Release Date
07/06/2023
แนว
ไซไฟ / ผจญภัย / แอ็กชัน
ความยาว
2.07 ช.ม. (127 นาที)
เรตผู้ชม
PG-13
ผู้กำกับ
สตีเวน เคเปิล จูเนียร์ (Steven Caple Jr.)
SCORE
7.3/10
Our score
7.3Transformers: Rise of the Beasts | ทรานส์ฟอร์เมอร์ส: กำเนิดจักรกลอสูร
จุดเด่น
- ตีความแฟรนไชส์ได้สดใหม่และน่าสนใจ มีทิศทางให้ไปต่อ
- ตีความคาแรกเตอร์ตัวละครใหม่ได้น่าสนใจ ออปติมัส ไพรม์ จากผู้นำแนวสุขุม ให้มีความแบดขึ้นอีกเล็กน้อย
- Mirage เป็นตัวจี๊ดประจำเรื่อง พีท เดวิดสัน พากย์ได้เข้ามือเข้าบุคลิกมาก เข้าขากับโนอาห์สุด ๆ
- ตอนท้ายมีเซอร์ไพรส์ใหญ่ ใครเป็นแฟนของเล่น Hasbro น่าจะกรี๊ดนะ
- ไม่หวือหวา แต่ดูง่ายไม่ซับซ้อนเวียนหัวเหมือนภาค 4-5
จุดสังเกต
- บทและพล็อตดำเนินเรื่องเป็นสูตรสำเร็จเดาง่าย
- มีบทที่ไม่สมเหตุสมผลและ Plot Hole อยู่พอสมควร
- ไดอะล็อกดูลิเกไปหน่อย ทั้งคนทั้งหุ่นยนต์
- หุ่นแม็กซิมัลบางตัวเท่มาก แต่บทบาทน้อยไปหน่อย ยังเกลี่ยบทไม่ค่อยถึง
- พาร์ตดราม่า-ความสัมพันธ์ยังลงไม่ลึกมากพอ เลยชวนให้อินได้ไม่มากพอ
- ซีจีไม่ค่อยสเถียร มีลอยบ้างบางจุด
-
คุณภาพด้านการแสดง
6.4
-
คุณภาพโปรดักชัน
7.5
-
คุณภาพของบทภาพยนตร์
6.9
-
ความบันเทิง
7.9
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
7.6
ผู้เขียนกับท่านผู้อ่านก็น่าจะคิดคล้าย ๆ กันนะครับว่า ภาพจำสุดท้ายของหนังแฟรนไชส์หุ่นยนต์เอเลี่ยนตีกัน ‘Transformers’ ก็คงหนีไม่พ้นฉากที่หุ่นตะน้อนบัมเบิ้ลบี (Bumblebee) เปลี่ยนตัวเองจากรถโฟล์กสวาเกน ไปเป็นรถมัสเซิลคาร์สุดเท่ Chevrolet Camaro ใน ‘Bumblebee’ (2018) คือจำได้แค่นั้นจริง ๆ จะว่าผู้เขียนความจำสั้นก็ได้ครับ แต่ก็ยอมรับสารภาพตรง ๆ เลยว่า แม้จะดูมาครบแล้วทุกภาค
แต่ด้วยความที่หลังจาก ‘Transformers’ (2007) ภาคแรกเข้าฉาย ในภาคต่อ ๆ มา มันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนจากหนังสงครามหุ่นรบแอ็กชันมันระเบิดตื่นตาในสไตล์ป๋า ไมเคิล เบย์ (Michael Bay) ผสมกลิ่นอายหนังครอบครัวฟีลกู้ดตามสไตล์ สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) กลายเป็นหนังหุ่นรบขายวิชวลเอฟเฟกต์ ขายระเบิดภูเขาเผากระท่อมวินาศสันตะโร (และขายของเล่น) แบบดาดดื่น กับมุกตลกล้น ๆ เลอะ ๆ ไร้เสน่ห์ ความไม่สมเหตุสมผลของตัวละคร และเส้นเรื่องยุ่บยั่บวุ่นวายจนไม่รู้จะจับเอาตรงไหนมาจำจริง ๆ (จะมียกเว้นก็ ‘Bumblebee’ ที่มีอาการบทหลุด ๆ บ้าง แต่ก็ถือว่าดูได้แบบเพลิน ๆ )
แน่นอนแหละว่า ด้วยคำวิจารณ์ที่ไม่ดี แถมทุนสร้างที่สูงขึ้นในแต่ละภาค แต่ดันทำรายได้สวนทางตกเหว (ถึงแม้ว่าจะทำรายได้ให้ค่ายมากโขอยู่) ประกอบกับช่วงแถว ๆ นั้น เทรนด์หนังซูเปอร์ฮีโรก็กำลังขาขึ้นพอดี แฟรนไชส์หนังหุ่นตีกันชุดนี้ก็เลยขาขึ้น (มาก่ายหน้าผากบ้าง) อยู่นาน จนมาปีนี้แหละ อยู่ดี ๆ Paramount Pictures ก็ขุดแฟรนไชส์นี้ขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้งในรอบ 6 ปี ใน ‘Transformers: Rise of the Beasts’ หรือ ‘ทรานส์ฟอร์เมอร์ส: กำเนิดจักรกลอสูร’ ที่ภาคนี้จะทำหน้าที่เป็นทั้ง Sequel หรือภาคต่อจากหนัง ‘Bumblebee’ และทำหน้าที่กึ่ง ๆ Hard Reboot รีเซตจักรวาลใหม่ที่จะมีเส้นเรื่องเป็นของตัวเอง ไม่ได้เกี่ยวข้อง และไม่ใช่ภาคต่อจากหนังจักรวาลป๋าเบย์ 5 ภาคแรกแต่อย่างใด
‘Transformers: Rise of the Beasts’ ยังคงได้ 2 ป๋าผู้ให้กำเนิดและจุดความสำเร็จให้กับแฟรนไชส์นี้ในอดีต ทั้งสปีลเบิร์ก และป๋าเบย์ ที่ยังคงมานั่งแท่นโปรดิวเซอร์ใหญ่ครับ ส่วนเก้าอี้ผู้กำกับ ได้แฟนเดนตายทรานส์ฟอร์เมอร์ สตีเวน เคเปิล จูเนียร์ (Steven Caple Jr.) ผู้กำกับหนังมวย ‘Creed II’ (2018) มานั่งแท่นรับหน้าที่ โดยในภาคนี้ แฟน ๆ ‘Transformers’ คงคุ้นอยู่แล้วแหละว่า ตัวหนังได้แรงบันดาลใจเรื่องราวเกี่ยวกับหุ่นจักรกลฟอร์มสัตว์ป่า จากแอนิเมชันสามมิติ ‘Beast Wars: Transformers’ (1996–1999) มาอยู่ในรูปแบบหนัง Live Action เป็นครั้งแรก ซึ่งน้อง ๆ อาจจะไม่คุ้นชื่อ แต่คนอายุแถว ๆ 30 ปีขึ้นน่าจะคุ้นกับการ์ตูนเรื่องนี้ ตอนเอามาฉายออกอากาศทางช่อง 7 บ้างแหละ
เรื่องราวของหนังเริ่มต้นในปี 1994 หลังจากเหตุการณ์ใน ‘Bumblebee’ ประมาณ 7 ปี ณ เมืองบรูกลิน นิวยอร์ก เมื่ออดีตพลทหารหนุ่มเชื้อสายลาติน โนอาห์ ดิแอซ (Anthony Ramos) ต้องการออกไปหางานทำเพื่อช่วยเหลือแม่ บรีนนา ดิแอซ (Luna Lauren Velez) และน้องชาย คริส ดิแอซ (Dean Scott) แต่ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ วันหนึ่ง โชคชะตาพานายกระจอกอย่างเขาให้ไปพบกับ มิราจ (Pete Davidson) รถยนต์ Porsche 964 Carrera RS 3.8 สีเงินคาดแถบน้ำเงินสุดเฟี้ยว หนึ่งในหุ่นรบออโตบอตที่กบดานอยู่บนโลก ร่วมกับ ออปติมัส ไพรม์ (Peter Cullen) หุ่นรบหัวรถบรรทุกหัวลาก Freightliner FLA ปี 1987 หัวหน้าของกลุ่ม อาร์ซี (Liza Koshy) หุ่นรบสาวซิ่ง Ducati 916 และตะน้อนบัมเบิลบี Chevrolet Camaro สีเหลือง-ดำคนดีคนเดิม ที่กำลังหาหนทางกลับดาวไซเบอร์ทรอน
ในขณะเดียวกัน เอเลนา วอลเลซ (Dominique Fishback) นักโบราณคดีสาวผู้ทำงานในพิพิธภัณฑ์โบราณคดี ได้พบกับเบาะแสบางอย่างที่นำไปสู่สิ่งล้ำค่าที่เรียกว่า ทรานสวอป คีย์ (Transwarp Key) กุญแจที่สามารถพาไปยังมิติต่าง ๆ ได้ทั่วจักรวาล ฝั่งออโตบอตเองก็อยากได้เอาไว้พากลับไซเบอร์ทรอนบ้านเกิด แต่ฝั่งเทอร์เรอร์คอนส์ผู้ชั่วร้าย ก็ต้องการกุญแจนี้ เพื่อให้ยูนิครอน (Coleman Domingo) สิ่งมีชีวิตโคตรมหึมา ใช้เดินทางเพื่อไปกลืนกินดาวทั่วทั้งจักรวาลได้ด้วยเช่นกัน จึงได้ส่งสเกิร์จ (Peter Dinklage) ลิ่วล้อจอมโหดมาตามไล่ล่า ในขณะที่แอเรเซอร์ (Michelle Yeoh) หุ่นรบอินทรี ตัวแทนของเผ่าแม็กซิมัล ก็ได้พาเหล่าออโตบอต รวมทั้งโนอาห์ และเอเลนา มาพบเจอกับเหล่าแม็กซิมัลรุ่นสุดท้ายที่ลี้ภัยมายังโลก อาศัยอยู่ในป่าแถบประเทศเปรู เพื่อหวังจับมือร่วมกันตามหาทรานสวอป คีย์ และปกป้องโลกก่อนที่จะโดนยูนิครอนกลืนกิน
ไม่ว่าจะเรียก ‘Rise of the Beasts’ ว่าเป็นภาคต่อของ ‘Bumblebee’ หรือจะมองมันว่าเป็น Soft Reboot ด้วยการหยิบเอาองค์ประกอบเดิมมาเล่าผ่านตัวละครใหม่เหมือนตอนสมัยภาค 4 และภาค 5 หรือจะมองว่ามันเป็น Hard Reboot ที่ตั้งใจจะวางเส้นทางเพื่อหลีกห่างจากจักรวาลป๋าเบย์ ด้วยการวางเส้นเรื่องทั้งหมดเป็นของตัวเองก็ตามที และเอาเข้าจริง ว่ากันตามตรง ตัวหนังภาคนี้ก็ยังคงใช้โครงสร้าง วิธีคิด กลิ่นอาย วิธีการเล่าเรื่อง และฟอร์แมตบางอย่างจากจักรวาลป๋าเบย์ ตกทอดมาอยู่ในภาคนี้มาแบบเต็ม ๆ และหลายคนดูแล้วก็คงนึกถึงภาคแรกไม่น้อยแหละ เพราะภาคนี้ก็เรียกได้ว่าแทบจะหยิบยืมเส้นเรื่องและวิธีเล่าในแบบภาคแรกมาใช้เลย โดยเฉพาะธีมเด็กชายกับสิ่งมีชีวิตประหลาด (ที่ชวนให้นึกถึง E.T. ล้าน ๆ เปอร์เซนต์) เพียงแค่ไม่มีสาวเซ็กซี่แล้วเท่านั้นเอง (ว้า…)
แต่ก็ต้องยอมรับว่า ตัวหนังก็เห็นความพยายามที่จะตีความและเปลี่ยนปรับอัปเดตแฟรนไชส์ ‘Transformers’ ใหม่ในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งการปรับดีไซน์หุ่นรบใหม่ โดยเฉพาะหุ่นไพรม์ ที่ปรับให้มีความคล้ายกับเวอร์ชันการ์ตูน (G1) รวมทั้งการปรับคาแรกเตอร์ของเหล่าบรรดาหุ่น ที่แต่เดิมในจักรวาลป๋าเบย์จะมีระยะห่างมากหน่อย พอมาภาคนี้ก็จะมีความใกล้ชิดมนุษย์ มีความเป็นมนุษย์ มีความรู้สึกนึกคิดมากขึ้น จากออปติมัส ไพร์ม หุ่นรบสุขุม ๆ ให้ดูมีทรงแบบหัวหน้าจอมหัวร้อน แล้วก็เบียวมาก ๆ ด้วย เพราะคำพูดคำจาพี่แต่ละคำนี่มันช่างเบียวได้ใจจริง ๆ หรือแม้แต่มิราจ ที่ พีท เดวิดสัน ก็รับหน้าที่พากย์เสียงได้ยียวนมาก ๆ ซึ่งตัวหนังพยายามจะดันให้มิราจขึ้นมาเป็นเพื่อนกับมนุษย์ และวางเส้นเรื่องมิตรภาพของมิราจกับโนอาห์ แบบเดียวกับบัมเบิลบีในภาคที่แล้ว มิราจก็เลยต้องกลายมาเป็นตัวจี๊ดตัวตึง เป็น MVP ประจำภาคที่หลายคนชื่นชอบ จนแทบไม่จำเป็นต้องดู ‘Bumblebee’ มาก่อนก็ดูภาคนี้รู้เรื่อง
อีกจุดที่ผู้เขียนคิดว่าหลายคนก็คงรู้สึกไม่น้อยกับภาคนี้แน่ ๆ แหละ ก็คือบรรดาฉากแอ็กชันครับ ซึ่งเอาเข้าจริงภาคนี้มันก็ยังคงมีความเป็น Bayhem หน่อย ๆ ตามอิทธิพลโปรดิวเซอร์นั่นแหละ แต่สิ่งที่ต่างอย่างเห็นได้ชัดคือ ภาคนี้เป็นหนังสเกลกลาง ๆ ที่ไม่ได้เน้นหวือหวาแบบระเบิดเขาเผากระท่อมแล้ว โดยเฉพาะฉากแอ็กชันตอนไคลแม็กซ์ ที่ถือว่าทำได้สนุกและตื่นตา เพียงแต่ว่าอาจจะไม่ได้มีฉากอลังการ หรือมีมุมกล้อง-ตัดต่อหวือหวาเท่าของป๋าเบย์ ถ้าใครชอบความอลังการแบบทะลุตึก ระเบิดรถ ก็อาจจะรู้สึกว่ามันจืดไปหน่อย แต่ถ้าใครพึงใจกับเรื่องราวในแบบไม่ต้องเน้นแอ็กชันหวือหวา มีกลิ่นอายความเป็นหนังซูเปอร์ฮีโรหน่อย ๆ แค่นี้ก็ถือว่าตื่นตาและเร้าใจกว่าฉากแอ็กชันใน ‘Bumblebee’ มาก ๆ แล้วล่ะ แม้ภาคนี้จะแอบเห็นบางซีนที่ CGI ไม่ค่อยเสถียร เดี๋ยวดีเดี๋ยวหลุดบ้าง แต่ก็ถือว่าพอยอมรับได้นะ
ส่วนในแง่บท แม้จะมีวัตถุดิบจากการตีความใหม่ที่ถือว่าสดใหม่และไม่เลวเลย และผู้เขียนก็เชื่อลึก ๆ ว่ามันก็แข็งแกร่งพอที่จะให้ไปต่อได้อีกหลายภาค แต่โดยโครงสร้างหลัก ๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่า พล็อตของตัวหนังก็ยังไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่อะไรขนาดนั้น แม้ว่าการเล่าเรื่องจะพยายามวางจุดพลิกล็อกให้ได้ลุ้นตลอดทาง แทรกวิธีการเดินเรื่องแบบหนังสยองขวัญ แทรกมุกตลกแกล้มบาง ๆ แทรกเพลงฮิปฮอปยุค 90s ที่ผู้กำกับคัดมาเองกับมือ ซึ่งถือเป็นสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีในภาคก่อน ๆ แต่โครงสร้างบทและพล็อตโดยรวม ก็ยังคงเล่าเรื่องด้วยบทที่เป็นสูตรสำเร็จตามแบบฉบับ ‘Transformers’ จ๋า ๆ ไม่บิดพลิ้ว
ตัวหนังยังคงเล่าเรื่องด้วยพล็อตภารกิจการตามหาสิ่งของล้ำค่าของไซเบอร์ทรอเนียน เพียงแต่ว่าภาคนี้มีการเพิ่มบทให้มนุษย์เข้าไปมึส่วนร่วมกับภารกิจมากขึ้นอย่างชัดเจน ไม่มีทหารหรือกองทัพมาคอยยุ่มย่ามแล้วก็ไม่พยายามทำให้ออโตบอตมีความเก่งขั้นเทพเหมือนภาคก่อน ๆ ด้วย แต่มีเส้นเรื่องที่ทำให้ออโตบอตรู้จักแพ้เป็น มีปมฝังใจ มีช็อตที่หมดหวังแบบขั้นสุด ทำให้ตัวหนังมีกลิ่นอายหนังแอ็กชันผจญภัยล่าสมบัติสูตรสำเร็จแบบ ‘Indiana Jones’ ที่ซัดกันด้วยเส้นเรื่องและแอ็กชันแบบตรง ๆ เน้น ๆ และมีพาร์ตดราม่าที่เดาไม่ยาก เน้นดูสนุกเพลิน ๆ ไม่มีเส้นเรื่องรองผีบ้าผีบอ ไม่มีอาการตัดต่อเวียนหัว ดูไม่รู้เรื่องว่าใครตีกับใครเหมือนภาคก่อน ๆ
แต่ก็จะมีจุดสังเกตเรื่องบทอยู่พอสมควรเหมือนกันนะครับ จุดที่ผู้เขียนมองว่าหนังภาคนี้ยังทำได้ไม่รัดกุมมากพอก็คือ การปูเรื่องความสัมพันธ์ทั้ง คน-คน, คน-หุ่นยนต์ และหุ่นยนต์-หุ่นยนต์ ที่จะลากเข้าไปสู่ปมดราม่าที่ในหนังปูทางเอาไว้ และช่วยเข้ามาเติมให้หนังดูมีความรู้สึก มีหัวใจมากขึ้น ไม่แข็งทื่อเหมือนหนังป๋าเบย์ โดยเฉพาะคู่หู โนอาห์-มิราจ ที่เป็นตัวเติมสีสันให้หนังสนุกและน่ารักขึ้นเป็นกอง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความยาว 2 ชั่วโมงนิด ๆ มันก็ทำให้หนังมันสั้นเกินกว่าจะปูเรื่องความสัมพันธ์ในแบบเชิงลึกของแต่ละตัวละคร และความสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ ให้คนดูรู้สึกอินและอิ่มเอมได้หมดจดเทียบเท่ากับ ‘Bumblebee’ ที่มีความน่ารักและทัชใจมากกว่า กลายเป็นมวลบรรยากาศความสัมพันธ์แบบบาง ๆ ที่ไม่ได้ชวนให้เข้าถึงพาร์ตดราม่าได้เต็มที่มากนัก
อีกจุดก็คือเรื่องของการกระจายบทครับ โดยเฉพาะที่เสียดายอย่างแรงก็คือ ไหน ๆ ก็อุตส่าห์เอาเผ่าแม็กซิมัลมาโชว์ ถือเป็นจุดขายหลักของภาคนี้ด้วยซ้ำ และเอาเข้าจริง นักรบเผ่าแม็กซิมัลทุกตัวก็ถือว่าเท่และเก่งขั้นเทพเลยแหละ แต่เสียดายที่ตัวหนังไม่ได้โชว์ หรือปูเรื่องฝั่งของพวกเขาให้ละเอียดมากกว่านี้ แถมพอรวมทีมกับออโตบอตตอนต่อสู้ท้าย ๆ เรื่อง ก็กลายเป็นว่าพาให้แม็กซิมัลบางตัวมีบทบาทน้อยลงจนแทบจะกลายเป็นบทสมทบจืด ๆ ไปเลย นอกจากนี้ก็คือบรรดา Plot Hole หลุด ๆ ที่ชวนขัดใจ และการตัดสินใจของตัวละครบางตัว ที่ตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่างระหว่างทาง ที่ผู้เขียนก็พอนึกเหตุผลออก แต่ก็แอบไม่เมกเซนส์ถึงเหตุผลสักเท่าไหร่
การตีความที่สดใหม่ (ภายใต้โครงร่างสูตรสำเร็จ) ของหนังภาคนี้ แม้จะยังไม่ถึงขั้นเพอร์เฟกต์ ด้วยหลาย ๆ องค์ประกอบที่ยังมีจุดบกพร่อง แต่ก็น่าจะเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้หลายคนที่เคยอ่อนใจ ปลง เอือมระอา หมดศรัทธา หรือแม้แต่กระทั่งหลงลืมแฟรนไชส์นี้ไปแล้ว ให้ลองเปิดใจหันกลับมาดูได้อีกครั้ง ดราม่าและพาร์ตความสัมพันธ์อาจไม่จับใจเท่า ‘Bumblebee’ ความออริจินัลมันสะใจ ความอลังการ ความ Beyhem อาจไม่วินาศสันตะโรเท่าภาค 1 แต่ก็สัมผัสได้ว่า ตัวแฟรนไชส์เองมีความพยายามที่จะหาสูตรใหม่ ๆ ให้กับหนังแบบที่แคร์คนดูมากขึ้น ไม่พยายามตีหัวเข้าบ้านเหมือนที่เคยทำมา ทำให้แฟรนไชส์นี้ดูน่าสนใจ พอจะมีทรง มีทิศทางให้ไปต่อได้อีกยาว ๆ ไม่ใช่แค่เอาหุ่นยักษ์มาตีกันเลอะ ๆ เทอะ ๆ มุ่งแต่ขายของเล่น ขายซีจีเท่าภาค 4 และ 5 เหมือนอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต
ปล. ตอนท้ายหนังมีเซอร์ไพรส์บิ๊ก ๆ รออยู่นะครับ ใครเป็นแฟนสายของเล่น Hasbro น่าจะมีกรี๊ดแตก
ปล. 2 มี Mid-Credits 1 ตัวด้วยนะครับ ไม่ได้ถึงกับกรี๊ด แต่ก็รอดูได้เลยเพราะไม่ต้องรอนาน
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส