[รีวิว] Kill Boksun : จักรวาลนักฆ่าในแบบเอเซียที่ไม่ขี้เหร่
Our score
7.4

Release Date

31/03/2023

เรต : 16+

2 ชั่วโมง 19 นาที

แอ็กชัน, ดราม่า , ระทึกขวัญ

ผู้กำกับ : ซองบยุงฮยุน

นักแสดง : อนโดยอน, ซอลคยองกู, คิมชีอา

[รีวิว] Kill Boksun : จักรวาลนักฆ่าในแบบเอเซียที่ไม่ขี้เหร่
Our score
7.4

[รีวิว] Kill Boksun : จักรวาลนักฆ่าในแบบเอเซียที่ไม่ขี้เหร่

จุดเด่น

  1. พูดถึงโลกนักฆ่าใต้ดินเหมือนกับ John Wick แต่ก็หาแนวทางแตกต่างของตัวเองได้ดี
  2. งานโปรดักชันละเอียด ประณีต เห็นถึงความตั้งใจของทีมงาน
  3. บาลานซ์เรื่องราวดราม่าแม่-ลูก และเรื่องราวโลกนักฆ่าได้ลงตัวดี

จุดสังเกต

  1. หนังพูดถึงปูมหลังที่มาที่ไปของคิลบกซุนน้อยมาก
  2. ฉากแอ็กชันบางจังหวะยังเห็นการชะงักหยุดรอกัน
  • คุณภาพงานโปรดักชัน

    8.0

  • คุณภาพนักแสดง

    7.5

  • บทภาพยนตร์

    7.0

  • ความบันเทิง

    7.5

  • คุ้มค่าเวลารับชม

    7.0

ระหว่างที่ดู ก็พอจะคาดเดาได้ว่า ผู้กำกับน่าจะได้แรงบันดาลใจจาก John Wick มามากพอดู พอเสิร์ชอ่านเรื่องราวเบื้องหลังก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ บยุน ซองฮยุน (Byun Sung-Hyun) เผยว่าเขาตัวเอกของเรื่องที่เป็นนักฆ่าหญิงนั้นได้แรงบันดาลใจมาจาก Kill-Bill บวกกับเรื่องของโลกนักฆ่าใต้ดินก็ได้แรงบันดาลใจมาจาก John Wick ผสมผสานกันออกมาเป็นเรื่องราวของ คิลบกซุน นักฆ่าหญิงที่ตั้งชื่อเรื่องตามชื่อของเธอที่เป็นตัวละครหลักของเรื่อง

บกซุนเป็นนักฆ่าหญิงระดับตำนานในวัย 40 ปลาย ที่สร้างสถิติไม่เคยทำงานพลาดสักครั้งเดียวในชีวิต ทำให้กิตติศัพท์ของเธอเป็นที่เลื่องลือ แต่ปัญหาชีวิตของเธอกลับเริ่มมาจากชีวิตครอบครัว เมื่อ คิลเจยอง ลูกสาวของเธอในวัย 15 เริ่มเข้าสู่วัยรุ่นและมีปัญหาระหองระแหงกับแม่เพราะคิดว่าแม่ไม่เข้าใจในตัวเธอ ขณะเดียวกันบทหนังก็สาดปัญหาในเรื่องงานของบกซุนให้เข้ามาประดังกัน เมื่อคุณธรรมในใจของบกซุนเข้ามามีบทบาทในการทำงาน เธอปฏิเสธที่จะลงมือสังหารเหยื่อรายหนึ่ง กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่ขยายต่อเนื่องเป็นปัญหาระหว่างเธอกับองค์กรตัวเองและองค์กรอื่น ๆ

ด้วยความยาว 2 ชั่วโมง 17 นาที ถือว่าเนื้อหาและฉากต่าง ๆ ที่อัดใส่เข้ามาอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะพอดี ทั้งเนื้อหาส่วนดราม่าแม่ลูก และส่วนแอ็กชัน ไม่มีช่วงยืดเยื้อเกินไปจนน่าเบื่อ และมีหลาย ๆ จุดที่น่าประทับใจ อย่างแรกเลยคือการเลือก จอนโดยอน (Jeon Do-yeon) นักแสดงหญิงมากฝีมือสายรางวัล พลิกบทบาทมาเล่นบู๊ในวัย 50 ปี เธอเคยคว้ารางวัล นักแสดงยอดเยี่ยมจากเวทีใหญ่อย่างคานส์มาแล้วเมื่อปี 2007 และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเปลี่ยนแนวมาเล่นแอ็กชันแบบจริงจัง ด้วยภาพลักษณ์ของโดยอน ที่ดูเป็นมนุษย์ป้ามาก ๆ ห่างไกลกับภาพลักษณ์ของนักฆ่าหญิงอยู่มาก แต่เมื่อได้เห็นเธอในฉากต่อสู้หลาย ๆ ฉากแล้วข้อกังขาก็เริ่มหมดไป ด้วยรูปร่างของเธอที่เรียวยาวสะโอดสะองก็เลยทำให้เธอดูเคลื่อนไหวคล่องแคล่วสมจริง ซึ่งกว่าจะมาถึงจุดนี้ป้าโดยอนก็ทุ่มเทให้กับบทบกซุนอย่างจริงจัง เธอต้องเข้าเวิร์กชอปอย่างหนักเป็นเวลา 4 เดือน กว่าจะออกมาเป็นภาพอย่างที่เราได้เห็นกัน

อีกจุดที่ชอบคือการผสานเรื่องราวดราม่าแม่ลูกกับโลกนักฆ่าได้อย่างลงตัว เรา ๆ ต่างดูหนังที่เกี่ยวกับนักฆ่ากันมาเป็นสิบเรื่องแล้วละ ซึ่งส่วนใหญ่ตัวเอกที่เป็นนักฆ่าจะปิดบังคู่รักไม่ให้รู้ แต่กับ Kill Boksun นี่คือเรื่องแรกเลยที่เขียนให้ แม่เป็นนักฆ่าแล้วต้องปิดบังความจริงกับลูกสาวที่กำลังเป็นวัยรุ่น และเริ่มมีรสนิยมแนว LGBT ก็นับว่าเลือกทางออกให้กับตัวเองได้สวยงาม และเป็นประเด็นที่น่าสนใจหยิบมาใช้ได้สนุก อย่างเช่นฉากแม่กำลังออกปฏิบัติการ ลูกสาวก็ต้องโทรมาระบายกับแม่พอดี งานนักฆ่าก็ต้องทำ หน้าที่แม่ก็ห้ามบกพร่อง ได้เห็นการเจริญเติบโตทางวุฒิภาวะทั้งแม่และลูก ลูกที่กำลังเรียนรู้กับการเป็นผู้ใหญ่ การับรู้รสนิยมทางเพศของตัวเอง ส่วนแม่ก็เผชิญกับทางแยกของชีวิต ที่ต้องเลือกระหว่างหน้าที่แม่กับงานที่ถนัดและคุ้นเคยมายาวนาน

Netflix ก็ช่างกล้าบ้าบิ่นเสียเหลือเกินที่เลือกปล่อยหนังในมาในช่วงที่ John Wick : Chapter 4 กำลังกวาดเงินถล่มทลายอยู่ทั่วโลกขณะนี้ หรืออาจจะคิดว่าให้กระแส John Wick ช่วยส่ง Kill Boksun ที่เป็นหนังในแนวเดียวกัน แล้วฉายคนละแพลตฟอร์มอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ก็คือ หนังจะต้องถูกยกมาเปรียบเทียบกันในหลาย ๆ ด้าน เรื่องโลกนักฆ่าของ Kill Boksun นั้นเล็กกว่ามาก เพราะถูกจำกัดอยู่แค่เกาหลีใต้ประเทศเดียว แต่การที่กำหนดให้มีองค์กรนักฆ่ามากถึง 12-13 บริษัทก็ดูเวอร์วังเกินไป ประเทศเดียวจะมีงานจ้างฆ่าอะไรกันมากมายขนาดนั้น

อีกด้านหนึ่งก็คือฉากแอ็กชัน สำหรับ Kill Boksun ก็ถือว่าไม่ขี้เหร่ เห็นได้ชัดถึงความตั้งใจ หลาย ๆ ฉากเล่นแบบลองเทค ใช้นักแสดงจำนวนมาก ก็ต้องวางแผนเตรียมงานกันยาวนานล่ะ ที่ชอบก็คือการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ ข้าวของรอบตัว มาเป็นส่วนประกอบในการต่อสู้ ชอบไอเดียการดอลลี่หมุนวนรอบนักแสดงที่กำลังต่อสู้กันอยู่ ถือว่าเป็นไอเดียแปลกใหม่ แต่พอออกมาชนกับ John Wick ก็ดูจะด้อยกว่าในเรื่องความสมจริง ความรุนแรง ความโหด บางจังหวะใน Kill Boksun เห็นเลยว่านับจังหวะมีการหยุดรอ

งานโปรดักชันดูจริงจังตั้งใจ ชอบการออกแบบอาคารองค์กร MK Ent ห้องของประธานมีกระจกโค้งครึ่งวงกลมเป็นฉากหลัง ดูหรูหราอลังการ สมกับเป็นองค์กรนักฆ่าใหญ่ ใส่ใจแม้กระทั่งดีเทลเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่นการ์ดเข้าตึก ซองงาน ที่เป็นซองกระดาษน้ำตาลมีครั่งสีฟ้าปิดผนึกดูมีความขลัง หนังยังลงลึกถึงวัฒนธรรมองค์กร ที่แสดงให้เราเห็นว่ามีโรงเรียนฝึกนักฆ่ารุ่นใหม่ ๆ ออกมา มีรุ่นพี่พารุ่นน้องออกไปฝึกงานจริง มีการเลื่อนขั้น รายละเอียดมากมายเหล่านี้เหลือเฟือที่จะขยายเรื่องราวเป็นซีรีส์ 16 ตอนได้เลย

พูดถึงจุดที่ไม่ประทับใจบ้าง แผลใหญ่ ๆ เลยก็คือปูมหลังของ คิลบกซุน หนังให้เราได้รู้จักตัวเธอแค่ในปัจจุบันเท่านั้น กับฉากสั้น ๆ ย้อนอดีตวันที่ประธานชามินกูได้พบกับบกซุนในวันที่ยังเป็นเด็กสาว ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นการคาดเดาว่าประธานชาน่าจะรับตัวเธอมาดูแล และฝึกฝนเธอจนเป็นนักฆ่ามือหนึ่งขององค์กร แต่ไม่มีการเปิดเผยเรื่องราวชีวิตครอบครัวเธอ และสามีของเธอว่าหายไปไหน เหตุใดบกซุนถึงกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว

อีกจุดที่รู้สึกขัดใจและสะดุดอารมณ์อยู่หลายครั้ง ก็คือเทคนิคล่อหลอกคนดู ด้วยการปล่อยให้เราดูฉากต่อสู้ ที่บกซุนเป็นฝ่ายพลาดท่าแล้วค่อยมาเฉลยว่าเป็นภาพในจินตนาการของเธอ เราเคยเห็นเทคนิคนี้ในหนัง Sherlock เวอร์ชัน ดาวนีย์ จูเนียร์ แต่นั่นหนังบอกล่วงหน้าว่าเป็นการวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ แต่ใน Kill Boksun ไม่มีการบอกคนดูล่วงหน้า แต่ปล่อยให้เราหลงเชื่อไปกับภาพบนจอแล้วค่อยมาเฉลยภายหลัง ซึ่งเล่นซ้ำอยู่หลายครั้ง แต่ที่ขัดใจที่สุดก็คือนำเทคนิคนี้มาเล่นในฉากต่อสู้สุดท้าย ซึ่งเป็นฉากไคลแมกซ์ของเรื่อง กลายเป็นว่าเราได้ดูภาพในจินตนาการของบกซุนยาวนาน แต่ฉากต่อสู้จริงกลับมีแค่ไม่กี่นาที ก็เลยกลายเป็นว่าฉากที่น่าจะเป็นจุดพีคสุดของเรื่องสั้นกว่าฉากต่อสู้ประปรายระหว่างทางเสียอีก ไม่สะใจ ไม่สมกับการเป็นฉากไคลแมกซ์ที่ปูทางมายาวนาน ทำให้ฉากต่อสู้กับเหล่านักฆ่าต่างองค์กรในร้านอาหารเป็นฉากที่น่าประทับใจที่สุดในเรื่องนี้ไปแทน

สรุป Kill Boksun เป็นงานที่รวม ๆ เอาแรงบันดาลใจจากหนังนักฆ่าฮอลลีวูดมายำรวมกันแล้วได้แนวทางของตัวเองที่สวยงาม ห่างไกลกับคำว่า ‘ก๊อปปี้’ บาลานซ์เรื่องราวดราม่าครอบครัวกับฉากแอ็กชันได้พอดี เป็นงานประณีตเห็นถึงความทุ่มเทตั้งใจของทีมงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง สนุก ไม่เสียดายเวลา หนังมีฉากหลังเอนด์เครดิตด้วยนะครับ 1 ตัว รอไม่นาน แต่ไม่ดูก็ได้ ไม่มีความสำคัญอะไรกับเนื้อหา