Release Date
16/03/2023
Runtime
130 Minutes
Genre
Action Superhero
Director
David F. Sandberg
Cast
Zachary Levi, Helen Mirren, Lucy Lui, Rachel Zegler, Jack Dylan Grazer, Djimon Hounsou
Our score
6.7[รีวิว] Shazam! Fury of the Gods – ทำไมทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก? (แต่ฉากช่วง End Credit คือดีย์)
จุดเด่น
- เป็นหนังที่มีงานภาพเหมาะกับการฉายโรงภาพยนตร์
- Grace Caroline Currey คือความสวยงามและน่ามองของหนัง
- เคมีของ Jack Dylan Grazer กับ Rachel Zegler ทำให้หนังมีรสชาติอื่นนอกจากแอ็กชันได้ดี
- ฉากระหว่างเอนด์เครดิตและฉากท้ายเอนด์เครดิตบันเทิงมากไม่ควรพลาด
จุดสังเกต
- เป็นหนังเดินเรื่องเร็วเสียจนไม่อาจเคลียร์ประเด็นหลายอย่างได้
- หลายซีนโผล่มาแบบไม่มีที่มาที่ไป
-
การแสดง
5.5
-
โปรดักชัน
8.0
-
บทภาพยนตร์
5.8
-
ความบันเทิง
7.0
-
ความคุ้มค่าในการรับชม
7.0
ตามที่ประธานของดีซีสตูดิโออย่าง เจมส์ กันน์ (James Gunn) ได้ประกาศทิศทางของหนังจากคอมิกของดีซีก่อนหน้านี้ เราคงต้องจัด ‘Shazam! Fury of the Gods’ อยู่ในหมวด ‘หนังที่สร้างออกมาแล้ว’ ก่อนการเข้ามากุมบังเหียนเต็มตัวของกันน์และแน่นอนว่าชะตากรรมของมันขึ้นอยู่กับรายได้ของหนังภาคนี้ว่าอนาคตของฮีโร่พลังเวทอย่างชาแซมจะสดใสหรือกลายเป็นเพียงตำนานซูเปอร์ฮีโรที่เคยถูกสร้างเป็นหนังกันแน่
เนื้อเรื่องของ ‘Shazam! Fury of the Gods’ เริ่มเมื่อบุตรสาวทั้งสามของเทพแอตลาสอย่างเฮสเพอรา (รับบทโดยเฮเลน เมอร์เรน, Helen Mirren) คาลิปโซ (รับบทโดยลูซี่หลิว, Lucy Lui) และแอนเธีย (รับบทโดยเรเชล เซกเลอร์, Rachel Zegler) เดินทางมาโลกมนุษย์เพื่อตามหา “เมล็ดพันธุ์” เพื่อสร้างอาณาจักรที่ล่มสลายของพวกเขาขึ้นมาใหม่
แต่เมื่อถูกขัดขวางโดยชาแซม (รับบทโดยแซคารี ลีวาย, Zachary Levi) และครอบครัว ทำให้ธิดาแอตลาสทั้งสามคิดทวงคืนพลังอำนาจแห่งเทพจากพวกเขาและทำลายโลกใบนี้ให้สิ้นซาก เหล่าฮีโรพลังเวทที่ตัวตนเป็นเพียงเยาวชนจึงต้องรวมตัวกันอีกครั้งเพื่อปกป้องโลกใบนี้
สำหรับหนังภาคนี้ได้ เฮนรี เกย์เดน (Henry Gayden) ที่กลับมารังสรรค์เรื่องราวพ่วงมือเขียนบทหนัง ‘Fast and Furious’ อย่าง คริส มอร์แกน (Chris Morgan) มารังสรรค์บทภาคใหม่ให้ยิ่งใหญ่และบันเทิงกว่าเดิม ซึ่งยอมรับเลยครับว่าบทของพวกเขาไม่ได้ขี้เกียจสร้างความบันเทิงเลย มันมีทั้งเรื่องของเทพปกรณัมกรีก มีทั้งเรื่องของซูเปอร์ฮีโรที่ไม่มั่นใจตัวเอง มีทั้งเรื่องราวสุดอบอุ่นของครอบครัวและมุกฮา ๆ เต็มไปหมด
ซึ่งในภาพรวมมันคือหนังบันเทิงเลยแหละครับ บันเทิงจนคิดว่าหักค่าตั๋วราคาปกติ 250 บาทหรือ 450 บาทในระบบ IMAX แล้วคือยังไงก็คุ้มค่าตั๋วจริง ๆ ใส่มาทั้งมังกร สัตว์ในตำนานกรีกและฉากแอ็กชันวินาศสันตะโร และมุกตลกมาแบบกลัวคนดูเบื่อ แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับทำให้มันกลายเป็นหนังไม่น่าจดจำไปซะอย่างนั้น ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะการกำกับของ เดวิด เอฟ แซนด์เบิร์ก (David F. Sandberg) หรือการสั่งแก้จากสตูดิโออย่างวอเนอร์ดิสคัฟเวอรี (Warner Discovery)
เพราะเมื่อเราพูดถึงสิ่งดี ๆ ของหนังดังที่กล่าวมาเบื้องต้น หนังทำหน้าที่แค่ ‘บอกให้รู้’ แต่ไม่ได้ ‘เล่าให้มีอารมณ์ร่วม’ แต่อย่างใด ซึ่งนั่นแหละครับเป็นที่มาของชื่อบทความรีวิวนี้ว่า ‘ทำไมทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก?’ เพราะเพียง 20 นาทีแรกของหนังเราก็รับรู้ทุกอย่างจากตัวอย่างเกือบหมดแล้ว (ไม่ใช่ว่าเห็นทุกฉากในตัวอย่างหนังหรอกนะครับ)
เพียงแต่มีดีเทลของเหตุการณ์ที่มาบอกให้เรารู้ว่า อ๋อ! เจ๊ 3 คนในตัวอย่างคือโกรธที่อาณาจักรถูกทำลายไม่ได้แค่จะมาเอาพลังเวทชาแซมคืนเท่านั้น และหลังจากนั้นก็มีการลักพาตัว มีการดูดพลังฮีโรจนญาติ ๆ ของ บิลลี แบตสัน กลายเป็นคนธรรมดาและเกิดอาเพศเมื่อเทพคิดจะทำลายโลกมนุษย์ ส่วนฮีโรที่กำลังสูญเสียความมั่นใจก็ไม่รู้จะรับมือกับวันโลกาวินาศแบบนี้ได้อย่างไร ฯ ล ฯ
ซึ่งยังไม่พูดถึงดีเทลเรื่องมังกรที่มีที่มาที่ไป แต่ถูกบอกเล่าแค่ 2-3 ประโยค เหล่าสัตว์ในตำนานกรีกที่โผล่มาถล่มโลก ไปจนถึงฉากที่ให้พื้นที่ญาติ ๆ ของบิลลีได้โชว์ความสามารถในร่างจริง และที่สำคัญคือเรื่องราวในครอบครัวแบตสันที่หนังให้เวลากับนักแสดงอย่าง แอชเชอร์ แองเจิล (Asher Angel) น้อยมากเพื่อให้ลีวายในร่างชาแซมเด่นสุดในเรื่อง จนปมเรื่องครอบครัวที่เคยเป็นจุดที่น่าประทับใจของหนังภาคแรกหายไปอย่างน่าเสียดาย
และเมื่อพิจารณาจากการที่หนังถูกเลื่อนฉายมา 3-4 ครั้งจนมาลงตัวที่วันที่ 16 มีนาคมแล้ว เลยทำให้เซอร์ไพร์สหลักของหนังที่มาตอนท้ายเหมือนเรากำลังเฝ้าดูสิ่งที่ยังไม่มีหวังว่าจะเกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะตัวหนังเองก็ถูกสร้างก่อนการเข้ามาของ เจมส์ กันน์ และที่สำคัญแม้หนังจะให้ความยาวถึง 2 ชั่วโมงกว่าแต่มันเองยังไม่สามารถเคลียร์ตัวเองในหลายจุดทั้งเรื่องความสัมพันธ์ของลูกสาวแห่งแอตลาสที่แต่ละคนมีคาแรกเตอร์ที่อยู่ ๆ ก็ร้ายสักพักกลับกลายเป็นคนดี
หรือจุดที่น่าเสียดายที่สุดคือหนังละเลยด้านมืดจากการเติบโตของ บิลลี แบตสัน ที่ควรเป็นธีมหลักในการเล่าเรื่องของหนังภาคนี้ เพราะเราแทบไม่ได้เห็นผลจากการตัดสินใจแบบเด็ก ๆ ของเขาเท่าไหร่โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดขึ้นกับครอบครัวที่รักเขามากแต่เขากลับหลงอยู่ในร่างซูเปอร์ฮีโรอย่างชาแซม จนทำให้วีรกรรมของเขาไม่ได้น่าประทับใจนักเมื่อมองในมุมของภาพยนตร์ที่ดีเรื่องหนึ่ง
อย่างไรก็ตามในความน่าเสียดายเรากลับพบการแสดงที่ดีมาก ๆ ของ แจ็ค ดีแลน เกรเซอร์ (Jack Dylan Grazer) ในบทเฟรดดี้เพื่อนรักขาพิการที่ทำให้เห็นเสน่ห์ในการแสดงของเขาทั้งความสดใสและการมองโลกในแง่ดีที่หลายคนก็สามารถเติมหัวใจให้หนังได้ท่ามกลางความตูมตามของฉากแอ็กชันที่อัดมา และที่ไม่น่าเชื่อคือเคมีระหว่างเกรเซอร์กับน้อง เรเชล เซกเลอร์ (ที่กำลังจะรับบทสโนว์ไวต์) กลับเวิร์กและเป็นหัวใจหลักของเรื่องได้อย่างน่าชื่นชม
ส่วนอีกคนที่โดยส่วนตัวมองว่าทำให้การชม ‘Shazam! Fury of the Gods’ เกิดอาการ ‘บ้าจริง นี่ฉันกำลังยิ้มอยู่เหรอเนี่ย?’ ได้แก่ เกรซ แคโรไลน์ เคอร์รีย์ (Grace Caroline Currey) ในบท แมรี บรอมฟีลด์ พี่สาวคนโตที่ปรากฎตัวทีไรเผลอยิ้มไม่ได้เลย โดยในหนังภาคนี้เธอได้ควบปรากฎตัวในชุดซูเปอร์ฮีโร่ครอบครัวชาแซม ซึ่งเดิมทีในภาคแรกเราจะได้เห็น มิเชล บอร์ธ (Michelle Borth)ในชุดดังกล่าว แม้บทของเธอจะไม่ได้น่าจดจำแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าท่ามกลางหนังที่พยายามอัดฉากแอ็กชันรัว ๆ มาต่อกัน เคอร์รีย์ คือสิ่งสวยงามที่ทำให้ภาพบนจอคุ้มแค่แก่การรับชม
โดยภาพรวมแล้ว ‘Shazam! Fury of the Gods’ อยู่ในโหมดหนังดูเพลิน ตัวหนังขายมุกตลกและซีนมุ้งมิ้งที่ไม่มีพิษภัย ในขณะเดียวกันก็มีฉากแอ็กชันที่อัดมาเอาใจสายบู๊ได้วินาศสันตะโรสะใจอยู่ แต่ทั้งนี้คืออาจต้องทำใจในแง่การเล่าเรื่องที่ทุกอย่างถูกเล่าแบบแตะ ๆ และหลายเหตุการณ์ก็ไม่มีที่มาที่ไปเท่าที่ควร ที่สำคัญคือควรดูหนังภาคแรกมาแล้วเพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวคร่าว ๆ และตอนท้ายเรื่องหนังมีฉากช่วงเอนด์เครดิตและฉากหลังเอนด์เครดิตรวม 2 ตัวซึ่งสำคัญต่อทิศทางและอนาคตของหนังชาแซมต่อไป ที่สำคัญคือมันบันเทิงมากเลยครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส