Release Date
28/10/2022
Runtime
148 Minutes
Genre
War Drama
Director
Edward Berger
Cast
Felix Kammerer Albrecht Schuch Aaron Hilmer
Our score
8.1[รีวิว] All Quiet on the Western Front – ก้าวข้ามวัยด้วยความโหดร้ายของสงคราม
จุดเด่น
- เป็นหนังสงครามฟอร์มยักษ์ที่ควรค่าแก่การรับชม
- ตัวหนังสามารถถ่ายทอดความโหดร้ายของสงครามได้แตกต่างจากฉบับอื่น
- งานภาพและเสียงของหนังสามารถเป็น เดโม่ ในการทดสอบระบบ Dolby Vision และ Dolby Atmos ได้เลย
จุดสังเกต
- ตัวหนังยาวเกิน 2 ชั่วโมง ดังนั้นอาจต้องใช้เวลาในการรับชมพอสมควร
-
การแสดง
7.5
-
โปรดักชัน
9.0
-
บทภาพยนตร์
8.0
-
ความบันเทิง
8.0
-
ความคุ้มค่าในการรับชม
8.0
ก่อนคุณจะกดชม ‘All Quiet on the Western Front’ มีข้อมูลบางอย่างที่คุณควรทราบไว้ก่อนตัดสินใจนะครับ ประการแรกนี่คือหนังที่จะเล่าเรื่องราวของทหารฝ่ายเยอรมัน ดังนั้นหนังในเวอร์ชันนี้คือจะพูดภาษาเยอรมันเป็นภาษาหลัก ประการที่สองนี่คือหนังที่ดัดแปลงจากนิยายชื่อ ‘Im Westen nichts Neues’ ซึ่งแปลออกมาก็จะเป็นชื่อไทยของหนังคือ ‘แนวรบตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง’ ของ เออริช มาเรีย เรอมาค (Erich Maria Remarque) ที่มาถ่ายทอดประสบการณ์ตัวเองในสงครามโลกคร้้งที่ 1 ผ่านนิยายเรื่องนี้ และประการสุดท้ายหากคุณคุ้น ๆ ชื่อหนัง ใช่แล้วครับมันคือชื่อเดียวกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ครั้งที่ 4 ที่ออกฉายเมื่อปี 1930 นู่นเลย
และในปีนี้ ‘All Quiet on the Western Front’ ที่ลงสตรีมมิงทาง Netflix ไปเมื่อวันที่ 28 ตุลาคมปีก่อนก็ได้โอการกลับมาเยือนเวทีออสการ์ครั้งที่ 95 ใน 9 สาขารวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเช่นเคย โดยในคราวนี้มันก็ได้รับการถ่ายทอดภาพและเสียงแบบเต็มอารมณ์จัดเต็มความรุนแรงแบบที่ทำให้เวอร์ชันก่อน ๆ กลายเป็นหนังเด็กน้อยไปเลย
โดยหนังจะเริ่มขึ้นด้วยฉากที่ทหารชาวเยอรมันถูกสังหารหมู่ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่นานนักเสื้อผ้าของเหล่าทหารก็ถูกเก็บออกจากศพแล้วนำไปซักล้างจนกระทั่งมันเดินทางไปถึง พอล โบเมอร์ และเพื่อน ๆ ที่อาสาเดินทางไปยังแนวหน้าฝั่งตะวันตกโดยมีทหารฝรั่งเศสเป็นข้าศึกที่พวกเขาต้องห้ำหั่นและหวังกอบโกยเกียรติยศกลับบ้าน แต่เมื่อได้ใช้ชีวิตในสนามเพลาะที่มีแต่ห่ากระสุนและระเบิด พร้อมความสูญเสียนับไม่ถ้วน พอลและเพื่อน ๆ ก็เริ่มรับรู้ว่าการมาที่สนามรบคือฝันร้ายที่พวกเขาอยากจะรีบตื่นเสียที
หากให้ตอบอย่างสัตย์จริง เรื่องย่อที่พวกคุณได้อ่านไปหาใช่สาระสำคัญของหนังเรื่องนี้เพียงอย่างเดียว แม้จะต้องซื่อตรงและซื่อสัตย์ต่อนิยายในแง่ของความซื่อตรงต่อวรรณกรรมที่มันดัดแปลงมาแต่ด้วยวิสัยทัศน์ของ เอ็ดวาร์ด เบอร์เยอร์ (Edward Berger) กลับเต็มไปด้วยท่าทีวิพากษ์วิจารณ์และการแสดงความเห็นต่อชะตากรรมของทหารหนุ่มขาดประสบการณ์ที่พาตัวเองมาตายในสมรภูมิรบจากปัญหาที่พวกเขาไม่ได้ก่อ
และแม้ในเวอร์ชันก่อนโดยเฉพาะฉบับที่ได้รับรางวัลออสการ์ที่เป็นหนังขาวดำและมีการทำให้ฉากจบดูเป็นปรัชญาด้วยการเพิ่มฉากผีเสื้อที่โผล่มาแทนสัญญะของสันติภาพในฉากจบ เบอร์เยอร์กลับเลือกทำให้หนังเต็มไปด้วยภาพของโคลนตมและเนื้อหนังที่ถูกกระหน่ำยิงจนเหวอหวะ เลือดสาด ไส้ทะลัก ซึ่งต้องยอมรับว่างานภาพของ เจมส์ เฟรนด์ (James Friend) ถ่ายทอดประหนี่งให้คนดูไม่แค่ “เห็น” แต่แทบจะ “ได้กลิ่น” ออกมาจากภาพเลยแหละ และที่สำคัญหากคุณสมัครแพ็กเกจ 4K และทีวีหรือจอที่สามารถแสดงผล Dolby Vision หรือมี HDR บอกได้เลยว่างานภาพของหนังเรื่องนี้ถ่ายทอดสมรภูมินรกได้สวยและน่ากลัวอย่างน่าประหลาดจริง ๆ
และที่โดดเด่นจนไม่พูดถึงไม่ได้คืองานดนตรีประกอบหนังโดยฝีมือของ โฟลเคอร์ เบอร์เทลมานน์ (Volker Bertelmann) ไม่ได้เป็นเพียงดนตรีที่ทำหน้าที่เป็นฉากหลักเท่านั้น หลายต่อหลายซีนมันเสมือนหนึ่งในตัวละครที่เป็นนามธรรม มันเป็นทั้งคำถามเชิงปรัชญาที่มาสอดแทรกอารมณ์ในสถานการณ์ที่เหมือนไม่สำคัญอย่างการเดินทัพ หรือกระทั่งตอกย้ำซ้ำเติมชะตากรรมของเหล่าทหารหนุ่มไร้เดียงสาเยี่ยงการลงทัณฑ์จากพระเจ้าในฉากที่ถูกข้าศึกถล่มโจมตี
แต่ทั้งหมดทั้งมวลมันกลับไม่ได้บดบังเนื้อหาและสารที่ตัววรรณกรรมที่ต้องการสื่อเลย งานภาพและเทคนิคในการถ่ายทำที่ทันสมัยไม่ได้ทำให้มันเป็นหนังแอ็กชันบ้าเลือด แม้จะมีฉากสงครามระเบิดตูมตามแต่ทุกซีนสามารถตอบรับกับสารที่หนังต้องการนำเสนอเพราะหลักจากนั้นทุกศพทุกบาดแผลก็คือผลจากความโหดร้ายของสงครามตามที่นิยายต้นฉบับได้บรรยายไว้ และแม้ผมจะเคยชมหนังในเวอร์ชันปี 1930 มาก่อนแต่ทุกความโหดร้ายของหนังกลับกลายเป็นบาดแผลใหม่ที่ฝังอยู่ในใจคนดูไปอีกนานหลังดูหนังจบ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส