Release Date
18/03/2023
Rate : 20+
2 hr 2 m
Action, Crime, Horror
Director : Hongsun Kim
Writer : Hongsun Kim
Stars : Seo In-Guk, Dong-Yoon, JangJung So-Min
Our score
5.9[รีวิว] Project Wolf Hunting : มหกรรมน้ำแดง 2.5 ตัน
จุดเด่น
- พล็อตเรื่องน่าสนใจ ที่ว่าด้วยสถานการณ์คับขัน ในพื้นที่ปิดล้อม ไม่สามารถหนีไปไหนได้
- สร้างสรรค์ภาพลักษณ์มนุษย์กลายพันธุ์ดูง่าย ๆ แต่น่ากลัว
จุดสังเกต
- หนักมือกับฉากฆ่าที่รุนแรงและมากจนเกินไป
- ผู้กำกับเหมือนคิดอะไรได้ก็ใส่ ๆ มาหมด ทั้งนักโทษ ตำรวจ มนุษย์กลายพันธุ์
- เสียดายตัวละครที่ปูมาน่าสนใจ แต่ก็ถูกกำจัดทิ้งเสียหมด
-
โปรดักชัน
7.5
-
บทภาพยนตร์
5.0
-
นักแสดง
5.0
-
ความบันเทิงตามแนวหนัง
6.0
-
คุ้มค่าเวลารับชม
6.0
หลายคนอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่า Project Wolf Hunting เคยเข้าฉายในโรงภาพยนตร์บ้านเรามาแล้วด้วยเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2022 ในชื่อ ‘เรือคลั่งเกมล่าเดนมนุษย์’ เป็นหนังที่เข้ามาเงียบ ๆ แล้วก็ลาโรงไปอย่างเงียบ ๆ ทำรายได้ไปไม่กี่แสนบาท แต่เมื่อหนังมาสตรีมมิงทาง Netflix ก็ได้รับความนิยม ขึ้นอันดับ 1 ภายในไม่กี่วัน ส่วนรายได้ในเกาหลีใต้เองก็ค่อนข้างย่ำแย่ หนังออกฉายเมื่อเดือนกันยายน ทำรายได้ทั้งในและต่างประเทศไปแค่ 3.8 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างที่สูงถึง 9 ล้านเหรียญ
พล็อตเรื่องของ Project Wolf Hunting น่าสนใจครับ เมื่อรัฐบาลเกาหลีใต้เจรจากับรัฐบาลฟิลิปปินส์ได้เป็นผลสำเร็จ ในเรื่องการส่งตัวอาชญากรชาวเกาหลีใต้ที่ถูกขังคุกในฟิลิปปินส์กลับมาดำเนินคดีในเกาหลีใต้ นักโทษมีจำนวนหลายสิบคนจึงเลือกใช้การฝากตัวมากับเรือสินค้าขนาดใหญ่ ด้วเหตุที่นักโทษหลายคนในเที่ยวนี้เป็นอาชญากรข้อหารุนแรง จึงต้องใช้กำลังตำรวจมาดูแลใกล้ชิดแบบ 1:1 ทั้งนักโทษและตำรวจบนเรือเที่ยวนี้จึงมีจำนวนนับร้อย โดยที่ทุกคนไม่รู้ว่ามีอสุรกายกระหายเลือดแอบแฝงมาในเรือสินค้าลำนี้ด้วย
แม้ว่าหนังจะยาวถึง 2 ชั่วโมง และมีตัวละครทั้งฝั่งตำรวจและนักโทษจำนวนมาก แต่หนังก็ใช้เวลาเกริ่นนำกันไม่นาน ให้คนดูรู้จักแค่ตัวละครหลัก ๆ เท่านั้น ผ่านไปแค่ไม่กี่นาทีหนังก็เริ่มนองเลือดกันแล้ว เมื่อบรรดาลูกน้องของเจ้าพ่อใหญ่ แอบแฝงตัวมาบนเลือด และทำการยึดเรือเพื่อปลดปล่อยตัวหัวหน้าแก๊ง ในขณะเดียวกัน หนังก็ค่อย ๆ เผยให้เห็นว่าบนเรือนี้ไม่ได้มีแค่เหล่านักโทษและตำรวจเท่านั้น แต่มีมนุษย์แปลงที่แอบขนย้ายจากญี่ปุ่นเพื่อขนส่งมายังเกาหลีใต้อยู่บนเรือสินค้าลำนี้ด้วย พล็อตเรื่องเดาไม่ยากเลยครับ หลังผ่านไปได้ประมาณ 30 นาที อสุรกายกระหายเลือดตัวนี้ก็หลุดออกมาฆ่าทุกคนไม่เลือกหน้า
ตัวผู้เขียนนั้น ออกจะชอบบรรยากาศหนังในช่วง 30 แรกเสียมากกว่า ในช่วงที่นักโทษ ลี โดอิล นักโทษบ้าเลือดนำทีมลูกน้องสังหารตำรวจไปมากมายและยึดเรือไว้ได้ เหลือเพียงตำรวจแค่หยิบมือเดียว ที่ต้องหนีเอาชีวิตรอด และหาทางแจ้งเหตุฉุกเฉินให้ทางการเกาหลีใต้รับรู้ถึงสถานการณ์ฉุกเฉิน หนังได้อารมณ์ออกแนว Die Hard เลย กับสถานการณ์คับขันในพื้นที่ปิดล้อม และฝ่ายตำรวจเสียเปรียบกว่า เพราะอีกฝ่ายมีทั้งจำนวนคนที่มากมาย แต่นาทีที่มนุษย์แปลงกระหายเลือดหลุดออกมาแค่นั้นแหละ หนังก็เปลี่ยนอารมณ์จากเกมไล่ล่าระทึกขวัญ เป็นหนังสยองขวัญ แนวอสุรกายไล่เชือดแบบ ไมค์ มายเออร์ หรือ เจสัน วอร์ฮีร์ ไปในทันที ต่างกันที่เรื่องนี้มีเหยื่อให้ไล่ล่ากันเยอะมาก ได้ดูฉากคนโดนฆ่าตายแทบทุก 2 นาที ถ้านับไม่ไหว ผู้กำกับนับมาให้แล้วว่าทั้งเรื่องนี้มีคนตาย 57 ศพ ใช้เลือดปลอมไปทั้งสิ้น 2.5 ตัน
บทหนังสร้างตัวละครที่น่าสนใจขึ้นมาหลายตัว แล้วบางตัวก็ทำให้เราคาดหวังว่าจะมีบทบาทสำคัญ แต่ก็กลายเป็นเหยื่อเสียแทบหมดสิ้นจนน่าเสียดาย อย่างลีโดอิลที่ปูมาให้เห็นความโรคจิตจนน่ากลัวในช่วงต้น แต่ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากโดอิลได้คุ้มค่านัก และอีกหลาย ๆ ตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาแล้วก็ถูกกำจัดทิ้งไปเสียเฉย ๆ รวมไปถึงหัวหน้าใหญ่ขององกร์ อีออน ผู้สร้างมนุษย์กลายพันธุ์ที่เปิดตัวอย่างมาอย่างน่าเกรงขาม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีบทบาทสำคัญแต่อย่างใด เข้าสู่ครึ่งหลังซึ่งรู้สึกว่าหนังเดินหน้ามาไกลมาก เพราะไม่เหลือเรื่องราวของตำรวจกับโจรไล่ล่ากันอีกต่อไป แต่กลายหนังซูเปอร์ฮีโรไปเสียแล้ว เมื่อกลุ่มผู้รอดชีวิตที่ต้องต่อกรกับองค์กรลึกลับผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างมนุษย์กลายพันธุ์ตัวนี้ขึ้นมา และบทเฉลยที่ชวนให้รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ออกทะเลกันทั้งภาพบนจอและเนื้อหาเลยจริง ๆ
ประเด็นสำคัญที่มีผลต่อคุณภาพหนังมาก ๆ ก็คือมนุษย์กลายพันธุ์ตัวนี้แหละ หนังออกแบบภาพลักษณ์ตัวนี้ง่าย ๆ แต่ก็ดูน่ากลัว โดยเฉพาะการใช้คลิปเหล็กครอบดวงตา และใส่ชุดนักโทษ และกำหนดให้เป็นอาวุธชีวภาพที่ถูกสร้างมาให้กระหายเลือดฆ่าคนไม่เลือกหน้า แถมมีพละกำลังเหนือมนุษย์ ซึ่งน่าจะทำให้โทนหนังชวนให้ลุ้นตึงเครียดได้อย่างมาก แต่ผู้กำกับกลับไม่เลือกใช้ประโยชน์จากจุดนี้เลย กลายเป็นว่าไม่มีฉากต้องให้ลุ้น เมื่อเหยื่อเผชิญหน้ากับมนุษย์กลายพันธุ์ก็ตายทันที ไม่ต้องแอบซ่อน ลุ้นสะดุ้ง หรือวิ่งไล่กัน เน้นขายฉากฆ่าโหดเลือดท่วมจอกันอย่างเดียวเท่านั้น พอมันเยอะเกินไป ความลุ้นระทึกก็เลยหายไปด้วย ต้องใช้คำว่าได้เห็นฉากฆ่าถี่จนรู้สึกด้านชา ฉากแรก ๆ ก็ชวนตระหนกตกใจพอควรละ แต่พอเห็นถี่ขึ้นเป็นสิบ ๆ ราย เหยียบหัวเละ แขนขาขาด ก็เริ่มรู้สึกเฉย ๆ ละ ถ้าผู้สร้างลดฉากฆ่าให้น้อยลง ให้ความสำคัญกับฉากไล่ล่าเหยื่อมากขึ้นจะสนุกกว่านี้อีกมาก
แม้ว่านักแสดงจะเยอะมาก แต่ไม่มีนักแสดงระดับแถวหน้าให้เห็นเลย บทนำของเรื่องตกเป็นของ ซัง ดองอิล นักแสดงขาประจำของ คิมฮองซุน ที่มารับบทเป็นมือสังหารประจำองค์กรอีออน, พาร์ค โฮซัน ที่คอซีรีส์น่าจะคุ้นหน้ากันดี มารับบทเป็นนายตำรวจหัวหน้าหน่วย ผู้เป็นอีกหนึ่งความหวังของสถานการณ์คับขันนี้, จุงซุงอิล ที่หลายคนประทับใจกันจากบทแด๊ดดี้ ประธาน ฮาโดยอง ใน The Glory มารับบทเป็นตำรวจ ที่อายุสั้นมาก ๆ และ จุงโซมิน สิ่งเจริญหูเจริญตาที่สุดในเรื่อง ที่ถูกใส่มาเพียงเพื่อแบ่งเบาจำนวนประชากรเพศชายในเรื่องที่อัดแน่นเต็มไปหมด แต่ก็ไม่ได้มีบทบาทสำคัญต่อเนื้อหาแต่อย่างใด
จะดีจะร้ายก็ต้องชี้นิ้วไปที่ คิมฮองซุน ที่เหมารวมทั้งหน้าที่ผู้กำกับและเขียนบท ที่เคยมีผลงานสร้างชื่ออย่าง The Chase (2017) และ Byeonshin (2019) ต่อเนื่องมาถึงเรื่องนี้ ฮองซุนก็ยังคงยึดแนวทาง อาชญากรรม-ระทึกขวัญ อยู่เช่นเคย เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ออกจะหนักมือไปเสียหน่อย ในเรื่องฉากฆ่าและปริมาณเลือด จนหนังได้เรต 20+ ไป และนี่แหละคือปัญหาหลักที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของหนัง