[รีวิว] Kampen om Narvik : อีกมุมหนึ่งในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ยังไม่เคยถูกเล่า

Release Date

23/01/2023

Rate : 13+

Time : 1 Hr 48 m

Director : Erik Skjoldbjærg

Writers : Christopher Grøndahl, Live Bonnevie, Erik Skjoldbjærg

Stars : Kristine Hartgen, Henrik MestadStig, Henrik Hoff

Country ; Norway

Language : Norwegian

[รีวิว] Kampen om Narvik : อีกมุมหนึ่งในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ยังไม่เคยถูกเล่า
Our score
7.0

[รีวิว] Kampen om Narvik : อีกมุมหนึ่งในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ยังไม่เคยถูกเล่า

จุดเด่น

  1. เล่าเรื่องรวดเร็ว กระชับ
  2. ได้รับรู้แง่มุมใหม่ ๆ ในสงครามโลกครั้งที่ 2
  3. ไม่มีภาพรุนแรงรบกวนจิตใจ
  4. วางตัวเป็นกลางดี ไม่วิพากษ์ว่าฝ่ายไหนดีเกินไป เลวเกินไป

จุดสังเกต

  1. มีหลายประเทศในเรื่อง ต้องใช้สมาธิในการรับชม เพื่อแยกแยะทหารแต่ละประเทศ
  2. หนังทุนต่ำ อย่าคาดหวังฉากรบอลังการ ระเบิดตูมตามมากมายนัก
  • คุณภาพงานสร้าง

    6.0

  • คุณภาพนักแสดง

    7.0

  • บทภาพยนตร์

    8.0

  • ความบันเทิงตามแนวหนัง

    6.5

  • คุ้มค่าเวลารับชม

    7.5

นับถึงวันนี้ สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ผ่านมาเกือบ 80 ปีแล้ว แต่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั่วโลกก็ยังคงสร้างหนังเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ออกมาเนือง ๆ แค่เฉพาะฮอลลีวูดก็สร้างออกมาเกือบ 200 เรื่องแล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าเรามักได้ดูหนังที่ถูกเล่าจากมุมมองของฝั่งสหรัฐฯ บ่อยมากสุด รองลงมาก็หนังจากฝั่งยุโรป จีน และ ญี่ปุ่น ซึ่งก็ล้วนเล่ามุมมองจากฝ่ายสัมพันธมิตร และฝ่ายอักษะ แต่สำหรับเรื่องนี้ Kampen om Narvik นับว่าเป็นแง่มุมแปลกใหม่ของหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะถูกเล่าจากมุมมองของประเทศเป็นกลางอย่างนอร์เวย์

เช่นเดียวกับหนังประวัติศาสตร์ทั่วไป ที่มักจะเปิดเรื่องด้วยคำบรรยาย Kampen om Narvik บรรยายให้ผู้ชมรู้จักความสำคัญของ “นาร์วิค” เมืองเล็ก ๆ ทางตอนเหนือของนอร์เวย์ที่กลายเป็นสมรภูมิสู้รบกันระหว่างอังกฤษและเยอรมันในเดือนเมษายน จนถึง มิถุนายน ปี 1940 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 เหตุเพราะนาร์วิคมีเหมืองเหล็กที่กำลังการผลิตสูงมาก และเป็นแร่ธาตุสำคัญที่เยอรมันต้องการนำไปสร้างอาวุธและพาหนะที่ใช้ในการศึก ทำให้อังกฤษต้องการยึดครองเพื่อตัดเส้นทางแร่เหล็กของเยอรมัน แต่นี่คือหนังที่มุ่งสร้างความบันเทิงไม่ใช่เล่าประวัติศาสตร์ ผู้เขียนจึงต้องสร้างตัวละครหลักขึ้นมาเป็นตัวเดินเรื่องบนฉากหลังที่เป็นเหตุการณ์จริง แบบเดียวกับ Titanic นั่นละ


แม้ Kampen om Narvik จะเป็นหนังนอร์เวย์ แต่ก็ต้องเผชิญกับวิบากกรรมของโควิด-19 เช่นกัน เพราะหนังก็ต้องพักกองไปในช่วงที่โควิด-19 ระบาดหนัก พอกลับมาถ่ายทำเสร็จ เกิดสงครามยูเครน-รัสเซีย เอาหนังออกฉายไมได้อีก เพราะคนยุโรปกำลังตึงเครียดกับบรรยากาศสงครามที่คุกรุ่น ก็ต้องให้สถานการณ์คลี่คลายลงหน่อยค่อยออกฉาย หนังก็เลยเอาเข้าโรงฉายในนอร์เวย์เมื่อธันวาคม 2022 แล้วขายให้กับ Netflix มาฉายในเดือนมกราคม 2023 แล้วก็น่าทึ่งที่ว่าหนังนอร์เวย์ ที่ไม่มีชื่อขายเลยทั้งนักแสดงและผู้กำกับ แต่หนังก็สามารถขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ต Netflix บ้านเราได้แม้จะเป็นช่วงสั้น ๆ ก็ตาม

กุนนาร์ และ อิงกริด ทอฟเตอร์ คู่พระ-นาง ของเรื่อง

ตัวละครหลักใน Kampen om Narvik คือ กุนนาร์ ทอฟเตอร์ ที่ถูกเกณฑ์ไปเข้าร่วมกับกองทัพนอร์เวย์ แม้ประเทศจะประกาศตนเป็นกลาง แต่กองทัพก็จับมือกับอังกฤษและฝรั่งเศส ที่อาสามาขับไล่เยอรมันออกจากนอร์เวย์ หนังเปิดเรื่องในช่วงที่อังกฤษส่งทหารมา 2 นาย เพื่อสำรวจพื้นที่ก่อนส่งกองทัพมาขับไล่ทหารเยอรมัน แต่เข้ามาได้ไม่นานเยอรมันก็ยกทัพเข้ามา และใช้โรงแรมรอยัลในนาร์วิคเป็นพื้นที่บัญชาการชั่วคราว ซึ่ง อิงกริด ทอฟเตอร์ ภรรยาของกุนนาร์ทำงานอยู่ที่นี่ ด้วยเหตุที่เธอพูดภาษาเยอรมันได้ จึงกลายเป็นล่ามไปโดยปริยาย ขณะเดียวกันเธอก็คือผู้ที่นำตัวทหารอังกฤษไปแอบซ่อนไว้และคอยส่งข่าวความเคลื่อนไหวของทางฝ่ายเยอรมันให้ทางอังกฤษรับทราบ

ด้านหน่วยรบของกุนนาร์ก็เสียท่าให้กับกองทัพเยอรมัน กุนนาร์โดนจับตัวไปเป็นเชลยศึก กลายเป็นเรื่องราวดราม่าชีวิตรันทดท่ามกลางสนามรบ ให้คนดูคอยลุ้นเอาใจช่วยกันว่าเรื่องราวจะจบแบบสุขหรือเศร้า สุดท้ายพ่อแม่ลูกจะได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้าหรือไม่ หรือใครต้องจากไปในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ เพราะสถานการณ์ทั้งทางฝั่งกุนนาร์และอิงกริดต่างก็ล่อแหลมพอ ๆ กัน

ข้อดีของหนังก็คือเล่าจบในเวลาพอเหมาะพอสม 1 ชั่วโมง 48 นาที ปูความไม่นานนาร์วิคก็ตกอยู่ในวิกฤตการณ์แล้ว หนังตัดสลับไปมาระหว่างกุนนาร์ที่อยู่ในสนามรบ และทางฝั่งอิงกริดที่ต้องทำหน้าที่สายลับจำเป็น มีฉากให้ลุ้นไปกับปฏิบัติการณ์ของเธออยู่เนือง ๆ และฉากที่ตึงเครียดที่สุดของเรื่องก็คือเรื่องราวทางฝั่งของเธอ ที่เธอต้องตัดสินใจเลือก ระหว่างชีวิตลูกชายกับอนาคตของนาร์วิค แม้ Kampen om Narvik จะเป็นหนังสงคราม แต่ทั้งเรื่องก็มีฉากรบให้ได้เห็นแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น ก็เลยกลายเป็นข้อดีอีกอย่างที่สามารถเปิดดูไประหว่างทานข้าวได้ หนังมีเลือดให้เห็นน้อยมาก ไม่มีฉากโหด ฉากแหวะ เพราะหนังได้เรต 13+และเป็นหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 น้อยเรื่องนัก ที่ไม่สร้างภาพให้เยอรมันเป็นปีศาจจนเกินไป พูดได้เลยว่าทหารเยอรมันในเรื่องนี้ดูเป็นผู้เป็นคนมีมนุษยธรรมที่สุดที่เคยดูมา

ข้อด้อยของหนังก็คือ การต้องใช้สมาธิสูงในการรับชม เพราะมีทหารหลายฝ่ายมาก แล้วทั้งเครื่องแบบและภาษาพูดก็ฟังดูคล้าย ๆ กันเสียด้วย พอเราพยายามจับเอกลัษณ์ของเครื่องแบบได้ว่านี่คือทหารนอร์เวย์ นี่คือทหารเยอรมัน นี่คือทหารอังกฤษ ก็ดันมีทหารฝรั่งเศสเพิ่มมาอีก Kampen om Narvik เป็นหนังที่ใช้ทุนสร้างไม่สูงนัก แค่ 8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จึงไม่ได้เห็นฉากรบแบบระเบิดระเบ้อนัก ระเบิดแต่ละทีก็ใช้ภาพมุมกว้างเห็นระเบิดไกล ๆ ทั้งเรื่องยังเห็นทหารไม่ถึงร้อยคนเลย แต่ผู้สร้างเองก็รู้ข้อจำกัดในส่วนนี้ดี จึงไม่ได้เน้นขายฉากรบ แต่ไปเน้นเรื่องการพยายามเอาชีวิตรอดของทั้งกุนนาร์และอิงกริด โดยมีอิสรภาพของชาวนอร์เวย์เป็นเดิมพัน

อีริค โชลจาร์ก (Erik Skjoldbjærg)

หนังเป็นผลงานของ อีริค โชลจาร์ก (Erik Skjoldbjærg) ผู้กำกับมือเก๋าของนอร์เวย์ เคยเป็นเจ้าของผลงาน Insomnia (1997) ที่ถูกฮอลลีวูดรีเมกเมื่อปี 2002 แล้วโชลจาร์กยังเป็นมือเขียนบทภาพยนตร์ด้วย ซึ่งเรื่องนี้เขาก็ควบหน้าที่เขียนบทร่วมด้วย ก็นับว่าไม่เสียชื่อมือเขียนบทรุ่นเก๋า เดินเรื่องได้เร็วน่าติดตาม ผสานเนื้อหาดราม่าและประวัติศาสตร์ได้กลมกลืน ดูแล้วได้ทั้งความบันเทิงและได้รับรู้แง่มุมใหม่ ๆในประวัติศาสตร์ ไม่ได้ยกยอว่าฝ่ายไหนดีงามหรือเขียนให้ฝ่ายไหนเลวร้าย ตอนท้ายหนังก็บรรยายด้วยภาพนิ่งสั้น ๆ ว่า ในที่สุดทั้งเยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส ต่างก็เอาตัวรอดแล้วไปกันทั้งนั้น แล้วนาร์วิคก็กลายเป็นเมืองที่ต้องรับเคราะห์กรรมจากการที่ประเทศเหล่านี้มาตีกัน

ดูได้เลยครับ ไม่เสียเวลา ไม่เปลืองค่าเน็ต