Our score
6.2[รีวิว] The Magician’s Elephant แอนิเมชันอบอุ่นหัวใจ แต่สูตรสำเร็จมากไปจนน่าเสียดาย
จุดเด่น
- โครงเรื่องชัดและแข็งแรงตั้งแต่ต้นจนจบ
- ภาพสวยสดใส ตัวละครมีเอกลักษณ์
- มีข้อคิดดี ๆ เป็นมิตรกับทุกเพศทุกวัย
จุดสังเกต
- เดินเรื่องเป็นเส้นตรง เดาทางง่ายไปหน่อย
- ไปไม่สุดสักทาง ไม่น่าจดจำ เหมาะสำหรับดูเพลิน ๆ
-
บท
6.5
-
โปรดักชัน
7.0
-
การดำเนินเรื่อง
5.0
-
ความสนุกตามแนวภาพยนตร์
6.5
‘The Magician’s Elephant – มนตร์คาถากับช้างวิเศษ’ เป็นแอนิเมชันเรื่องใหม่จาก Netflix ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมคลาสสิกรางวัล Newbery Award ผลงานของ เคท ดิคามิลโล (Kate DiCamillo) นักเขียนนิยายสำหรับเด็กชาวอเมริกัน ถูกนำมาสร้างเป็นแอนิเมชันความยาว 1 ชั่วโมง 39 นาที อัดแน่นด้วยความอบอุ่นหัวใจและภาพสวยสดใส แต่ปรุงรสชาติตามสูตรสำเร็จไปหน่อยอย่างน่าเสียดาย
‘The Magician’s Elephant’ เล่าเรื่องราวของ ปีเตอร์ หนุ่มน้อยที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยทหารผ่านศึกปลดประจำการเพื่อให้เขาเติบโตเป็นทหาร ทั้งชีวิตถูกเลี้ยงมาโดยให้ชินกับความยากลำบาก ไร้ความเชื่อและมนต์วิเศษ แต่เขากลับแอบมีความหวังในใจว่าจะตามหาน้องสาวที่ตัวเองเชื่อว่ายังมีชีวิตอยู่
วันหนึ่งชีวิตของปีเตอร์ก็ต้องเปลี่ยนไป เมื่อเขาตัดสินใจใช้เงินหนึ่งเหรียญไปดูดวงกับหมอดูสาวและได้รับคำแนะนำมาเพียงประโยคเดียว “ตามช้างไป” เพราะคำแนะนำที่ว่า ปีเตอร์ต้องพบกับภารกิจสุดท้าทาย เพราะการจะได้ช้างมาเขาต้องทำภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ 3 อย่างเพื่อให้พระราชาพอใจ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
ปมเรื่องชัดและแข็งแรง เดินเรื่องง่ายไม่ซับซ้อน
การเล่าเรื่องของ ‘The Magician’s Elephant’ นั้นเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ปมหลักของเรื่องคือการตามหาน้องสาวที่ปีเตอร์เชื่อว่ายังมีชีวิตอยู่ และเขาก็พร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เจอเธอ จนเกิดเป็นมิตรภาพกับเพื่อนตัวใหญ่อย่างเจ้าช้างปริศนาที่มาอยู่ผิดที่ผิดทางเพราะมนต์วิเศษของนักมายากล ซึ่งทั้งเรื่องโฟกัสกับจุดนี้โดยไม่หลุด
นอกจากนี้ภายในเรื่องยังตั้งคำถามเกี่ยวกับความเชื่อ ความหวัง และการเชื่อในสิ่งที่คนอื่น ๆ คิดว่าเป็นไปไม่ได้ โดยเล่าผ่านตัวละครต่าง ๆ ที่รายล้อมปีเตอร์ ทำให้ตลอดเรื่องเต็มไปด้วยบรรยากาศของความอบอุ่นหัวใจรวมถึงมีความสดใสค่อนข้างมาก แม้จะมีการกล่าวถึงสงครามแต่ก็ไม่ได้ทำให้เรื่องราวหดหู่เท่าไร เป็นแอนิเมชันแฟนตาซีสูตรสำเร็จที่เรียบง่าย เดินเรื่องเป็นเส้นตรงตั้งแต่ต้นจนจบ
แต่จุดสังเกตเล็กน้อยก็คือการที่ทั้งเรื่องเทน้ำหนักไปที่ตัวปีเตอร์ ทำให้ตัวละครอื่นที่ควรสำคัญกับเรื่องราวกลายเป็นจืดจางไป อย่างเช่นช้างที่เหมือนจะเด่นแต่เอาจริงก็ไม่เด่นขนาดนั้น หรือแม้แต่นักมายากลที่ได้ เบเนดิกต์ หว่อง (Benedict Wong) มาพากย์เสียงก็เหมือนไม้ประดับมากกว่า แม้ว่าทุกตัวละครจะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเรื่องราวไปข้างหน้าก็ตาม
ภารกิจชวนลุ้นแต่เดาทางง่ายไปหน่อย
ความสนุกช่วงกลางเรื่องของ ‘The Magician’s Elephant’ เริ่มขึ้นเมื่อปีเตอร์ต้องทำภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ 3 อย่างจากพระราชา ซึ่งแต่ละภารกิจก็ต้องยอมรับว่าโหดหินสำหรับเด็กหนุ่มธรรมดา ๆ แต่น่าเสียดายที่แอนิเมชันมีการหยอดคำใบ้เอาไว้ให้คนดูอย่างเรา จนพอจะเดาได้ว่าเขาจะไขปริศนาและเอาชนะภารกิจอย่างไรจนทำให้ความตื่นเต้นลดลงไปเยอะ ภารกิจสุดท้ายที่เป็นจุดไคลแมกส์เองก็ผ่านมาแบบง่าย ๆ คล้ายการโกงเล็ก ๆ (โกงแบบไหนต้องลองไปดูกัน)
กลายเป็นว่าตลอดเรื่องมีการเล่าแบบเป็นเส้นตรง ไม่มีจุดที่ลุ้นระทึกหรือตื่นเต้นเท่าที่ควร เป็นแอนิเมชันแฟนตาซีเดาง่าย ย่อยง่าย ดูเพลิน ๆ เมื่อดูจบก็ไม่ได้รู้สึกประทับใจหรือรู้สึกว่าน่าจดจำ
งานภาพสวยสดใส แม้จะไม่อลังการ
มาพูดถึงงานภาพของ ‘The Magician’s Elephant’ กันบ้าง ต้องบอกว่าแอนิเมชันเรื่องนี้ยังคงเป็นงานคุณภาพของ Netflix ที่มาพร้อมภาพสวย สดใส สีสันสวยงาม มีเอฟเฟกต์รวมถึงการเคลื่อนไหวที่ไหลลื่นสมจริง การออกแบบคาแรกเตอร์แต่ละตัวมีความชัดเจน โดดเด่น แต่ละฉากทำออกมาได้ดีแทบไม่มีจุดเผางาน แต่หากจะถามว่าในเรื่องมีฉากเด่น ๆ อลังการ หรือเป็นที่จดจำหรือไม่ ก็คงตอบว่า “ไม่” แม้แต่ฉากร่ายมนต์ในช่วงท้ายเรื่องก็ตัดจบกันไปแบบง่าย ๆ ไม่ได้มีความพิเศษอะไร ได้แต่แอบคิดในใจว่า อ้าวแค่นี้เองเหรอ?
สรุป
‘The Magician’s Elephant’ เป็นแอนิเมชันแฟนตาซีที่สร้างมาจากวรรณกรรมสำหรับเด็ก เล่าเรื่องเรียบง่าย เป็นเส้นตรง อาจจะไม่ตื่นเต้นชวนลุ้นแต่ก็พอดูได้เพลิน ๆ งานภาพและเสียงคุณภาพ แต่ภาพรวมไม่โดดเด่น อาจจะเรียกว่าไม่สุดสักทางก็ได้ แต่หากใครกำลังมองหาแอนิเมชันสำหรับลูกหลานช่วงปิดเทอม นี่ก็คือหนึ่งในเรื่องที่เราอยากแนะนำ เพราะนอกจากจะสนุก ดูง่าย ไม่ซับซ้อนแถมอบอุ่นหัวใจ ยังมีข้อคิดดี ๆ สำหรับเด็ก (และผู้ใหญ่อย่างเรา) ด้วย
สามารถรับชม ‘The Magician’s Elephant’ ได้ทาง Netflix
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส