![[รีวิว] The Mother : คิดผิดตั้งแต่เอาผู้กำกับหนังครอบครัว มากำกับหนังโหดแล้ว](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2023/05/MV5BODlmZThjZGItOGRmMC00ODVjLWIzYWMtODBhYzQyZjE4NWE5XkEyXkFqcGdeQXVyMTUzMTg2ODkz._V1_FMjpg_UX1000_-374x554.jpg)
Our score
4.9Release Date
12/05/2023
Rate : R
1h 55m
Action, Thriller
Director : Niki Caro
Writers : Misha Green, Andrea Berloff, Peter Craig
Stars : Jennifer Lopez, Lucy Paez, Omari Hardwick
![[รีวิว] The Mother : คิดผิดตั้งแต่เอาผู้กำกับหนังครอบครัว มากำกับหนังโหดแล้ว](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2023/05/the-mother-780x410.jpg)
Our score
4.9[รีวิว] The Mother : คิดผิดตั้งแต่เอาผู้กำกับหนังครอบครัว มากำกับหนังโหดแล้ว
จุดเด่น
- พล็อตที่ว่า คุณแม่นักฆ่าถ่ายทอดวิชานักฆ่าให้ลูกสาวนั้นน่าสนใจดี
- เจนนิเฟอร์ โลเปซ ในวัย 50 ยังฟิตแอนด์เฟิร์มมาก
จุดสังเกต
- รายละเอียดเนื้อหา ตัวละคร มีมากเกินกว่าจะอัดอยู่ในเวลา 1 ชั่วโมง 55 นาที
- แคสติงนักแสดงแม่กับลูกได้ไม่มีความละม้ายกันเลย
- ฉากแอ็กชันจืดชืดไม่ชวนลุ้น
-
คุณภาพงานสร้าง
7.0
-
คุณภาพนักแสดง
5.0
-
บทภาพยนตร์
4.0
-
ความบันเทิงตามแนวหนัง
4.5
-
คุ้มค่าเวลารับชม
4.0
วันนี้ เจนนิเฟอร์ โลเปซ (Jennifer Lopez) นักร้องและนักแสดงเชื้อสายเปอร์โตริกันผู้นี้มีอายุ 53 ปีแล้วครับ เธอประเดิมงานแสดงมาตั้งแต่ปี 1993 นับถึงวันนี้ก็ 30 ปี พอดี โลเปซมีผลงานแสดงมาแล้วกว่า 30 เรื่อง แต่งานแสดงของเธอส่วนใหญ่จะหนักไปทางแนวรอม-คอมเสียมาก มีดราม่า บ้างแอ็กชันบ้างประปราย แต่ถ้าเรื่องที่เธอรับบทเป็นสาวดุ ได้โชว์ฉากแอ็กชันก็ต้องย้อนไปถึง Enough ปี 2002 นู่นเลย นั่นเท่ากับ 21 ปีที่แล้วเลยนะ แต่เมื่อดูแล้วก็ต้องชื่นชมครับ ว่าโลเปซในวัยเลข 5 ยังดูดี ฟิตแอนด์เฟิร์ม แล้วดูอ่อนกว่าวัยเป็น 10 ปี ตามบทบาทในเรื่อง ที่ตัวละครของเธอน่าจะอยู่ในวัยเลข 4 ต้น ๆ นี่แหละ

ในเรื่องนี้ เจนนิเฟอร์ โลเปซ รับบทเป็นตัวละครนิรนามไม่มีการแนะนำตัวว่าเธอมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร แต่เราได้เห็นที่ไปที่มาว่าเธอเป็น ทหารอเมริกันหญิงที่ผ่านการฝึกมาอย่างหนัก จนเป็นสไนเปอร์มือฉมังของนาวิกโยธินสหรัฐ หลังปลดประจำการ เธอก็ไปเป็นตัวกลางดีลการซื้อขายอาวุธระหว่างเฮกเตอร์ พ่อค้าอาวุธ กับ เอเดรียน โลเวลล์ อดีตหัวหน้าหน่วยของเธอ ที่กลายมาเป็นมาเฟียนักค้าอาวุธให้กับกองกำลังต่างชาติ แต่เมื่อเธอรู้ว่าโลเวลล์และเฮกเตอร์ร่วมกันค้ามนุษย์และเป็นเด็กล้วน ๆ ทำให้เธอตัดสินใจหันหลังให้กับทั้งคู่ แล้วเข้ามอบตัวกับ FBI พร้อมเสนอตัวเป็นพยาน แต่โลเวลล์ก็ไล่ตามมาทัน ยกพวกมาถล่มรัง FBI และแทงเธอเข้าที่ท้อง ในขณะที่เธอกำลังท้องแก่ แต่เธอก็รอดมาได้ FBI ยอมรับเธอเข้าโครงการพิทักษ์พยาน แต่เพื่อความปลอดภัย ลูกของเธอจะถูกส่งไปให้ครอบครัวใหม่รับอุปการะ เหมือนสถานการณ์จะลงเอยด้วยดี ผ่านไป 12 ปี เฮกเตอร์ตามเจอ โซอี้ ลูกของเธอและลักพาตัวไป ร้อนถึงคุณแม่ต้องกลับมาพะบู๊อีกครั้ง เพื่อตามตัวลูกสาวเธอคืนมา
ถ้าดูตามโครงเรื่องแล้ว นี่คือหนังในแวดวงนักฆ่ามือฉมัง ที่แม่ผู้เป็นนักฆ่าทวงแค้นด้วยการตามลูกคืน บทหนังก็เปิดโอกาสให้ใส่ฉากแอ็กชันได้ถี่ ๆ นะครับ แต่ว่าแต่ละฉากนั้น มันช่างดูง่ายดายไปเสียหมด ตัวแม่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายไร้รอยขีดข่วนเลย ฉากแอ็กชันแต่ละฉากมันก็เลยขาดอารมณ์ลุ้นระทึก ทั้งที่เป็นหัวใจหลักของหนังแนวนี้ กลายเป็นหนังที่ไม่มีฉากแอ็กชันชวนจดจำน่าประทับใจเลยแม้แต่ฉากเดียว ในวันนี้ John Wick ได้ยกระดับหนังแอ็กชันขึ้นไปอีกไกลแล้ว ผู้สร้างหนังแอ็กชันต้องคิดต้องวางแผนกันให้มากกว่านี้

ถ้าจะชี้นิ้วหาสาเหตุที่หนังออกมาเป็นแบบนี้ ก็ต้องชี้ไปที่ตัวผู้กำกับ นิกี้ คาโร (Niki Caro) นี่แหละ แล้วก็ต้องลามไปถึง Netflix ว่าคิดอย่างไรถึงได้เลือกให้เธอมากำกับหนังแอ็กชันที่โหดดุแบบนี้ ทั้งที่เธอแจ้งเกิดมาจากหนังสัตว์โลกสวยอย่าง Whale Rider ปี 2002 และล่าสุดก็ Mulan เวอร์ชันไลฟ์แอ็กชันของดิสนีย์ คือเธอมาจากสายหนังเด็ก หนังครอบครัว แล้วอยู่ดี ๆ ก็จับเธอมากำกับหนังแอ็กชันสาดกระสุนเนี่ยนะ

จะถามว่าหนังโหดไหม ก็โหดนะ คุณแม่นี่เน้นยิงหัวกบาลเลือดสาดอย่างเดียวเลย เวลาสังหารด้วยมีดก็จะแทงซวบแล้วลากมีดให้ตายอย่างทรมาน แต่อย่างที่กล่าวมาข้างต้น ว่าเธอคลี่คลายแต่ละสถานการณ์ได้อย่างง่ายดายเกินไป ทั้งที่ฝ่ายตรงข้ามมากันเป็นสิบ ไม่ทันได้เอาใจช่วยเลย เธอก็ปิดฉากเรียบร้อยไปแล้ว เชื่อว่าบทน่ะเขียนมาโหดแล้ว เพราะได้ มิชา กรีน (Misha Green) มาเป็นคนเขียนบท แม้ว่าเธอจะเป็นนักเขียนบทหญิง แต่ถ้าดูจากผลงานที่ผ่านมาของเธอก็ล้วนแต่หนังโหดทั้งนั้น Sons of Anarchy, Spartacus : Gods of Arena, Spartacus : Blood and Sand คือบทน่าจะส่งมาดีแล้วล่ะ มันขาดแค่ผู้กำกับที่มีประสบการณ์ในหนังแนวนี้ ที่จะถ่ายทอดภาพได้ออกมาตามจินตนาการของกรีนแค่นั้น
แล้วที่สำคัญก็คือภาพลักษณ์ของโลเปซ แม้ว่าจะมาในบทบาทนักฆ่า แต่เธอก็ยังคงเป็นโลเปซแบบหน้าเดิมเป๊ะ ๆ เหมือนยังห่วงสวยอยู่ หนังเปิดโอกาสให้เธอโชว์ทักษะต่าง ๆ มากมาย ทั้งต่อสู้ด้วยมือเปล่า มีดสั้น ปืนสั้น ปืนไรเฟิล วิ่ง กระโดดปีนป่าย ขี่มอเตอร์ไซค์ แต่ทั้งหมดยังอยู่บนภาพลักษณ์ของโลเปซเดิม ๆ ที่หน้าเป๊ะ ผมดำยาวสลวยสวยเก๋ มันก็เลยดูขัดกับภาพนักฆ่ากร้านโลกมากประสบการณ์ ถ้าเธอยอมทุ่มเทกับบทนี้หน่อยนะ ตัดผมสั้น ใส่แผลเป็นตามหน้าและลำตัว มันจะดูน่ากลัว และดูน่าเชื่อถือกว่านี้ และที่สำคัญมันจะดึงดูดความสนใจผู้ชมได้มากขึ้นด้วย

ไม่ต้องยกตัวอย่างที่ไหนไกลเลย เอาในเรื่องนี้แหละ โจเซฟ ไฟนส์ (Joseph Fiennes) พระเอกฮอลลีวูด ที่พลิกบทบาทมาเป็นตัวร้ายในภาคนี้ ในบท เอเดรียน โลเวลล์ ยังเปลี่ยนภาพลักษณ์ได้สุดขั้วเลย ตัดผมเกรียน ใส่คอนแท็กเลนส์ แล้วเมกอัปหน้าให้เป็นแผลเป็นครึ่งหน้า แค่ปรากฏตัวมาก็ดูน่าเกรงขามแล้ว ส่วน กาเอล การ์เซีย เบอร์นัล (Gael García Bernal) นี่ก็อีกหนึ่งพระเอกตลอดกาลจากสเปน ก็ยอมพลิกบทบาทมารับเป็น เฮกเตอร์ อัลวาเรซ แต่รายนี้บทบาทน้อย แล้วก็ยังมาในภาพลักษณ์เดิม ๆ

สาวน้อย ลูซี เพซ (Lucy Paez) มารับบท โซอี้ ลูกสาววัย 12 ของคุณแม่นักฆ่า เธอเป็นนักแสดงหน้าใหม่ครับ เรา ๆ เลยไม่คุ้นหน้ากัน ก็นับว่าหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูดี แต่ก็เป็นการแคสติงได้แบบไม่สนเค้าหน้าเอาเสียเลย ไม่มีตรงไหนที่ดูเป็นแม่ลูกกับโลเปซเอาซะเลย น่าเสียดายที่บทหนังปูอดีตของแม่ยาวนานไปหน่อย กว่าที่โซอี้จะได้มาอยู่กับแม่ก็ผ่านไปครึ่งหลังเสียแล้ว เราก็เลยไม่ได้เห็นช่วงเวลาความผูกพันของแม่กับลูกเท่าใดนัก ช่วงที่หนังพยายามจะบิลด์ดราม่า ก็เลยรู้สึกเฉย ๆ ไม่ได้อินไปกับหนังเท่าที่ควร
ถ้าพิจารณาตามเนื้อหาแล้ว เอา The Mother ไปทำเป็นซีรีส์จะเหมาะกว่านะ เพราะหนังมีรายละเอียดเยอะมาก ตั้งแต่ความผูกพันของแม่กับ 2 ตัวร้าย มาจนถึงการบุกชิงตัวลูก และพาลูกมาเข้าป่าฝึกวิชานักฆ่า เพื่อรอเผชิญหน้ากับคู่อริในฉากไคลแมกซ์ท้ายเรื่อง หนังต้องยัดทุกอย่างลงไปในเวลา 1 ชั่วโมง 55 นาที อย่างเรื่องราวที่แม่ฝึกวิชาให้ลูกนี่ก็น่าสนใจดีแต่หนังก็เหลือเวลาให้ส่วนนี้แค่ไม่กี่นาที แนะนำว่าเอาไว้เป็นตัวเลือกท้าย ๆ แล้วกันครับ ไม่มีอะไรดูค่อยดู พลาดไปก็ไม่น่าเสียดายเลย