Release Date
10/02/2023
ความยาว
109 นาที
ผลงานก่อนหน้าของผู้กำกับ
'The Devil Wears Prada' (2006), 'Crazy Ex-Girlfriend' (2015-2019)
Our score
4.0Your Place or Mine
จุดเด่น
- รีส วิเธอร์สปูน โคจรมาเจอกับ แอชตัน คุชเชอร์ เป็นครั้งแรก ถ้าเป็นแฟนหนังยุค 2000 ให้หนังมีแค่นี้ก็ต้องดูแล้วล่ะ
จุดสังเกต
- หนังมีอะไรในนั้นพอควร แต่พอเอามาเล่ารวม ๆ แล้วทำมาได้ค่อนข้างจืดไปหน่อย ถ้าไม่สังเกตหรือคิดเพิ่มก็แทบจะเป็นหนังที่ไม่มีอะไรเลย
-
บท
4.5
-
โปรดักชัน
3.5
-
การแสดง
3.5
-
ความสนุกตามแนวหนัง
4.5
-
ความคุ้มค่าการรับชม
5.0
เรื่องย่อ: หลังจากค่ำคืนแห่งรักเร้าร้อนในปี 2003 หนุ่มสาวคู่หนึ่งก็ลงเอยจากกิ๊กชั่วคืนกลายเป็นแค่เพื่อนซี้ตลอดชีวิตของกันและกัน จนกระทั่งผ่านมา 20 ปี ต่างฝ่ายต่างมีชีวิตของตนเองแต่ยังติดต่อกันแทบทุกวันคุยกันได้แทบทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเสียงหัวใจที่แท้จริงของตัวเองที่ยังไงก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้
หนังเน็ตฟลิกซ์ที่มาต้อนรับเดือนแห่งความรักได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ยิ่งช่วงนี้กระแส Y2K หรือความนิยมในยุคทศวรรษที่ 2000 กลับมาครองเมือง
ข่าวการร่วมงานกันของดาราสายรอมคอมแห่งยุคนั้นทั้งสาวผมบลอนด์ยิ้มละลายใจจาก ‘Legally Blonde’ (2001) อย่างดาราสาว รีส วิเธอร์สปูน (Reese Witherspoon) และดาราหนุ่มดวงตาเซ็กซี่จาก ‘A Lot Like Love’ (2005) อย่าง แอชตัน คุชเชอร์ (Ashton Kutcher) จึงเหมือนมาเติมเต็มความฝันให้แฟนคลับเมื่อ 20 กว่าปีก่อนได้อย่างดี ยิ่งน่าประหลาดใจว่าทั้งคู่แม้จะมีหนังแนวเลิฟคอมเมดี้หลายเรื่องและดังในห้วงเวลาเดียวกัน แต่ ‘Your Place or Mine’ กลับเป็นหนังเรื่องแรกที่ทั้งคู่ได้มาร่วมงานกัน
และน่าตลกมากที่ผู้กำกับสาวสายนักเขียนบทที่มาลองทำหนังยาวเรื่องแรกอย่าง เอลีน บรอช แมกเคนนา (Aline Brosh McKenna) ซึ่งมีผลงานผ่านปลายปากกามาแล้วใน ‘The Devil Wears Prada’ (2006) ยังเลือกที่จะให้ทั้งสองนักแสดงที่ไม่เคยร่วมงานกันนี้ ได้พบกันจริง ๆ แทบจะฉากเดียวจากทั้งเรื่องด้วย เป็นตลกร้ายที่แกล้งคนดูที่อยากเห็นทั้งคู่ร่วมเฟรมกันเยอะ ๆ ไม่เบาเลย แต่ก็สะท้อนให้เห็นความยั่วยิ้มของแมกเคนนาซึ่งยังคอยแหย่คนดูเรื่อย ๆ ตลอดเรื่องด้วย
ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องเราก็ได้เห็นลีลาการเล่าที่ยียวนไม่ธรรมดาของหนัง เมื่อหนังเลือกใช้ข้อความตัวหนังสือมาเล่าเรื่องราวเสริมกับภาพว่าเหตุการณ์นี้เกิดในปี 2003 เพราะแฟชั่นและสิ่งของต่าง ๆ ที่ปรากฏในฉากมันบอกสมัยทั้งหมดเลย จากนั้นเพียงไม่กี่นาทีก็กระชากฟีลคู่รักหวานชื่นตัดฉับข้ามมาอีก 20 ปี แล้วพบว่าความสัมพันธ์ของทั้ง เดบบี้ และ ปีเตอร์ นั้นไม่ได้สวยงามชวนฝันอย่างที่คิดเลย
จนเราก็อยากรู้ว่าอะไรทำให้ทั้งสองคนที่ดูเข้ากันดีเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ฝ่ายหนึ่งหนีไปนิวยอร์กทำเงินมากมายแต่ทิ้งความฝันการเป็นนักเขียนไป แถมยังคบสาวไปเรื่อยไม่ยอมลงหลักปักฐานเสียที ส่วนฝ่ายสาวก็กลายเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีอะไรในชีวิตต้องจัดการมากมาย ทั้งลูกชายที่ป่วยสารพัดโรคและการงานที่ไม่มั่นคง จนเธออยากไปสอบเอาวุฒิมาสมัครงานที่ดีกว่า เพียงแต่ต้องจากแอลเอไปเรียนระยะสั้นที่นิวยอร์ก ซึ่งปัญหาคือแล้วใครจะดูแล แจ็ก ลูกชายของเธอให้ล่ะ ถ้าไม่ใช่เพื่อนชายแสนดีที่ยอมให้เธอสลับบ้านกันกับเขาชั่วคราว
จริง ๆ หลังจากนี้เราก็น่าจะเดาเรื่องราวต่อไปได้ไม่ยากมากนัก และหนังก็ไม่ได้เล่นท่ายากอะไรในการเล่าเลยจนแทบบอกได้ว่านี่คือรอมคอมธรรมดา ๆ อีกเรื่องหนึ่งที่อาจไม่มีอะไรน่าจำนอกจากว่าเป็นเรื่องแรกที่วิเธอร์สปูนกับคุชเชอร์ได้เล่นร่วมกัน
แต่ในความธรรมดาก็ต้องบอกว่าแมกเคนนายังไว้ลายนักเขียนบทหนังได้ดี ด้วยการหยอดรายละเอียดเล็ก ๆ ใส่มาตลอดทั้งนิสัยที่ว่าไม่ชอบเก็บของที่ชวนให้รำลึกถึงอดีต แต่เอาจริงเพลงที่เขาฟังตลอดก็คือเพลงที่เปิดปมเรื่องพ่อในใจเขาเสมอ เหล่านี้มันค่อย ๆ ทำให้เห็นว่าพวกตัวละครเหล่านี้มีความลึกของชีวิตจิตใจ ไม่ได้เป็นแค่ตัวละครในหนังรอมคอมโง่ ๆ ที่เล่นไปตามสูตรแล้วเดี๋ยวก็รักกันเอง เราได้ลุ้นกับความยากในการที่ทั้งคู่จะพบกัน (และคบกัน)
เพราะเมื่อหนังเดินเรื่องไปเราก็ทราบว่ามันมีปมบางอย่างในใจที่มากกว่าแค่ความปากแข็ง แต่มันมีพื้นฐานความกลัวที่จะสูญเสียความสัมพันธ์ที่ดีมากอยู่แล้วไปด้วย เรียกได้ว่าทั้งคู่ต่างกลัวที่จะเดินบนเส้นทางแห่งน้ำตาหรือเวย์ทูคราย เพราะต่างเคยสูญเสียและผิดหวังอะไรบางอย่างที่รุนแรงในอดีตมาแล้ว
แต่อย่างไรก็ดีแมกเคนนาเองก็ทราบดีว่านี่คือหนังรอมคอม ประเด็นหนัก ๆ ที่ว่ามันเลยถูกถ่ายทอดผ่านสายตาของคนที่เข้าใจชีวิตมาระดับหนึ่งและยอมรับมันไม่ได้มาฟูมฟายอะไร และปล่อยให้มวลความอบอุ่นฟีลกู้ดชวนอมยิ้มทำงานไปตลอดทั้งเรื่องสำเร็จ
น่าเสียดายว่าวิเธอร์สปูนกับคุชเชอร์แม้จะมีหลายฉากที่ตอบโต้กันได้น่ารักดี แต่พอไม่ได้อยู่ในพื้นที่เดียวกันไม่ได้ส่งพลังการแสดงอะไรให้กัน มีเพียงเสียงที่ผ่านโทรศัพท์เราเลยอาจไม่ค่อยอินกับเคมีความเข้ากันที่มันเกิดขึ้นอย่างเบาบาง ซึ่งก็เป็นความเสี่ยงที่ผู้กำกับคงยอมแลกดู และเมื่อทั้งคู่มาพบกันในที่สุดเราก็พบว่ามันยิ่งทำให้เราเชื่อได้ยากว่ามันจะรวบรัดลงเอยกันง่าย ๆ ได้แบบนั้นจริง
แม้ไม่มีอะไรที่ให้อยากจดจำเป็นพิเศษหรือสร้างบทสนทนาตามหลังขึ้นมาหลังดูจบเลยก็ตาม อย่างไรก็ดีนี่เป็นหนังรอมคอมที่อาจธรรมดาแต่ดูได้เพลิน รื่นตารื่นหูรื่นใจไร้พิษภัยเรื่องหนึ่งเลย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส