[รีวิว] The Whale – อาการตกค้างหลังหนังจบมีจริง
Our score
8.9

Release Date

16/02/2023

Runtime

117 Minutes

Genre

Drama

Director

Darren Aronofsky

Cast

Brendan Fraser Sadie Sink Hong Chau Ty Simpkins

[รีวิว] The Whale – อาการตกค้างหลังหนังจบมีจริง
Our score
8.9

[รีวิว] The Whale – อาการตกค้างหลังหนังจบมีจริง

จุดเด่น

  1. The Whale ให้ประสบการณ์ชมภาพยนตร์แบบกึ่งละครเวทีที่เต็มอารมณ์มาก
  2. นักแสดงทุกคน ถ่ายทอดบทบาทที่ซับซ้อนได้อย่างสมจริงและยอดเยี่ยม

จุดสังเกต

  1. นี่เป็นหนังที่ไม่ได้สร้างมาเพื่อคนดูทุกคน แต่หากเปิดใจชมและเทียบเคียงประสบการณ์ส่วนตัวกับตัวละคร มันจะเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่สัมผัสใจผู้ชมมากที่สุดในยุคนี้
  • การแสดง

    10.0

  • โปรดักชัน

    8.0

  • บทภาพยนตร์

    10.0

  • ความบันเทิง

    7.5

  • ความคุ้มค่าในการรับชม

    9.0

หนึ่งในจุดเด่นของภาพยนตร์ที่กำกับโดย ดาเรน อโรนอฟสกี (Darren Aronofsky) นอกจากเรื่องราวของการไถ่บาป และพลอตเรื่องที่แทบจะหลุดโลกแล้ว หนังของเขายังให้โอกาสนักแสดงที่เคยห่างหายจากวงการได้กลับมาเหมือนตอน มิกกี รู้ค (Mickey Rourke) ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ใน ‘The Wrestler’ และกลับมามีงานแสดงเป็นผลพวงจากโอกาสดังกล่าว และใน ‘The Whale’ ก็เป็นอีกครั้งที่หนังได้พา เบรนเเดน เฟรเซอร์ (Brendan Fraser) กลับมาในสปอตไลต์อีกครั้งหลังจากเผชิญมรสุมชีวิตคร้้งใหญ่ที่ทำให้ขวัญใจสาว ๆ ยุค 90s หายไปจากหน้าจอ

สนับสนุนข้อมูลโดย Major Cineplex

เรื่องราวของหนังจะวนอยู่รอบ ๆ ชาร์ลี (รับบทโดย เฟรเซอร์) ชายร่างยักษ์หนัก 136 กก. ผู้มีอาชีพเป็นอาจารย์พิเศษสอนด้านการเขียนภาษาอังกฤษทางออนไลน์ ซึ่งเขาสามารถปิดกล้องไม่ให้นักศึกษาเห็นรูปลักษณ์ของเขาได้ และด้วยอาการเจ็บป่วยจากการกินผิดปกติทำให้ ลิซ (รับบทโดย ฮงเชา Hong Chau) เพื่อนสาวผู้เป็นพยาบาลมาคอยดูแลให้เขายังมีลมหายใจต่อไป แต่เมื่ออาการของเขาเริ่มแย่ลงจากภาวะหัวใจล้มเหลวหลายครั้ง ความปรารภนาสุดท้ายในชีวิตชาร์ลีมีเพียงการได้กลับไปสานสัมพันธ์กับ เอลลี (รับบทโดยเซดี ซิงค์ Sadie Sink) ลูกสาวที่เขาทิ้งเธอไปตอน 8 ขวบก่อนเขาจะอำลาโลกนี้ไป

ก่อนอื่นคงต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนนะครับว่า ‘The Whale’ นั้นมีต้นทางมาจากบทละครของ แซมมูเอล ดี ฮันเทอร์ (Samuel D. Hunter) ที่กลับมาดัดแปลงเป็นบทหนังด้วยตัวเอง ดังนั้นโครงสร้างการเล่าเรื่องจะถูกขับเคลื่อนด้วยตัวละครเป็นหลัก (Character Driven Plot) นั่นหมายถึงอโรนอฟสกีจะต้องกำกับการแสดงให้แข็งแรงพอ ๆ กับงานเทคนิคที่จะนำพาผู้ชมให้เข้าใจความคิดและความปรารถนาอันซับซ้อนของตัวละคร ซึ่งก็หมดห่วงเพราะหนังส่วนใหญ่ของอโรนอฟสกีเองก็มักมีตัวละครที่ไม่ค่อยปกติแต่ถูกถ่ายทอดออกมาได้ละเอียดอ่อนเปี่ยมอารมณ์อยู่แล้ว

ซึ่งนั่นทำให้สังเกตเห็นว่าคราวนี้ มุมกล้องและงานเทคนิคที่เคยหนักมือดูเบาลงจนแทบไม่เหลือการวางเฟรมสุดอวองการ์ดใน ‘Pi’ หรืองานเคลื่อนกล้องบ้าพลังมาตั้งแต่ ‘Requiem for a dream’ ยัน ‘Mother’ ที่เคยทำเอาคนดูประสาทกินมาแล้ว นั่นหมายถึงอโรนอฟสกีเองก็เชื่อในพลังของบทและการแสดงมากพอที่จะปล่อยให้ ‘The Whale’ ถูกถ่ายภาพแค่กว้าง กับ แคบ แถมเคลื่อนกล้องยังน้อยมากจนน่าตกใจ กลับกันผลลัพธ์ของมันกลับหนักหน่วงและรุนแรงเหลือเกินครับ ซึ่งนั่นทำให้รีวิวนี้เราน่าจะต้องพูดถึงนักแสดงแบบเรียงคนจริง ๆ

เริ่มกันที่เฟรเซอร์ ที่เริ่มแรกเหมือนบทชาร์ลีจะไม่ได้ท้าทายอะไรมากไปกว่าการสวมชุดพุงหนัก 136 กก. เคลื่อนไหวเหมือนคนเป็นแผลกดทับซึ่งลำพังแค่การเคลื่อนไหวให้ไม่เหมือนคนใส่ชุดมาสคอตก็น่าชื่นชมแล้วแต่พอหนังเข้าช่วงดรามาทั้งการหวนระลึกถึงคนรักเก่าที่ตายไปและภาพครอบครัวในวันวาน การแสดงของเฟรเซอร์ละเอียดมากพอให้กล้องที่ถ่ายมันนิ่ง ๆ สร้างแรงสั่นกระเพื่อมรุนแรงไปถึงผู้ชมในทุกซีน ทุกการเคลื่อนไหว

Beartai Buzz รีวิว The Whale อาการตกค้างหลังหนังจบมีจริง
Beartai Buzz รีวิว The Whale อาการตกค้างหลังหนังจบมีจริง

ทุกการแสดงสีหน้ามีความหมายและคงไม่ผิดหากจะบอกว่าเฟรเซอร์เองก็ตระหนักดีว่าบทชาร์ลีคือของขวัญของพระเจ้าที่เขาต้องทุ่มชีวิตให้มันเหมือนเป็นงานสุดท้ายก่อนหมดลมหายใจ (ซึ่งโชคดีสำหรับพวกเราครับที่มันไม่ใช่) และผลลัพธ์ก็คือการได้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายในปีนี้ (และแน่นอนว่าเราอดลุ้นให้เขาได้รางวัลไม่ได้จริง ๆ )

ส่วนต่อมาที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการแสดงของเธอส่งผลกระเทือนอย่างรุนแรงต่อคนดูอย่างมากคือ ฮง เชา นักแสดงเชื้อสายเวียตนามที่สร้างชื่อมาจากการได้เข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงสมทบหญิงครั้งแรกจาก ‘Downsizing’ และการกลับมาเข้าชิงอีกครั้งใน ‘The Whale’ ก็หาใช่บท ‘สร้างสีสัน’ แต่ชีวิตตัวละครอย่าง ลิซ เรียกร้องอะไรมากกว่านั้น ด้วยพื้นหลังตัวละครที่ก้าวผ่านความเจ็บปวดและผิดบาปจนกลายเป็นความผูกพันธ์และบ่วงกรรมร่วมกับชาร์ลี

ทำให้การต้องมองความตายมาเยือนชาร์ลีไม่ใช่เรื่องง่ายและ เชา ก็เล่นเอาคนดูต้องตายกับกิจกรรมง่าย ๆ อย่างการช่วยไม่ให้เพื่อนรักต้องอาหารติดคอตายหรือการหยิบยื่นถังไก่ทอดและแซนด์วิชชิ้นโตให้เขาทั้งที่รู้ว่ามันคือการการุณยฆาตด้วยคอเลสเตอรอลมหาศาล และแน่นอนว่าการแสดงของเชาทั้งหนักและเบาในบทบาทที่เหมือนจะง่าย จู่โจมคนดูอย่างรุนแรงไม่ต่างกัน

และคนต่อไปที่เราจะเลี่ยงไม่พูดถึงไม่ได้เพราะบทของเธอโดดเด่นเหลือเกินคือ เซดี ซิงค์ ในบทเอลลี ใช่ครับปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตัวละครของเธอปรากฎในเรื่องเพื่อตัดความอึมครึมของเรื่องคนใกล้ตายอย่างชาร์ลีและการดูแลที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานของลิซ แต่พอมองให้ลึกไปกว่าความปากร้ายและอาการงอนสไตล์ “ตัวแม่จะแคร์เพื่อ…”แบบเด็กเจนซี เจนอัลฟ่าแล้ว บทหนังก็ไม่ได้ใจดียื่นบทง่าย ๆ ให้น้องซิงค์จาก ‘Stranger Things’ มาปรากฎกายเพื่อการตลาด

ตรงกันข้ามเพราะภายใต้ความร้ายที่เธอใช้เป็นเกราะป้องกันไม่ให้พ่ออย่างชาร์ลีเห็นหัวใจที่แหลกสลายของเธอ บทเอลลี่ ยังพาซิงค์ไปถึงความเป็นนักแสดงที่ไม่ถูกจำกัดด้วยวัยอีกต่อไป ยิ่งพอหนังได้คลายปมต่าง ๆ แล้วในบทสั่งลาที่แอ็กชันของเธอมีแค่การอ่านเรียงความง่าย ๆ กลับทำงานกับหัวใจผู้ชมอย่างหนักหน่วงและพาผู้ชมออกจากโรงด้วยมวลความรู้สึกที่อัดแน่นยากจะถ่ายถอนได้อย่างยอดเยี่ยม

Beartai Buzz รีวิว The Whale อาการตกค้างหลังหนังจบมีจริง
Beartai Buzz รีวิว The Whale อาการตกค้างหลังหนังจบมีจริง

นักแสดงอีกสองท่านที่แม้จะมีเวลาบนจอไม่ได้เยอะมากได้แก่ ไท ซิมป์คินส์ (Ty Simpkins) ในบท โธมัส มิชชันนารีหนุ่มที่มาหลบฝนในชายคาบ้านระหว่างที่ชาร์ลีเกือบตายก็ยิ่งทำให้ภาพรวมการแสดงของหนังแข็งแรงมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงที่หนังเฉลยสาเหตุการเข้ามาของโธมัส การแสดงของซิมป์คินส์ก็ยิ่งตอบโจทย์ธีมการไถ่บาปของหนังได้อย่างดี รวมถึง ซาแมนธา มอร์ตัน (Samantha Morton) ในบทแมรี่ เมียเก่าของชาร์ลีที่โผล่มาบนจอมากกว่า 10 นาทีไม่เท่าไหร่แถมมีแค่ซีนเดียวแต่การแสดงของเธอก็ยากที่คนดูจะลืมเลือนเมื่อออกจากโรงหนังแล้ว

โดยสรุปแล้วแม้หนังจะไม่ได้ถูกพะยี่ห้อว่าเป็นผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ 3 สาขาได้แก่สาขานักแสดงนำชายโดย เบรนแดน เฟรเซอร์ สาขานักแสดงสมทบหญิงโดย ฮง เชา และสาขาแต่งหน้าทำผมยอดเยี่ยม สำหรับผมแล้ว ‘The Whale’ ก็ยังเป็นหนังที่มีคุณค่าในตัวเองและอาจกล่าวได้ว่านี่คือหนังที่กระทบกระเทือนจิตใจที่สุดเรื่องหนึ่งที่ได้ดูในรอบหลายปี

‘The Whale’ จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ที่ร่วมรายการในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 นี้ เตรียมไป ‘เหงา เท่า วาฬ’ กันในโรงภาพยนตร์นะครับ

Beartai Buzz รีวิว The Whale อาการตกค้างหลังหนังจบมีจริง
กดที่ภาพเพื่อเช็กรอบฉายและซื้อบัตรชมภาพยนตร์

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส