Release Date
02/02/2023
Runtime
151 Minutes
Genre
Drama
Director
Steven Spielberg
Cast
Michelle Williams Paul Dano Gabriel LaBelle Chloe East Judd Hirsch
Our score
9.6[รีวิว] The Fabelmans – ในความมืดนั้น ความฝันกำลังฉายแสง
จุดเด่น
- บทภาพยนตร์ถ่ายทอดเรื่องราวที่ดูส่วนตัวมาก ๆ ได้น่าประทับใจ
- การแสดงของมิเชล วิลเลียมส์ สามารถทำคนดูหัวใจสลายได้หลายซีนเลยทีเดียว
- งานภาพที่ถ่ายด้วยฟิล์มทำให้หนังดูขลังและเป็นประสบการณ์แสนพิเศษจริง ๆ
- เป็นหนึ่งในหนังที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่รุนแรงมาก สำหรับคนรักหนัง
จุดสังเกต
-
การแสดง
9.8
-
โปรดักชัน
10.0
-
บทภาพยนตร์
9.8
-
ความบันเทิง
9.0
-
ความคุ้มค่าในการชม
9.5
โดยประสบการณ์ส่วนตัวตั้งแต่จำความได้การได้ยินชื่อ สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ในโฆษณาภาพยนตร์เรื่องไหน โดยการรับรู้ส่วนตัวคือต้องเป็นหนังทุนสร้างสูง หนังดูสนุก และแน่นอนคือฉายา “พ่อมดแห่งฮอลลีวูด” ที่รังสรรค์ภาพจินตนาการอันแสนบรรเจิด นำเสนอเรื่องราวผจญภัยอันไร้ขอบเขตตั้งแต่นักโบราณคดีผู้ตามล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าไปจนถึงกำเนิดใหม่ไดโนเสาร์ และแน่นอนเมื่ออายุมากขึ้น ความรู้ด้านภาพยนตร์เริ่มพอกพูนก็ได้เรียนรู้ “วิธีการ” ที่พ่อมดท่านนี้ใช้ไม่ว่าจะเป็นมุมกล้อง เทคนิคพิเศษหรือกระทั่งทีมงานคู่บุญที่พาภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่องกลายเป็นตำนานหนังดีที่ไ่ม่มีวันหมดอายุ
แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ชมอย่างผมและใครหลายต่อหลายคนยังไม่เคยรู้และไม่มีโอกาสได้รู้ก็คือเรื่องของตัวตน แรงบันดาลใจและชีวิตเบื้องหลังทักษะการเล่าเรื่องอันแสนอัศจรรย์ทั้งหลาย และเป็น ‘The Fabelmans’ ที่สปีลเบิร์กเขียนบทร่วมกับโทนี คุชเนอร์ (Tony Kushner) หนึ่งในนักเขียนที่สปีลเบิร์กร่วมงานมาตั้งแต่ ‘Munich’ ยัน ‘West Side Story’ ที่ได้เข้าชิงออสการ์ปีก่อนมาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวที่ได้แรงบันดาลใจจากชีวิตส่วนตัวของสปีลเบิร์กเอง
หนังเล่าเรื่องของ แซมมี เฟเบิลแมนส์ (แกเบรียล ลาเบลล์ Gabriel LaBelle) เด็กหนุ่มอเมริกันเชื้อสายยิวที่เติบโตในครอบครัวที่มีคุณพ่ออย่าง เบิร์ต (พอล ดาโน Paul Dano) วิศวกรคอมพิวเตอร์อนาคตไกล และ มิตซี่ (มิเชล วิลเลียมส์ Michelle Williams) คุณแม่นักเปียโนที่ทิ้งความฝันมาเลี้ยงดูลูก ๆ ทั้ง 4 คน แซมมีหลงใหลในศาสตร์การทำหนังตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งความลับบางอย่างที่กำลังทำให้ครอบครัวของเขาเกิดรอยร้าวกลายมาเป็นบทพิสูจน์หัวใจต่อศาสตร์ของภาพยนตร์
สิ่งที่ทำให้ ‘The Fabelmans’ ยืนเด่นท่ามกลางงานมาสเตอร์พีซมากมายของสปีลเบิร์ก นอกจากงานกำกับภาพของยานุสซ์ คามินสกี (Janusz Kaminski) ที่ถ่ายทอดชีวิตอันแสนมหัศจรรย์ลงแผ่นฟิล์ม ทั้ง 8 มม. 16 มม. และ 35 มม. ได้อย่างมีชีวิตชีวา และ จอห์น วิลเลียมส์ (John Williams) อีกหนึ่งคอมโพสเซอร์คู่บุญจะรังสรรค์ดนตรีประกอบที่ช่วยโอบอุ้มบรรยากาศโรแมนติกถวิลหาอดีตอันแสนอบอุ่นแล้ว
ในฐานะศิลปินเองนี่เป็นครั้งแรกที่ สปีลเบิร์กยอมเปิดลิ้นชักความทรงจำและเผยตัวตน ความเจ็บปวดอันเกิดจากสองทางแยกในชีวิตของเขาอย่างศิลปะและครอบครัวผ่านเรื่องราวของแซมมี่ได้อย่างละเมียดละไม สิ่งที่ผู้ชมโดยเฉพาะในฐานะคนรักหนังและฟิล์มเมกเกอร์ต้องขอบคุณสปีลเบิร์กงาม ๆ สำหรับการทำหนังเรื่องนี้คือการที่มันกลับมาสร้างความมหัศจรรย์ผ่านศิลปะของการเล่าเรื่องเป็นสำคัญ
ทั้งหนัง ‘The greatest show on earth’ หนัง จอห์น ฟอร์ด (John Ford) ที่เขาผูกพันและนับถือ เรื่องราวของการทำหนังโฮมมูฟวี่จากกล้อง 8 มม. ไปจนถึงเรื่องราวการใช้ชีวิตในครอบครัวชาวยิวและการต้องต่อสู้กับการถูกเหยียดในฐานะคนยิวที่โรงเรียนด้วยคำพูดที่คนดูน้อยคนมากที่ได้ดูแล้วจะไม่ตกใจและรู้สึกได้เลยว่าเหมือนสปีลเบิร์กได้เปิดแผลและตัวตนของเขาผ่านหนังเรื่องนี้อย่างหมดเปลือก จริงใจ แต่ยังถูกบอกเล่าได้เปี่ยมอารมณ์และน่าอัศจรรย์ไม่ต่างจากหนังมาสเตอร์พีซเรื่องอื่น ๆ เลย
จนทำให้แม้ ‘The Fabelmans’ ไม่ได้มีภาพล้ำอนาคต ไม่ได้มีสเปเชียลเอฟเฟกต์ตระการตาเท่าหนังฟอร์มยักษ์เรื่องอื่นแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า บทภาพยนตร์ ถูกเขียนมาล้ำค่ามากเพียงพอที่จะทำให้เราติดตามเรื่องราวและรู้สึกไปกับตัวละครทุกตัวได้สมศักดิ์ศรีผู้กำกับที่ชื่อ สตีเวน สปีลเบิร์ก จริง ๆ หลายซีนหลายจังหวะของหนังไม่เพียงทำให้เราแค่หัวเราะหรือมีน้ำตาปริ่มขอบ ทีละน้อยมันยังสื่อสารและทำงานกับหัวใจคนดูตลอดเวลา 2 ชั่วโมงครึ่งของมันได้อย่างทรงคุณค่ามากมายนัก
อีกจุดที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือการแคสติงนักแสดงที่เรียกได้ว่าถูกตัว เหมาะสมและส่งเสริมกับภาพรวมหนังโดยรวม เอาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ที่แน่นอนว่า มิเชล วิลเลียมส์ ไม่ทำให้เสียของเลย เธอรับบทแม่ที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบแต่เปี่ยมหัวใจและแรงผลักดันที่ไม่ต้องการให้ลูกชายของเธอทิ้งความฝันซะจนผู้ชมอดเสียน้ำตาให้เธอไม่ได้ พอล ดาโน เองก็สามารถเอาชนะอคติที่ตัวเขามีหน้าตาดูอ่อนกว่าวัยด้วยทักษะการแสดงที่ต้องรับบทตั้งแต่คุณพ่อวัยหนุ่มจนถึงวัยชราได้โคตรน่าชื่นชม แม้จะถูก จัดด์ เฮิร์ช (Judd Hirsch) นักแสดงรุ่นเก๋าขโมยซีนจนปาดหน้าเค้กเข้าชิงออสการ์ไปทั้งที่มีเวลาบนจอเพียงหลักนาทีเท่านั้น
ส่วนบรรดานักแสดงรุ่นลูกก็เรียกได้ว่านี่จะเป็นงานแจ้งเกิดให้ใครหลายคนได้เลยโดยเฉพาะ แกเบรียล ลาเบลล์ ที่รับบทแซมมี่ได้อย่างเปี่ยมความรู้สึกแม้จะต้องประชันบทบาทกับทั้ง มิเชล วิลเลียมส์ และ พอล ดาโน แต่ลาเบลล์ก็เอาอยู่ ไปจนถึง โคลอี อีสต์ (Chloe East) ที่มารับบท โมนิกา สาวคริสเตียนที่มาหลงรักแซมมี่ ที่น่าจะขโมยหัวใจหนุ่ม ๆ ไปด้วยท่าทางก๋ากั่น โก๊ะกังแต่รู้ตัวอีกทีก็โดนเธอตกไปเสียแล้ว
กล่าวโดยสรุปแล้ว ‘The Fabelmans’ ถือเป็นอีกหนึ่งในงานมาสเตอร์พีซที่น่าจดจำมากของ สตีเวน สปีลเบิร์ก นอกจากเป็นหนังดราม่าครอบครัวอบอุ่นแล้ว มันยังพูดและสื่อสารกับคนรักหนังในฐานะจดหมายรักต่อภาพยนตร์ อีกทั้งเรื่องราวที่ดูส่วนตัวมาก ๆ ของสปีลเบิร์กยังถูกเล่าได้อย่างเปี่ยมอารมณ์ไม่ทิ้งความบันเทิงและเป็นอีกหนึ่งงานที่ถือเป็นประสบการณ์ชมภาพยนตร์ที่ล้ำค่าเหลือเกินในปี 2023 นี้
หนังมีกำหนดเข้าฉายวันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 นี้
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส