Release Date
28/12/2022
ความยาว
7 ตอน ตอนละประมาณ 45 นาที
Our score
9.0Gannibal
จุดเด่น
- เข้มข้นสมจริงและมาตรฐานสูงมาก เป็นซีรีส์ญี่ปุ่นที่ปรับจริตได้สากลมากไม่ติดการแสดงโอเวอร์ เนื้อหาน่าสนใจและน่าติดตามสุด ๆ มีจุดพลิกผันที่ดี ตัวละครที่ดี และทีมสร้างที่ดี
จุดสังเกต
- มีความรุนแรงสูง โดยเฉพาะด้านภาพที่เห็นชิ้นส่วนอวัยวะและบาดแผลที่น่ากลัวมาก
-
บท
9.5
-
โปรดักชัน
9.0
-
การแสดง
8.5
-
ความสนุกตามแนวหนัง
9.0
-
ความคุ้มค่าการรับชม
9.0
เรื่องย่อ: อากาวะ ไดโง นายตำรวจเลือดร้อนที่พาครอบครัวย้ายมาทำงานที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ไกลปืนเที่ยงที่ดูเหมือนจะมีน้ำจิตน้ำใจแบบคนบ้านนอก แต่กลับมีวัฒนธรรมความเชื่อสุดหลอนที่ชวนสงสัยว่าหมู่บ้านนี้มีการกินเนื้อคน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนายตำรวจที่มาประจำการก่อนหน้าอากาวะด้วย
‘Gannibal’ (ガンニバル) เป็นซีรีส์ญี่ปุ่นที่ดัดแปลงจากมังงะแนวดราม่าเขย่าขวัญผสมคัลเจอร์ช็อกในชื่อเดียวกัน ผลงานของ นิโนมิยะ มาซาอากิ ที่ลงตีพิมพ์ในนิตยสารรายสัปดาห์ตั้งแต่ปี 2018 – 2021 มีฉบับรวมเล่มมากถึง 13 เล่มสามารถสร้างยอดขายได้สูงกว่า 2 ล้านเล่มทีเดียว
ต้องบอกคอนเทนต์ฝั่งเอเชียในแพลตฟอร์มของ Disney+ อาจจะยังไม่ใช่ตัวชูตัวเด่นในภาพรวมของทั้งบริการเมื่อเทียบกับพวกหนังซีรีส์มาร์เวล แต่ก็สร้างความน่าสนมากขึ้นมาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะซีรีส์เกาหลีและแอนิเมะญี่ปุ่น และที่กำลังตีตื้นมีมากขึ้นก็คือคอนเทนต์ของไทยและซีรีส์ญี่ปุ่น ซึ่งอันหลังนี้ก็อาจพูดว่าเริ่มต้นได้ไม่ค่อยสวยนักเพราะ ‘The Files of Young Kindaichi’ (2022) ที่ดัดแปลงจากมังงะแนวสืบสวนชื่อดังก็ยังไม่ค่อยผ่านทั้งมาตรฐานคุณภาพและการพูดถึงทั้งที่ฐานแฟนมังงะค่อนข้างมาก การมาของ ‘Gannibal’ จึงเป็นอะไรที่ช่วยเปลี่ยนความรู้สึกต่อซีรีส์ญี่ปุ่นได้อย่างดีทีเดียว
‘Gannibal’ อาจไม่ใช่การดัดแปลงที่สร้างสรรค์ใหม่จนแปลกตา เพราะใครที่ผ่านตาต้นฉบับมาก็คงพอทราบว่าตัวซีรีส์แทบจะมีการเดินเหตุการณ์แบบช่องต่อช่องกับมังงะเลยทีเดียว แต่ก็เป็นการเคารพต้นฉบับในทางที่ดีเพราะสิ่งที่ผู้กำกับ คาตายามะ ชินโซ และมือเขียนบท โอเอะ ทาคามาสะ ปรุงลงไปนั่นคือการเพิ่มความสมจริงและมาตรฐานแบบสากลจนซีรีส์นี้โดดเด่นขึ้นมา
เหตุผลที่ซีรีส์ชุดนี้เข้าถึงง่ายกว่าซีรีส์ญี่ปุ่นอื่นอาจเพราะผู้กำกับคาตายามะคุ้นชินกับรสโหดเข้มข้นและการแสดงที่เดือดจริงจังแบบเกาหลีที่เป็นรสสากลกว่า จากตอนที่เขาได้เป็นผู้ช่วยผู้กำกับชาวญี่ปุ่นเพียงคนเดียวของผู้กำกับระดับโลกอย่าง บองจุนโฮ ในเรื่อง ‘Mother’ (2009) และเป็นผู้ช่วยผู้กำกับในซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ที่ขายต่างชาติอย่าง ‘The Naked Director’ (2019) มาก่อน ในขณะเดียวกันโอเอะเองก็มีดีกรีถึงมือเขียนบทเจ้าของรางวัลบทยอดเยี่ยมจากเมืองคานส์ และเข้าชิงในสาขาเดียวกันบนเวทีออสการ์จากผลงานเรื่อง ‘Drive My Car’ (2021) มาแล้วเช่นกัน ทำให้พวกเขาหลุดกรอบจากรสชาติแบบญี่ปุ่นนิยมมาสู่รสแบบสากลได้อย่างน่าสนใจ
การสร้างบรรยากาศด้วยงานโปรดักชันที่มาตรฐานสูงทั้งการออกแบบศิลป์และการถ่ายภาพช่วยทำให้เรื่องดูน่าสนใจขึ้นมาก หมู่บ้านเคงะมูระถูกสร้างขึ้นกลางป่าต้นไม้หนาแน่นชวนน่าสงสัย แถมยังเป็นเกาะปิดตายบนแผ่นดินที่ล้อมด้วยหุบเหวมีเพียงสะพานเส้นเดียวที่เชื่อมไปสู่โลกภายนอก ก็ทำให้ได้กลิ่นนิยายสยองขวัญคลาสสิกที่มักซ่อนอสุรกายเอาไว้ ซึ่งในเรื่องนี้ก็คือชายแก่แปลกหน้าผมเผ้ากระเซอะกระเซิงใส่ชุดแบบคนเก่าแก่ ด้วยรูปร่างสูงใหญ่เกินมนุษย์มีอาการเหมือนคนแก่หลงลืมแต่ก้าวร้าวและดวงตาที่ขาวจนไร้ตาดำก็ชวนให้นึกถึงซอมบี้ยักษ์ไม่น้อย
นอกจากนี้ยังค่อย ๆ แทรกซึมด้วยความหลอนจากการกระทำของพวกคนในหมู่บ้าน ตั้งแต่ตระกูลใหญ่อย่างโกโตะที่จับจองทรัพยากรหลักของหมู่บ้านและตั้งตนเหมือนกลุ่มยากูซ่าท้องถิ่น เหตุการณ์ที่พวกเขาพาพระเอกออกล่าหมีที่ฆ่าคนในตระกูลโกโตะ แล้วชวนพระเอกกินเนื้อหมีดิบตัวที่กินคนมาเพื่อให้เลือดเนื้อของญาติพี่น้องของพวกเขาที่ถูกฆ่าได้ยังอยู่ในตัวลูกหลานต่อไป ก็ทำให้เห็นถึงความต่างจากบรรทัดฐานที่เราเข้าใจไปอย่างสิ้นเชิง
รอยขีดเขียนในซอกเสาบ้านพักตำรวจที่น่าจะเป็นลายมือของตำรวจคนก่อนหน้าที่หายตัวไปซึ่งเขียนว่า “หนีไปซะ” ก็ทำให้ภาพหมู่บ้านแสนสุขสงบดูน่าสงสัยขึ้นมา จนกระทั่งพิธีศพของคนที่ถูกหมีฆ่าแต่ในโลงกลับว่างเปล่าไม่มีศพอยู่ก็ค่อย ๆ เสริมเสียงลือที่พระเอกได้ยินว่าหมู่บ้านนี้มีวัฒนธรรมการกินเนื้อคนอยู่เข้าไปอีก
เมื่อบรรยากาศปูมาเยี่ยมแน่น ๆ สิ่งที่คาตามายะและโอเอะเพิ่มลงไปอีกคือเปลี่ยนบุคลิกของพระเอกอย่างนายตำรวจหนุ่มให้ดูสมจริงขึ้น จากเดิมในมังงะจะเป็นคนที่ล่ก ๆ อ่อนแอ แต่ อากิระ ยูยะ ที่เคยได้รางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมจากคานส์ใน ‘Nobody Knows’ (2004) ก็มาทำให้ตัวละครตำรวจนี้กลายเป็นพวกเลือดร้อนที่มีปมขัดแย้งในอดีตจากการกระทำของเขาทำให้เขาต้องเรียนรู้การอดทนอดกลั้นมากขึ้น แน่นอนว่าการอยู่ในหมู่บ้านที่ดูอันตรายต่อครอบครัวของเขา ก็เป็นบททดสอบที่น่าสนใจให้เอาใจช่วยทดแทนบุคลิกอ่อนแอของตัวละครในฉบับมังงะ
ซีรีส์จึงดูมีมิติที่ลึกมากและพระเอกก็ดูเป็นคนจริง ๆ ที่ไม่ใช่ไม่เรียนรู้และทำตัวโง่ ๆ ในหนังแนวสยองขวัญทั่วไป แต่เขาจะเหมือนเจ้าหน้าที่มิลส์ใน ‘Se7en’ (1995) ที่เคยรับผลกรรมจากความเลือดร้อนของตัวเองมาแล้ว และกำลังถูกความชั่วร้ายท้าทายให้โมโหจนขาดสติตลอดเวลา ซึ่งใครที่ดูปมในอดีตของตัวเอกในตอนที่ 3 แล้วก็คงยอมรับว่าซีรีส์สร้างเงื่อนไขที่เราอินไปกับตัวเอกได้ง่ายเพราะมันดูสมจริงและเป็นทางเลือกแบบคนจริง ๆ จะทำ ซึ่งกลายเป็นจุดเด่นของซีรีส์นี้ไปเลย
บรรยากาศแบบหลอนๆ ชวนสงสัย แต่ฉากแอ็กชันและดราม่าเองก็เดือดมาก ในตอนที่ 3 ของซีรีส์นี้เรียกได้ว่าจุดเปลี่ยนสำคัญเลย เพราะมีการตัดสลับการเล่าระหว่างอดีตและปัจจุบันที่พระเอกกำลังถูกถล่มกระสุนใส่ได้สนุกมาก ทั้งยังให้เห็นพัฒนาการของตัวละครผ่านปมในอดีตที่น่าชื่นชมมาก โดยเฉพาะการแสดงของน้องหนู ชิมิสึ โคโคเนะ ในบทเด็ก 8 ขวบที่เคยร่าเริงกลับกลายมาเป็นเด็กที่เงียบขรึมเป็นอะไรที่เราเซอร์ไพรส์มาก
นักแสดงอย่าง อากิระ ยูยะ นี่ดีหายห่วงอยู่แล้ว ยิ่งได้ลูกคู่ส่งพลังใส่ในฝั่งตรงข้ามอย่าง คาซามัตสึ โช ด้วยนี่ยิ่งทำให้มันสมน้ำสมเนื้อ และพอตอนที่ 4 เป็นต้นไปเราได้เห็นตัวละครใหม่ที่มาจุดความสงสัยให้น่าเชื่อขึ้น แถมยังมีการพลิกมุมมองของเรื่องจนไม่มีอะไรให้ไว้วางใจได้ก็ยิ่งรู้สึกอยากดูตอนต่อไปใจจะขาดขึ้นไปอีก แต่เหนืออื่นใด โยชิโอกะ ริโฮะเองก็สวยแกร่งดูเพลินตามากต้องยอมรับการคัดเลือกนักแสดงในซีรีส์นี้จริง ๆ
ซีรีส์นี้มีความยาว 7 ตอน ซึ่งตอนสุดท้ายจะฉายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เมื่อประเมินจากตัวมังงะคาดว่าซีรีส์ซีซันแรกน่าจะจบเนื้อหาแค่ประมาณเกือบครึ่งหนึ่งเท่านั้น หวังว่าจะมีการสร้างภาคต่อจนจบเนื้อหาสมบูรณ์นะ เอาใจช่วยมาก
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส