![[รีวิว] Luther : The Fallen Sun : เปิดตัวอย่างโหด ปิดฉากอย่างแมวเหมียว](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2023/03/MV5BZTQwMWFhYWMtZmE0OS00MmMxLWE3NzAtYjU1NzIyZjdmODNhXkEyXkFqcGdeQXVyNjY1MTg4Mzc@._V1_FMjpg_UX1000_-374x554.jpg)
Our score
5.9Release Date
10/03/2023
Rate : R
Crime, Drama, Mystery
2 Hrs 9 m.
Director : Jamie Payne
Writer : Neil Cross
Stars : Idris Elba, Cynthia Erivo, Andy Serkis
![[รีวิว] Luther : The Fallen Sun : เปิดตัวอย่างโหด ปิดฉากอย่างแมวเหมียว](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2023/03/cover-7-780x410.jpg)
Our score
5.9[รีวิว] Luther : The Fallen Sun : เปิดตัวอย่างโหด ปิดฉากอย่างแมวเหมียว
จุดเด่น
- สร้างสรรค์ตัวร้ายของเรื่องได้น่าสนใจ มีทั้งความโรคจิตและความฉลาด
- เล่าเรื่องได้น่าสนใจ ทั้งที่มีการเปิดเผยตัวคนร้ายตั้งแต่ต้นเรื่อง
- เป็นหนังสืบสวนที่ดูสนุกได้โดยไม่ต้องใช้ทุนสร้างมากมาย และไม่มีฉากแอ็กชันวินาศสันตะโร
จุดสังเกต
- ผูกปมมาน่าสนใจ แต่คลี่คลายง่ายเกินไป
- อิดริส เอลบา เล่นเรื่องนี้แบบผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่มีอะไรน่าจดจำ
-
โปรดักชัน
7.5
-
การแสดง
6.5
-
บทภาพยนตร์
5.0
-
ความสนุกตามแนวหนัง
5.5
-
คุ้มค่าเวลารับชม
5.0
Luther : The Fallen Sun หนังแนวตำรวจมากประสบการณ์ตามล่าผู้ร้ายจอมโหด ตัวเอกของเรื่องก็คือ จอห์น ลูเธอร์ ที่เป็นชื่อเรื่องนั่นแหละ และนี่ไม่ใช่ตัวละครใหม่ในโลกภาพยนตร์ เพราะตัวละคร ลูเธอร์ ที่รับบทโดย อิดริส เอลบา (Idris Elba) เคยเป็นซีรีส์สุดฮิตในชื่อ Luther มาก่อนแล้ว เป็นซีรีส์สัญชาติอังกฤษที่สร้างโดย BBC Studio ซีรีส์ค่อนข้างประสบความสำเร็จ ได้ลากยาวไปถึง 5 ซีซัน ตั้งแต่ปี 2010 – 2019 ได้คะแนนดีด้วย IMDB 8.4 และ Rottentomatoes ที่ 88% แต่อาจจะด้วยชื่อเสียงของ อิดริส เอลบา ที่กลายเป็นนักแสดงแถวหน้าของฮอลลีวูดไปแล้ว บวกกับความอิ่มตัวในบทบาท จอห์น ลูเธอร์ ทำให้เอลบาขอหยุดซีรีส์ Luther ไว้ที่ 5 ซีซัน ทาง BBC เองก็น่าจะเสียดายซีรีส์เรื่องนี้ล่ะ เลยรีบูต Luther อีกครั้งเมื่อปี 2021 กับทีมนักแสดงชุดใหม่ แต่ซีรีส์ก็ไม่ประสบความสำเร็จ หยุดอยู่แค่ซีซันแรก

ทางทีมผู้สร้างก็เลยต้องหันไปง้อ อิดริส เอลบา อีกครั้ง ให้กลับมารับบท จอห์น ลูเธอร์ ซึ่งเอลบาก็ยื่นข้อแม้ว่าไม่สนใจที่จะกลับไปแสดงเป็น จอห์น ลูเธอร์ ในเวอร์ชันทีวีซีรีส์แล้ว แต่ถ้าเป็นรูปแบบภาพยนตร์ ถ้ามีบทที่ดี ๆ เขาก็สนใจ ซึ่งก็เข้าทางกับ นีล ครอส (Neil Cross) เจ้าของโชว์ และเป็นผู้เขียนบท Luther เวอร์ชันซีรีส์ ที่เขามีบทในเวอร์ชันภาพยนตร์ที่เขียนไว้แล้วด้วย และนั่นคือจุดกำเนิดของ Luther : The Fallen Sun
ผู้เขียนเองก็ไม่เคยดู Luther เวอร์ชันทีวีซีรีส์มาเลยสักตอน แต่พอได้ดูก็เห็นเลยว่า ทางผู้สร้างก็ทำการบ้านในเรื่องนี้มาอย่างดี หนังสามารถเข้าถึงผู้ชมทั่วไปได้ ไม่ได้เจาะจงเฉพาะแฟนเก่าของ Luther เพราะเนื้อหาของหนังแทบไม่ได้พูดถึงอดีตของ จอห์น ลูเธอร์ เลย น่าจะมีแค่ มาร์ติน เชงค์ ที่รับบทโดย เดอร์มอต คราวลีย์ รายเดียวนี่แหละ ที่เป็นนายเก่าและเพื่อนสนิทของลูเธอร์ ที่ถูกเรียกตัวกลับมาทำคดีนี้

หนังเปิดเรื่องด้วยการแนะนำตัว เดวิด โรบีย์ ก่อนเลย ในฐานะตัวร้ายของเรื่องที่เป็นฆาตกรต่อเนื่องสุดโหด เปิดเรื่องมาแบบนี้ ก็เหมือนประกาศกันให้รู้เลยว่า นี่ไม่ใช่หนังที่สืบสวนประเภทสืบหาตัวตนคนร้าย แต่จะเป็นการสืบหาแรงจูงใจและจุดประสงค์ของคนร้าย ที่หนังก็เล่าในจุดนี้ได้อย่างน่าติดตาม แอนดี้ เซอร์คิส (Andy Serkis) เจ้าพ่อโมชันแคปเจอร์ตลอดกาล มารับบทเป็น เดวิด โรบีย์ ได้อย่างน่ากลัว ถ่ายทอดความโรคจิตผ่านทางสีหน้าและสายตาได้ชัดเจน ฆ่าคนได้พร้อมกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะด้วยความสะใจ ทำให้โรบีย์เป็นตัวร้ายของเรื่องที่น่ากลัวเพราะมีทั้งสมองและความโหดรวมอยู่ในตัวคนเดียวกัน และเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้หนังเดินหน้าไปแต่ละนาทีได้อย่างน่าติดตาม โดยที่หนังไม่ต้องพึ่งฉากแอ็กชันใหญ่โตแบบที่ต้องใช้ทุนสร้างถล่มทลายแต่อย่างใด และไม่มีฉากโหด แหวะ เลือดสาดให้เห็นด้วย
ฉากใหญ่ของหนัง คือฉากประกาศศักดาของ เดวิด โรบีย์ ที่สร้างคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญในย่านพิคะดิลีเซอร์เคิส ย่านศูนย์การค้ากลางกรุงลอนดอน ฉากนี้ละที่เป็นความภาคภูมิใจของทีมงานว่าเป็นหนังเรื่องเดียวที่ยกกองถ่ายทำที่ย่านพิคะดิลีเซอร์เคิสได้ยาวนานที่สุด ต่อเนื่องกันหลายคืน ในเรื่องการเล่าเรื่อง บทของ นีล ครอส ทำได้ดีมากครับ หนังเดินหน้าเร็วไม่มีแผ่วเลย เล่าเรื่องคู่ขนานกันได้อย่างสมูธ ฝั่งหนึ่งก็เล่าเรื่องราวฝั่งโรบีย์ ซึ่งก็ค่อย ๆ เผยตัวตนของเขาให้คนดูได้รู้จัก ว่าเป็นใครมาจากไหน มูลเหตุจูงใจของเขาคืออะไร และแผนการของเขาคืออะไร เป็นหนังที่ให้ความสำคัญกับตัวร้ายค่อนข้างมาก ปูที่มาที่ไปอย่างละเอียด

อีกฝั่งหนึ่งก็เล่าเรื่องราวของ จอห์น ลูเธอร์ ที่ตามสืบหาตัวตนของโรบีย์โดยใช้เบาะแสจากเหยื่อแต่ละราย ว่ามีจุดเชื่อมโยงกันอย่างไร โรบีย์ใช้หลักการอะไรในการเลือกเหยื่อ ซึ่งหนังก็ค่อย ๆ เผยทีละปริศนา จนมาคลี่คลายเอาในองก์สุดท้าย ที่พาเราไปสู่ฉากไคลแมกซ์ของเรื่อง และเป็นฉากที่ชวนให้รู้สึกผิดหวังครับ กับการที่หนังค่อย ๆ สร้างตัวตนของ เดวิด โรบีย์ ขึ้นมาจนเป็นวายร้ายที่น่ากลัวเบอร์ต้น ๆ เพราะตลอดทั้งเรื่องโรบีย์สังหารคนบริสุทธิ์มาหลายสิบราย แถมยังเลือดเย็นขนาดเอาศพมาห้อยโชว์ให้บรรดาญาติพี่น้องดู จนทำให้เรากังวลแทนตัวลูเธอร์เลย ว่าจะรับมือกับโรบีย์ได้อย่างไร

แต่แล้วก็เหมือนหนังสร้างโจทย์มายากเกินไป จน นีล ครอส คนเขียนเองก็คงหาทางออกสวย ๆ ไมได้ ก็เลยเขียนให้ฉากไคลแมกซ์นั้นคลี่คลายกันได้ง่าย ๆ อย่างกับว่าโรบีย์ตอนท้ายที่เผชิญหน้ากับลูเธอร์ เป็นคนละคนกับที่เราเห็นมาทั้งเรื่อง ความโหดเหี้ยมหายไปหมดสิ้น และการเปิดเผยแผนการสุดท้ายของ เดวิด โรบีย์ นั้น ก็ไม่ได้ชวนว้าว แต่เป็นบทสรุปที่ใครชอบดูหนังแอ็กชัน ต่างก็เคยผ่านตากันบ้างแล้ว เรียกได้ว่าเป็นหนังที่ปูมาสวย สร้างความคาดหวังไว้สูง แต่พาไปถึงบทลงเอยที่คลี่คลายได้อย่างง่ายดายจนน่าผิดหวัง
ดูเอาสนุกด้านการสืบสวนไปครับ การเล่าเรื่องราวระหว่างทางดี สร้างตัวตนวายร้ายได้ดี ทำใจเผื่อ ๆ บทสรุปไว้ จะได้ไม่เสียความรู้สึกนัก