Rate : PG-13
2 Hr. 6 m.
Adventure, Comedy, Family
Director Christopher Landon
screenplay by : Christopher Landon
Stars : Jahi Di'Allo Winston, David Harbour, Anthony Mackie
Our score
5.1[รีวิว] We Have a Ghost : หลากหลายรสชาติในเรื่องเดียว แต่ไม่อร่อย
จุดเด่น
- เดวิด ฮาร์เบอร์ รับหน้าที่เดอะแบกของหนัง ด้วยการต้องแสดงออกทางสีหน้าสายตาเท่านั้น
- พาร์ตในเรื่องปริศนาตัวตนที่แท้จริงของเออเนสต์นั้นน่าติดตาม
จุดสังเกต
- ใส่อะไรเข้ามาหลากรสชาติเกินจนอีรุงตุงนังไปหมด
- ครึ่งแรกครึ่งหลัง อารมณ์หนังต่างกันลิบลับ
- เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ที่รู้สึกว่ายาวจนเกินไป
-
โปรดักชัน
5.5
-
บทภาพยนตร์
4.0
-
นักแสดง
7.0
-
ความสนุกตามแนวหนัง
5.0
-
คุ้มค่าเวลารับชม
4.0
พล็อตที่ว่าด้วยครอบครัวซื้อบ้านเก่าราคาถูก แล้วพบว่าที่ราคาถูกก็เพราะมีผีในบ้าน แต่พ่อแม่และลูกชายทั้งสองไม่กลัวผี หนำซ้ำยังถ่ายคลิปผีมาสร้างรายได้บนโลกโซเชียล แต่ก็ต้องสู้รบปรบมือกับหน่วยงานลับของ CIA ที่ต้องการจับผีไปศึกษาด้วยอุปกรณ์ไฮเทค สำหรับคอหนังฮอลลีวูด ถ้าเล่ามาแค่นี้ก็พอคุ้น ๆ แล้วใช่ไหมครับ ว่าหนังน่าจะได้อิทธิพลมาทั้ง Haunted Mansion และ Beetlejuice ที่เลือกนำเสนอผีในแนวคอมมีดี้ และเน้นขายซีจีเป็นหลัก ซึ่งการคาดเดาจากหน้าหนังนั้นถูกแค่ครึ่งเดียวครับ เพราะผู้สร้างยัดใส่อะไรก็ไม่รู้เข้าไปในหนังเต็มไปหมด
หนัาหนังดูน่าสนใจทีเดียวครับ เพราะจับเอา แอนโธนี แมกกี (Anthony Mackie) ที่เรารู้จักกันดีจากบท ฟัลคอน ในจักรวาลมาร์เวล มาประชันบทกับ เดวิด ฮาร์เบอร์ (David Harbour) ผู้สร้างชื่อมาจากบท จิม ฮอปเปอร์ จาก Stranger Things กำกับและเขียนบทโดย คริสโตเฟอร์ แลนดอน (Christopher Landon) ที่มีผลงานเป็นที่รู้จักกันอย่าง Freaky (2020) และ Happy Death Day 2U (2019) ซึ่งองค์ประกอบทั้งหลายนั้นชวนให้คาดหวังกับหนังไว้มากเลยเชียว แต่รีวิวนี้ก็ขอเตือนให้เผื่อใจไว้เยอะ ๆ เลยครับ ถ้าคิดจะดู
อย่างแรกเลยหนังขายชื่อ แอนโธนี แมกกี ไว้บนโปสเตอร์เลย แต่แมกกีเป็นแค่นักแสดงสมทบในเรื่อง ที่มีบทบาทอยู่แค่ครึ่งแรกของเรื่องเท่านั้น บทนำจริง ๆ ตกเป็นของ จาไฮ ดิ’อัลโล วินสทัน (Jahi Di’Allo Winston) นักแสดงวัยรุ่นที่ไม่คุ้นทั้งหน้าทั้งชื่อเลย ในบท เควิน ลูกชายคนรอง และเป็นผู้ที่พบกับ เออเนสต์ ผีที่สิงอยู่ในบ้านนี้ บทของ เดวิด ฮาร์เบอร์ ซึ่งเป็นต้นเหตุให้บ้านนี้ถูกทิ้งร้างเพราะเจ้าของเก่ากลัวผีเออเนสต์แล้วย้ายหนีออกไป ทำให้บ้านถูกขายต่อในราคาแสนถูก เออเนสต์ตั้งใจหลอกให้เควินกลัว แต่เควินกลับหยิบมือถือมาถ่ายคลิป และพูดคุยสานสัมพันธ์กับเออเนสต์ จนกลายเป็นเพื่อนต่างภพ ในเรื่องนี้มีการสร้างกฎให้ผีขึ้นมาใหม่ คือสามารถสัมผัสมนุษย์ได้ แต่พูดไมได้ และไม่มีความทรงจำตอนยังมีชีวิต ก็เลยตกเป็นภาระของฮาร์เบอร์ที่ต้องแสดงออกทางสีหน้าและสายตาเท่านั้น และนั่นก็คือจุดดีที่มีเพียงไม่กี่จุดในเรื่องนี้
ครึ่งแรกของหนังนี่มาแบบ Beetlejuice เลยครับ ผีที่ใช้ชีวิตร่วมกับคนในบ้าน ทั้งพ่อและลูกชายคนโตก็สนุกกับการมีผีในบ้าน กวาดรายได้จากยอดวิว การให้สัมภาษณ์ การโชว์ตัวต่าง ๆ นานา ซึ่งหนังก็สื่อชัด ๆ ว่ามาในโทนคอมมีดี้ เพราะเน้นขายผีเออเนสต์ที่ไม่มีความน่ากลัวเป็นหลัก โดยมีซับพล็อตในเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว ที่แฟรงก์ผู้เป็นพ่อพยายามจะกระชับความสัมพันธ์กับเควินลูกชายคนรองที่กำลังเป็นวัยรุ่น และชอบปลีกวิเวก หนังยังมีซับพล็อตอีกและเป็นส่วนที่น่าสนใจที่สุดในเรื่องนี้แล้ว นั่นก็คือปริศนาการตายของเออเนสต์ ว่าเพราะเหตุใดทำไมวิญญาณของเขาถึงยังสิงสถิตอยู่ที่นี่ไม่ไปผุดไปเกิด กลายเป็นภาระของเควินและจูนเพื่อนสาวข้างบ้านที่ช่วยกันสืบหาตัวตนที่แท้จริงของเออเนสต์ ว่าเขาเป็นใครแล้วทำไมถึงตาย พร้อมกับที่หนังส่ง ดร.เลสลี มอนโร เจ้าหน้าที่ CIA ที่ยกทัพเจ้าหน้าที่มาพร้อมกับอาวุธไฮเทคเพื่อมาตามล่าเออเนสต์ไปศึกษา
ตรงนี้ละ ที่ทำให้ครึ่งหลังของหนังพลิกอารมณ์กลายเป็นหนังซีเรียสจริงจัง ที่มาในโทนสืบสวน ไม่เหลืออารมณ์คอมมีดี้อีกต่อไป แถมยังสอดแทรกอารมณ์โรแมนติก ปั๊ปปี้เลิฟของเควินและจูนเข้าไปอีก ถึงตอนนี้หนังมาครบทุกรสชาติแล้ว คอมมีดี้ ครอบครัว ไซไฟ ปริศนาลึกลับ โรแมนติก ก้าวพ้นวัย แต่ผู้สร้างคงเล็งเห็นแล้วว่าหนังยังขาดฉากแอ็กชัน ก็เลยยัดฉากแอ็กชันมาให้อีก ขับรถไล่ล่ากลางเมือง ที่ไม่ได้ใส่เข้ามาแบบน้ำจิ้มนะ แต่ใส่เข้ามาแบบจริงจัง เพราะเป็นฉากไล่ล่ากันยาว ชนกันถล่มทลาย มีรถพุ่งชนร้านค้า รถคว่ำพลิกกันหลายตลบ คงทิ้งไว้แต่คำถามว่า ใส่เข้ามาเพื่ออะไร ? จำเป็นต้องให้หนังมันหลากรสถึงเพียงนี้เลยหรือ แต่แล้วก็ไม่มีรสชาติไหนโดดเด่นเป็นพิเศษ แม้กระทั่งความเป็นคอมมีดี้ที่หน้าหนังสื่อไปในทิศทางนั้น ก็ไม่มีฉากที่เรียกเสียงหัวเราะแบบได้แบบดัง ๆ
แต่ครึ่งแรกที่ว่าด้วยครอบครัวโปรโมตผีบนโลกโซเชียล แล้วครึ่งหลังว่าด้วยการสืบหาตัวตนของเออเนสต์ อารมณ์ทั้งสองส่วนมันแตกต่างกันเกินไป แล้วแบ่งพาร์ตกันเล่าแบบครึ่ง ๆ เช่นนี้ อารมณ์หนังมันก็เลยโดดขาดความสมูธอย่างรู้สึกได้ โดยเฉพาะตัวแม็กกีนี่หายไปเลย แล้วซับพล็อตยิบย่อยที่ว่าด้วยความสัมพันธ์พ่อลูก ความรักของวัยรุ่นระหว่างเควินและจูน รวมไปถึงการแนะนำตัวลูกสาวของเออเนสต์อีก มันก็เลยดูอีรุงตุงนังไปหมด แล้วบิลท์อารมณ์ไม่ขึ้นสักเรื่อง
จนหนังดำเนินผ่านมา 90 นาทีแล้ว ซึ่งเป็นความยาวมาตรฐานของหนังทั่วไป ทางทีมเขียนบทก็เลยหาทางออกง่าย ๆ ด้วยการให้ตัวร้ายของเรื่องเปิดเผยตัวซะง่าย ๆ เลยแบบนั้น แต่ก็มีการเปิดเผยเหตุผลในการกระทำที่ฟังดูสมเหตุสมผลอยู่เหมือนกัน ถ้าขับเน้นเรื่องนี้เป็นหลัก หนังจะน่าติดตามขึ้นมาก ตัดทอนซับพล็อตไปบ้าง เหลือสัก 90 นาที จะสนุกกว่านี้มาก