Release Date
26/05/2023
Rate
TV-MA
Run Time
1h 38m
Genre
Action, Drama, War
Director
Peter Thorwarth
Writer
Stefan Barth, Peter Thorwarth
Staring
Robert Maaser, Jördis Triebel, Marie Hacke
Our score
6.7[รีวิว] Blood & Gold : หนังสงครามโลกครั้งที่ 2 โหด ดุ เลือดสาด โดยไม่ต้องมีฉากรบ
จุดเด่น
- เล่าเรื่องง่าย ตัวละครขาวจัด ดำจัด แต่ก็ได้ความบันเทิง
- เลือกเล่าเหตุการณ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ในทิศทางที่แตกต่างไม่ซ้ำซาก
- สะใจคอหนังโหด ยิงกันเลือดกระจาย แขนขากระเด็น แต่ไม่ขายฉากแหวะ
- ไม่เขียนให้พระเอกเป็นซูเปอร์ฮีโรจนเกินไป
จุดสังเกต
- ตัวละครบางตัวก็มาไวไปไวเกิน
- มีฉากฆ่าสัตว์
-
คุณภาพงานสร้าง
7.0
-
นักแสดง
5.5
-
บทภาพยนตร์
6.5
-
ความบันเทิงตามแนวหนัง
7.0
-
คุ้มค่าเวลารับชม
7.5
แม้ว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 จะผ่านมาเกือบ 80 ปีแล้ว แต่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั่วโลกก็ยังคงสร้างหนังเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ออกมาเรื่อย ๆ และส่วนใหญ่แล้ว ‘นาซีเยอรมัน’ ก็มักจะได้บทตัวร้ายในหนังอยู่เสมอ แม้กระทั่งเรื่องนี้ Blood & Gold หนังที่สร้างโดยเยอรมันเองก็ตาม แล้วก็เป็นการเลือกหยิบแง่มุมเล็ก ๆ ในช่วงปลายสงครามมาเล่าได้อย่างน่าสนใจ
หนังเป็นผลงานกำกับของ ปีเตอร์ ธอร์วาร์ต (Peter Thorwarth) อดีตนักแสดงที่ผันมาเป็นผู้กำกับ แล้วเรื่องนี้ยังพ่วงหน้าที่ร่วมเขียนบทกับ สเตฟาน บาร์ธ (Stefan Barth) และเป็นผลงานกำกับเรื่องที่ 2 แล้ว ที่ธอร์วาร์ตกำกับให้กับ Netflix เรื่องก่อนหน้านั้นก็คือ Blood Red Sky หนังแวมไพร์บนเครื่องพาณิชย์ ก็เป็นอีกเรื่องที่เล่าเรื่องปีศาจแวมไพร์ในพื้นที่จำกัดได้อย่างสนุกน่าติดตาม
Blood & Gold เล่าเรื่องราวของ ‘ไฮน์ริช’ อดีตทหารนาซีหนีทัพ ที่รอดชีวิตจาการถูกแขวนคอมาได้ เพราะ ‘เอลซา’ สาวชาวไร่ช่วยชีวิตเขาไว้ แล้วนาซีหน่วยเดียวกันนี้ก็ลักพาตัว ‘พอล’ น้องชายของเอลซาไป ทำให้ไฮน์ริชและเอลซาต้องตามมาที่หมู่บ้านที่กองทหารนาซีมาตั้งทัพ เพราะหมู่บ้านนี้มีทองแท่งจำนวนมากที่ครอบครัวชาวยิวทิ้งเอาไว้ กลายเป็นความอีรุงตุงนัง ที่ชาวบ้านและทหารนาซีพยายามจะแย่งชิงทองกัน ขณะเดียวกันไฮน์ริชและเอลซาก็พยายามแก้แค้นเอาคืนกับเหล่าทหารนาซีจอมโฉด
อันดับแรกก็ต้องชื่นชมที่ธอร์วาร์ตและบาร์ธ 2 มือเขียนบทที่เลือกเล่าเรื่องราวสงครามโลกครั้งที่ 2 ในมุมมองที่แตกต่างจากทุกเรื่องที่ผ่านมาทำให้ไม่ซ้ำซาก เพราะใช่แค่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นฉากหลัง ไม่มีฉากสู้รบกันระหว่างทหาร แต่เลือกให้อดีตทหารนาซีหนีทัพเป็นพระเอกแล้วหน่วยทหารเดิมรับบทผู้ร้ายไป แล้วสร้างภาพลักษณ์ตัวร้ายของเรื่องได้เลวสุด ๆ ไปเลย ทั้งตัวผู้พันของหน่วยที่โหดสุด แถมสร้างภาพลักษณ์ได้เหมือนอย่างกับตัวร้ายในการ์ตูน คือหน้าเละไปข้างหนึ่งแล้วใส่หน้ากากปิดบังรอยแผลไว้ครึ่งหน้า เลือดเย็นและไร้รอยยิ้ม รองลงมาคือ ‘จ่าจอมโฉด’ ร่างใหญ่โหดและหื่นตลอดเวลา มีความแค้นฝังหุ่นกับไฮน์ริชตัวร้ายของเรื่อง เรื่องนี้พระเอกของเราจึงต้องเผชิญกับตัวร้ายระดับบอสถึง 2 ตัว พอหนังสร้างสรรค์ตัวร้ายได้โหดดุแบบนี้ก็ยิ่งทำให้หนังดูมีสีสันน่าติดตาม
ความยาวหนังตามมาตรฐานแค่ 90 นาที แต่ก็ยังแบ่งครี่งแรกและครึ่งหลังได้อย่างชัดเจน ครึ่งแรกนั้นเรื่องราวจะอยู่ที่บ้านไร่ของเอลซา ที่ไฮน์ริชและเอลซาจะต้องรับมือกับหน่วยทหารนาซี ก่อนที่พวกมันจะจับตัวพอลไปยังหมู่บ้าน พอเข้าครึ่งหลัง เรื่องราวก็จะดำเนินอยู่แค่ไหนหมู่บ้านเล็กมีชาวบ้านไม่กี่หลังคาเรือน มีโบสถ์เป็นศูนย์กลางของหมู่บ้าน และเป็นเป้าหมายหลักของทหารนาซีหน่วยนี้ที่รู้ข่าวว่าครอบครัวชาวยิวทิ้งทองแท่งไว้จำนวนมาก และพวกมันก็ต้องการครอบครองทองเหล่านี้ เพื่อไปใช้ชีวิตสุขสบายเพราะสงครามโลกครั้งที่ 2 ใกล้จะยุติลงแล้ว ทำให้ 2 เส้นเรื่องมาบรรจบกันในหมู่บ้านนี้ แล้วพาเราไปสู่ฉากไคลแมกซ์ที่สาดกระสุนกันดุเดือด ทั้งชาวบ้านที่ฆ่ากันเองเพื่อชิงทอง แล้วยังต้องรับมือกับทหารนาซีที่ต้องการทองด้วยเหมือนกัน ส่วนไฮน์ริชและเอลซานั้นก็ต้องการชำระแค้นกับผู้พันและจ่าโหด
พอดูออกครับ ว่าเป็นหนังฟอร์มเล็ก ใช้ทุนสร้างไม่มาก ตัวละครไม่เยอะ บนเส้นเรื่องง่าย ๆ เป็นเส้นตรง ไม่มีปริศนา ไม่มีการหักมุม แต่ก็เป็นบทที่สามารถสอดแทรกฉากแอ็กชันลงไปได้ถี่ ๆ และทำหน้าทีเป็นจุดขายของเรื่องได้อย่างดี เราก็เลยได้ดูฉากต่อสู้ที่ทั้งรุนแรงและโหดพอดู ทั้งการต่อสู้ด้วยปืน มีด และมือเปล่า ยิงกันเลือดกระจาย ระเบิดกันจนแขนขาปลิว คนตายเยอะมาก บางรายก็ดูเก่งกาจมีสีสัน ได้โชว์ลีลาบนจอได้แพร้บ ๆ ก็ไปซะแล้ว อาจจะเพราะว่าเรื่องนี้เป็นหนังเยอรมันกระมังครับ ไฮน์ริชพระเอกของเรื่องจึงไม่เป็นอึดถึกทนระดับซูเปอร์ฮีโรนัก เก่งจริงในการต่อสู้ทั้งปืนและหมัด แต่เรื่องนี้พระเอกของเราก็เสียท่า ร่วงลงไปกองกับพื้นอยู่หลายครั้งเหมือนกัน ก็ทำให้ฝ่ายดีของเรื่องตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรองให้ต้องช่วยลุ้นอยู่บางครั้ง ไม่ได้เอาชนะคู่ต่อสู้แบบผ่านฉลุยจนเกินไป
เพราะเป็นหนังเยอรมันล่ะครับ บรรดาสักแสดงก็เลยไม่คุ้นหน้า แต่ก็ชื่นชมว่าแคสติงนักแสดงได้เข้ากับบทอย่างมาก โดยเฉพาะตัวร้ายนี่มากันแบบโอเวอร์แอ็กติ้งได้สีสันแบบหนังการ์ตูนเลย โรเบิร์ต เมเซอร์ (Robert Maaser) ในบท ไฮน์ริช เป็นชายร่างสูงใหญ่ ทำให้ดูเหมาะสมกับบทพระเอกของเรื่อง ผ่านงานหนังฮอลลีวูดมาแล้วหลายเรื่องทั้ง Original title: Mission: Impossible – Rogue Nation, 1917 และ Uncharted แต่ก็ได้บทสมทบล้วน ๆ เลยไม่มีใครจำหน้าเขาได้
แม้จะเป็นหนังแอ็กชันที่ดุเดือดเลือดสาด แต่ก็ยังพอมีมุกแทรกอยู่บ้างประปรายแต่กระนั้นก็ยังเป็นตลกร้าย ที่เล่นล้อกับความตาย ไม่ได้ชวนให้ยิ้มตามเลยนะครับ แต่ก็ชวนให้ช็อตฟีลว่าเล่นกันแบบนี้เลยเหรอ Blood & Gold น่าจะถูกใจคอหนังแอ็กชันเลยล่ะครับ ตัวละครมาแบบขาวจัด ดำจัด ฝ่ายดีที่ไร้ตัณหาราคะ แค่อยากจะหนีทัพกลับไปหาลูก แต่ต้องมาผ่านวิบากกรรมที่ต้องผ่านเส้นทางของเหล่าตัวร้ายที่เต็มไปด้วยความโลภแบบสุด กลายเป็นเรื่องราวให้เราได้สนุกกันสั้น ๆ ในเวลาแค่ชั่วโมงครึ่ง แนะนำครับ