถือว่าก็ยังพอจะโน้มน้าวให้ติดตามต่อได้นะครับ ด้วยองค์ประกอบของความเป็นทริลเลอร์จิตวิทยาที่อุตส่าห์ปูเรื่องไว้ว่าผัวเมียคนหนึ่งจะเลิกกัน ความเชื่อใจที่มีต่อกันก็จืดจางลง พอถึงจุดที่จะต้องจากกัน แต่เมียดันหายไปซะอย่างนั้น แถมเป็นการหายไปอย่างลึกลับโดยที่ไม่มีข้อมูลเบาะแสอะไรเลยด้วย มันก็เลยมีความน่าติดตามอยู่ มีความเป็นทริลเลอร์ผสมจิตวิทยาที่ค่อย ๆ ปูเรื่องเพิ่มความระทึก เพิ่มความตึงเครียดเข้ามาทีละน้อย
แต่กลายเป็นว่าตัวหนังก็เริ่มมีกลิ่นทะแม่ง ๆ ตอนเข้าองก์ที่ 2 ช่วงที่เริ่มมีตำรวจเข้ามาเอี่ยวด้วยนี่แหละครับ เพราะพอตัวละครเริ่มมากขึ้น ตัวหนังก็เริ่มมีกลิ่นทะแม่ง ๆ เพราะตัวหนังเริ่มจะขับเคลื่อนไปด้วยความไม่สมเหตุสมผลของตัวละครเป็นส่วนใหญ่ไปเสียอย่างนั้น ไม่ว่าจะทั้งตัวเอกหรือตัวรอง ล้วนแล้วแต่ทำอะไรอย่างใจอยากโดยที่ไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุหรือมูลเหตุจูงใจมากเท่าที่ควร ทั้งตัวของวิลที่ไม่ได้กระทำอะไรผิด แต่ก็ดันตัดสินใจทำในสิ่งที่พาให้ตำรวจสงสัย ส่วนคุณนักสืบเองก็ดูจะสงสัยเกินเบอร์ทั้ง ๆ ที่วิลเองก็ยังไม่ได้มีมูลเหตุอะไรที่บ่งชี้ชัดเจนว่าน่าสงสัยจะเป็นคนก่อเหตุซะเองอะไรขนาดนั้น
จนกระทั่งตัวหนังลากมาจนถึงครึ่งหลัง ตัวหนังก็เริ่มคลายจากทริลเลอร์จิตวิทยา กึ่งสืบสวนสอบสวน ไปเป็นหนังแอ็กชันไล่ล่าแบบเต็มตัว ซึ่งถ้าดูหนังแล้วคิดตามก็จะพอเห็นนะครับว่า ด้วยเส้นเรื่องที่ปูเรื่องไว้ลึกลับมากพอที่จะส่งไปถึงไคลแม็กซ์และบทสรุปที่มีศักยภาพมากพอในการที่จะขมวดแล้วไปหักมุมแบบช็อกแตกได้ แต่สุดท้ายแล้ว แม้ฝีมือการบู๊ของ เจอราร์ด บัตเลอร์ จะแบกหนังไว้ได้แบบพอเอาตัวรอด แม้ว่าจะมีความเก่งกาจเหนือกว่าคนธรรมดาอย่างที่ตัวหนังได้ปูไว้อยู่นิด ๆ
แต่สุดท้ายโดยรวม ๆ แล้วก็เป็นหนังแอ็กชันไล่ล่าตามขนบที่ดำเนินเรื่องแบบกลาง ๆ ไม่ได้ถึงกับชวนให้ระทึกใจ เร้าใจและระห่ำขั้นสุด ปมความน่าสงสัยของวิล (ว่าน่าจะก่อเหตุลักพาตัวเมียไปเอง) ก็ไม่ได้มีน้ำหนักมากเพียงพอ เป็นเพียงข้อสงสัยเวอร์ ๆ ของนักสืบคนหนึ่ง ทำให้ตัวหนังเป็นเพียงแอ็กชันที่ไล่ล่าจนไปเจอกับต้นตอของการลักพาตัวภรรยาที่สุดท้ายแล้ว ตัวหนังเฉลยสาเหตุได้โคตรจะธรรมดามาก ๆ ก่อนที่ตัวหนังจะเลือกสรุปจบด้วยวิธีการธรรมดา ๆ ที่ไม่ชวนให้รู้สึกสะเทือนซึ้งใจ เอาใจช่วย และมันก็แทบจะไม่กลายมาเป็นที่จดจำด้วย
อีกจุดที่น่าเสียดายของตัวหนังก็คือปมเกี่ยวกับการหย่าร้างของทั้งคู่ครับ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็ถือว่าเป็นอีกปมหนึ่งที่สามารถเอามาขยี้ต่อได้ แต่มันน่าเสียตายเพราะตัวหนังผลักให้ปมนี้กลายเป็นเพียงเหตุการณ์ Flashback ข้างเคียงโดยที่ไม่ได้มีผลอะไรต่อเนื้อเรื่องหรือแรงจูงใจของตัวละครมากนัก พอไม่ได้รับการขยี้มากพอ พาร์ตดราม่าก็เลยกลายเป็นเพียงน้ำจิ้มนิยายชีวิตคู่ข้างเมนูเมนคอร์สที่ตัวหนังพยายามใส่มาเพื่อเพิ่มมิติให้ตัวหนังที่ไม่ได้มีน้ำหนักและไม่ได้รับการเล่าให้สุดทาง
โดยสรุป ‘Last Seen Alive’ เป็นหนังแอ็กชันทริลเลอร์ทุนต่ำที่มีปัญหาเรื่องบทที่ไม่สามารถคุมเรื่องให้ไปสุดได้สักทาง เป็นหนังที่ฉากแอ็กชันสนุกพอควร แต่ก็ไม่อาจจะไปถัวเฉลี่ยกับพาร์ตดราม่าที่ไม่มีน้ำหนัก พาร์ตจิตวิทยาที่ยังไปได้ไม่ถึง พาร์ตทริลเลอร์และปมเรื่องที่ไม่ซับซ้อนจนเรียกได้ว่าธรรมดา และจบอย่างไม่มีน้ำหนักและไม่ทิ้งจุดเด่นอะไรให้จดจำเลยแม้แต่น้อย ตัวหนังก็เลยทำออกมาได้สนุกแบบกลาง ๆ ในแบบที่ต่อให้วิลจะหาเมียเจอแล้ว แต่คนดูอาจยังมะงุมมะงาหราหาอะไรบางอย่างในหนังไม่เจอไปอีกพักใหญ่ ๆ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส