Release Date
01/03/2023
ความยาวหนัง
156 นาที
แนวหนัง
แอ็กชัน คาถาอาคม
ผู้กำกับ
ก้องเกียรติ โขมศิริ
นักแสดง
อนันดา เอเวอริงแฮม มาริโอ เมาเร่อ ภาคินทร์ คำวิลัยศักดิ์ ษริกา สารทศิลป์ศุภา ภูมิภัทร ถาวรศิริ
Our score
6.0[รีวิว] ขุนพันธ์ 3 – แม้บทมั่วแหลกแต่แอ็กชันจัดเต็ม
จุดเด่น
- เป็นหนังปิดไตรภาคที่จัดเต็มฉากแอ็กชันและเซอร์ไพร์ส มาเอาใจแฟนหนังได้ดี
- มีความทะเยอทะยานที่จะเล่าเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองไทยสอดแทรกเข้าไปในหนัง
- การแสดงของอนันดา เอเวอริงแฮม ,มาริโอ เมาเร่อ และ โตโน่ ภาคินทร์ เชื่อมือได้เสมอ
จุดสังเกต
- บทภาพยนตร์เต็มไปด้วยรายละเอียดที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลัก
- งานซีจี ยังไม่สามารถพัฒนาให้อยู่ในจุดที่หนังควรจะเป็นได้ แม้จะดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
- ขาดอารมณ์ดราม่าที่จะทำให้คนดูร่วมลุ้นไปกับ ขุนพันธ์
-
การแสดง
6.0
-
โปรดักชัน
6.0
-
บทภาพยนตร์
5.0
-
ความบันเทิง
6.5
-
ความคุ้มค่าในการรับชม
6.3
ในที่สุด ‘ขุนพันธ์’ หนังแอ็กชันสไตล์ไทย ๆ ของ คุณโขม ก้องเกียรติ โขมศิริ ก็เวียนบรรจบมาครบไตรภาคจนได้ แต่แม้ว่ารีวิวที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้จะเขียนโดยคนที่มองเห็นจุดบอดของหนังเป็นเรื่องใหญ่ แต่ผมก็ยังขอให้ทุกท่านได้มีโอกาสไปสัมผัส ‘ขุนพันธ์ 3’ ในโรงภาพยนตร์สักครั้งนะครับ ไม่ใช่ด้วยเหตุผลเรื่องอยากให้สนับสนุนหนังไทยอะไรหรอกครับ แต่อยากให้ทุกท่านได้มีโอกาสจ่ายเงินซื้อตั๋วหนังเรื่องหนึ่งที่ให้ความบันเทิงแก่ท่านได้อย่างเต็มที่จริง ๆ
ในหนังภาคนี้เราจะได้เห็น ขุนพันธรักษ์ราชเดช ที่ออกจากราชการไปใช้ชีวิตครอบครัวที่นครศรีธรรมราช แต่เมื่อถูกเรียกตัวให้มาช่วย ร้อยตรีทัตเทพ นายทหารชั้นสูงในการอารักขานักการเมือง ก็ทำให้ขุนพันธ์กลับมาปะทะสงครามอาคมกับ 3 เสือแห่งยุคอย่างเสือมเหศวรกับเสือดำ แต่ยิ่งสงครามยืดเยื้อขุนพันธ์ก็เริ่มรู้สึกได้ว่าของขลังในตัวกำลังเสื่อมลง เขาจำต้องสู้เพื่อเอาชีวิตรอดกลับไปหาภรรยาและลูกที่ใกล้ลืมตาดูโลกให้ได้
การมีหนังอย่าง ‘ขุนพันธ์ 3’ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในปี 2023 สำหรับภาพยนตร์ไทยอย่างยิ่งเลยล่ะครับ เพราะไม่ว่าจะมองมุมไหนเราจะเห็นความตั้งใจและความทะเยอทะยานในการพาหนังไทยเรื่องหนึ่งก้าวข้ามคำครหาและคำสบประมาท และหากพูดไม่เกินจริงการทิ้งทวนเรื่องราวของขุนพันธ์ในภาคนี้ คงเหมือนการเขียนพินัยกรรมของก้องเกียรติ โขมศิริ ที่เรียกได้ว่าหากชีวิตนี้ไม่ได้ทำหนังอีกแล้ว หนังเรื่องนี้ก็คือคำสั่งเสียสุดท้ายต่อคนดูว่าคนทำหนังไทยยังอยากทำหนังให้คนไทยดูอยู่นะครับ
ตั้งแต่การจัดเต็มใส่ฉากแอ็กชัน วินาศสันตะโรแบบไม่กลัวงบประมาณบานปลาย การใส่อสุรกายจัดเต็มตั้งแต่จระเข้ยันสัมภเวสีและซอมบี้ ไปจนถึงงานซีจีคาถาอาคมต่าง ๆ ที่แม้จะยังไม่ถึงขนาดเนียบกริ๊บเหมือนหนังฮอลลีวูดแต่ก็ยังอุตส่าห์พัฒนาให้ดีขึ้นในทุกภาคซึ่งก็รวมถึงงานซีจีในหนังภาคนี้ด้วยนะครับ และที่สำคัญคือบทของคุณโขมรู้ดีว่าผู้ชมยุคนี้ต้องการอะไร เลยใส่ตั้งแต่เซอร์ไพร์สในโมเดลเดียวกับหนังมาร์เวล ไปจนถึงการสอดแทรกเกร็ดประวัติศาสตร์การเมืองไทยเอามาสอดใส้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลปัจจุบัน
ซึ่งจริง ๆ แล้วบทของ ‘ขุนพันธ์ 3’ มีอะไรน่าสนใจหลายอย่างนะครับ โดยเฉพาะการดึงเอาเหตุการณ์สังหาร 4 อดีตรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2492 ที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ในยุคสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีมาเป็นแบ็คกราวด์ของหนัง แต่ปัญหาสำคัญคือมันกลับกลายเป็นพื้นหลังที่หลุดลอยไปเรื่อย ๆ เมื่อหนังต้องเอามาซ้อนกับพล็อตสงครามอาคม ยิ่งตัวแปรที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งขุนพันธ์ เสือมเหศวรและเสือดำ ต้องมาห้ำหั่นกันแถมแต่ละตัวก็มีเรื่องราวที่สามารถทำหนังได้คนละเรื่องมาโฮะรวมกันจนบรรยากาศการเมืองที่หนังพยายามปูดูเป็นส่วนเกินไปอย่างน่าเสียดาย
อีกส่วนที่คิดว่าขุนพันธ์ภาคนี้ทำความดีที่มีในภาคก่อน ๆ หล่นหายไปคือการปูพื้นตัวร้ายในหนังหรือคู่ต่อกรในหนังให้เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากรัฐบาล แต่ในขุนพันธ์ 3 กลับปูพื้นตัวละครให้เสือดำมีความแค้นบางอย่างกับขุนพันธ์ ส่วนเสือมเหศวรนี่ดันไปเอาพล็อต คลาร์ก เคนต์ กับซูเปอร์แมนมาสวมแทนจนทุกอย่างดูหลุดโลกไปหมด ที่สำคัญคือการหาทางลงให้ทั้งสองปมก็เข้าขั้นแลนดิงได้ไม่สวยงามเท่าใดนัก
และที่ถือเป็นจุดบอดมากที่สุดในบทภาพยนตร์คือการที่มันอุตส่าห์ดันให้มีตัวละครใหม่อย่าง ร้อยตรีทัตเทพ ที่อุตส่าห์จะปั้น เอม ภูมิภัทร ถาวรศิริ นักแสดงดาวรุ่งที่เริ่มสร้างชื่อทั้งจากซีรีส์ ‘เด็กใหม่ 2’ และหนัง ‘วันสุดท้ายก่อนบายเธอ’ มารับบทตัวละครที่เราได้แต่หวังว่ามันจะไม่จบลงงง ๆ เหมือน ดาบแดงปืนคู่ ที่ไม่ค่อยมีที่มาที่ไปในหนังภาคที่แล้ว
ซึ่งก็ไม่เหมือนจริง ๆ ครับเพราะเริ่มมานอกจากสถานะนายทหารหน้าใหม่แล้ว หนังก็ไม่ปูอะไรอีกเลยจนมาเฉลยว่าแท้จริงแล้ว ร้อยตรีทัตเทพเป็นใคร ซึ่งนอกจากรู้ว่า “เป็นใคร” แล้วหนังก็ไม่ได้ให้มิติหรือเหตุและผลในการกระทำของตัวละครนี้อะไรอีกเลย จนสุดท้ายมันก็กลายเป็นตัวละครที่จบงง ๆ เหมือนดาบแดงปืนคู่ในหนังภาค 2 ไปอย่างน่าเสียดาย
และสุดท้ายเป้าหมายที่หนังต้องการจะเชิดชูวีรกรรมของขุนพันธรักษ์ราชเดช ก็ดันไปไม่ถึงฝั่งฝันอยู่ดีแม้หนังภาคนี้จะให้เดิมพันของขุนพันธ์มากกว่าหนังภาคไหน ทั้งภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ไปจนถึงของขลังอาคมในตัวที่เริ่มเสื่อมถอยลงจากกรรมที่ทำมา แต่ต้องบอกว่าหนังไม่ให้เวลาขุนพันธ์ในการสานสัมพันธ์สร้างความเห็นใจและเอาใจช่วยกับขุนพันธ์เลย ตอนจบก็เลยเหมือนหนังเชิดชูเกียรติอวยกันด้วยข้อความสุดท้ายธรรมดา ๆ ไปซะอย่างนั้น
แต่กระนั้นหากถอยมามองในสายตาคนดูที่อยากหาอะไรบันเทิง ๆ ดู ผมยังยืนยันนะครับว่านี่จะเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ดึงบรรยากาศความไฮป์แบบหนังอเวนเจอร์สมาไว้ในหนังไทยได้เลยหากคุณเป็นแฟนหนังชุดนี้ และที่สำคัญการได้เห็นนักแสดงหนุ่ม ๆ อยู่ในมาดซูเปอร์ฮีโรเป่าอาคมสู้กันแบบเวอร์ ๆ ก็น่าจะทำให้ค่าตั๋วหนังแสนแพงของคุณคุ้มค่าอย่างแน่นอน
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส