Our score
7.6[รีวิว] Dream – ฟุตบอลโลกคนไร้บ้าน อบอุ่น ชวนยิ้ม อิ่มใจ แถมมีพากย์ไทยด้วยนะ
จุดเด่น
- การกระจายบทให้กับตัวละครทำได้ดี
- ดราม่า ฮา กลมกล่อม มีเสน่ห์ตามสไตล์ผู้กำกับ
- สะท้อนปัญหาที่จริงจังผ่านอารมณ์ขัน ทำให้ประเด็นในเรื่องไม่หนักเกินไป
จุดสังเกต
- เรื่องราวที่เป็นเส้นตรงทำให้ไม่มีอะไรแปลกใหม่
-
บท
7.5
-
โปรดักชัน
8.0
-
การดำเนินเรื่อง
7.0
-
ความสนุกตามแนวซีรีส์
8.0
ในวันที่เหนื่อยล้า อยากหาหนังอบอุ่นใจดูสักเรื่อง ‘Dream – ดรีม’ จาก Netflix ก็เข้ามาได้ถูกจังหวะพอดี นี่คือหนังคอมเมดี้ที่ดูแล้วอมยิ้มตามไปทั้งเรื่อง แอบมีดราม่าเล็ก ๆ เติมเข้ามาเป็นรสชาติแฝง แถมให้เราได้ตระหนักถึงความเป็นจริงว่ายังมีกลุ่มคนชายขอบอย่างคนไร้บ้านมากมายที่รอโอกาสและความช่วยเหลืออยู่ ที่สำคัญยังได้ พัคซอจุน (Park Seo Joon) และ ไอยู (IU / Lee Ji Eun) รับบทนำ และยังมีพากย์ไทยระดับคุณภาพให้เลือกรับชมอีกด้วย
‘Dream’ เล่าเรื่องราวของ ยุนฮงแด (รับบทโดย พัคซอจุน) นักฟุตบอลอาชีพอนาคตไกล แต่กลับต้องมาดับเพราะไปทำร้ายร่างกายนักข่าวปากเสีย ทำให้นอกจากถูกลงโทษทางวินัยแล้ว เขายังถูกส่งเข้าวงการบันเทิงแบบไม่เต็มใจเพื่อมากู้ภาพลักษณ์ ให้มาเป็นโค้ชทีมฟุตบอลคนไร้บ้านเพื่อลงแข่งระดับโลกคว้าชัยในรายการ Homeless World Cup ในอีกสองเดือนข้างหน้าให้ได้ แต่การกู้ภาพลักษณ์ในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การมาเป็นโค้ชแบบธรรมดา เพราะทั้งหมดจะถูกถ่ายทำเป็นสารคดีโดย อีโซมิน (รับบทโดย ไอยู) โปรดิวเซอร์สาวสุดกวนที่เข้ามาทำให้เรื่องราวปั่นป่วนขึ้นไปอีก
ภาพยนตร์เรื่อง ‘Dream’ เป็นภาพยนตร์แนวคอมเมดี้ดราม่า อบอุ่นหัวใจ ความยาว 2 ชั่วโมง 5 นาที ผลงานของ อีบยองฮอน (Lee Byeong Heon) รับทั้งหน้าที่ผู้กำกับและเขียนบท การันตีคุณภาพด้วยผลงานในอดีตอย่าง Mr. Lee (2013) Twenty (2015) และ Extreme Job (2019) ส่วนในครั้งนี้ขอมาเล่าเรื่องในแบบฉบับคอมเมดี้ฟีลกู๊ดครบสูตรดูแล้วดีต่อใจ
‘Dream’ ดำเนินเรื่องตามสูตรหนังคอมเมดี้ดราม่าที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นชีวิตที่ตกต่ำของนักกีฬาดัง การรวมกลุ่มของคนชายขอบอย่างคนไร้บ้านที่พยายามเพื่อเอาชนะการแข่งขันฟุตบอลโลกคนไร้บ้านให้ได้ ช่วงแรกของการเล่าเรื่องอาจดูเร่งรีบไปบ้าง แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางเรื่องทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทางและลงตัวมากขึ้น ทำให้เราค่อย ๆ ซึมซับปูมหลังของตัวละครและอินไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ในที่สุด
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เรื่องราวของหนังไม่ได้เล่าแค่ในสนามฟุตบอลเท่านั้น แต่ยังพาเราไปสำรวจที่มาที่ไปของแต่ละคน ให้ได้รับรู้ว่าก่อนจะมาเป็นคนไร้บ้าน พวกเขาเหล่านี้มีชีวิตอย่างไร บางคนอาจเคยรวยล้นฟ้า บางคนก็เกิดมายากไร้กว่าคนอื่น แต่สิ่งสำคัญก็คือเรื่องราวเหล่านี้สะท้อนปัญหาและความเป็นจริงว่ากลุ่มคนไร้บ้านเองก็ต้องการโอกาสและความช่วยเหลือเช่นกัน เพราะพวกเขาแต่ละคนก็มีชีวิต ความฝัน ความหวัง ไม่ต่างไปจากคนธรรมดาทั่วไป
ในเรื่องความฮาต้องขอบอกว่าหนังปล่อยมุกโบ๊ะบ๊ะกันแทบทั้งเรื่อง โดยเฉพาะพัคซอจุนและไอยูที่เคมีเข้ากันได้ดี ตบมุกกันทีไรคนดูได้อมยิ้มตลอด บางมุกก็ฮาน้ำตาไหล บางมุกก็ฮาเบา ๆ เรียกรอยยิ้มได้เรื่อย ๆ ท่ามกลางเนื้อหาที่จริงจังแทรกไว้ด้วยอารมณ์ขันอยู่ตลอด เรื่องราวดำเนินไปแบบเป็นเส้นตรงก็จริง แต่ด้วยประเด็นที่แข็งแรง อารมณ์ขัน และเสน่ห์ของนักแสดงก็ยังทำให้เราอยากติดตามไปจนจบ
นอกจากความฮาแล้วสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือดราม่าที่แทรกเข้ามาแบบกลมกล่อม ไม่มากหรือน้อยไป แต่เข้ามาช่วยสร้างมิติให้กับตัวละครแต่ละตัวได้แบบกำลังดี นอกจากนี้ยังสร้างความรู้สึกอยากเอาใจช่วยให้พวกเขาก้าวผ่านปัญหาต่าง ๆ ที่เจอได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาส่วนตัวของแต่ละคน หรือปัญหาที่เกิดจากการมาร่วมทีมกันก็ตาม
ส่วนในด้านโปรดักชันต้องบอกว่า ‘Dream’ ยังคงทำได้ดีและมีมาตรฐานที่น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นสีสันของแต่ละฉาก ไปจนถึงมุมกล้องในสนามฟุตบอลที่แม้จะมีไม่เยอะแต่ก็ทำออกมาได้เร้าใจมาก สลับกับการใช้ภาพแบบฟุตเทจมาเล่าเป็นบางช่วงทำให้ได้กลิ่นอายแบบสารคดีด้วย
ส่วนด้านนักแสดงต้องเรียกว่าสอบผ่าน เพราะแต่ละคนมีประสบการณ์และรู้จังหวะดีอยู่แล้ว บทที่เกลี่ยมาอย่างดียังสร้างพื้นที่ให้แต่ละคนได้ปล่อยของจนแต่ละตัวละครโดดเด่น มีเอกลักษณ์ จดจำได้ไม่ยาก ใครกังวลเรื่องตัวละครเยอะก็ไม่ต้องห่วง เพราะแต่ละคนจะทำให้เรารู้สึกประทับใจแตกต่างกันออกไป จำได้ทุกตัวละครแน่นอน
สรุป
‘Dream – ดรีม’ จาก Netflix ทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งการสร้างรอยยิ้ม เติมพลังใจ ให้คนดูอย่างเรารู้สึกอบอุ่นหัวใจ แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้รับรู้ปัญหากลุ่มคนไร้บ้านที่ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนในโลกก็มีคนกลุ่มนี้อยู่ รวมถึงทำให้เราได้รู้จักการแข่งขัน Homeless World Cup หรือฟุตบอลโลกคนไร้บ้านที่ก่อตั้งขึ้นโดย เมล ยัง (Mel Young) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งนิตยสาร The Big Issue นิตยสารเพื่อสร้างรายได้ให้คนไร้บ้านด้วย (ในหนังมี Easter Egg ถึงนิตยสารฉบับนี้ด้วยนะ) โดยรวมแล้วตลอด 2 ชั่วโมงกว่าเราสามารถดูไปยิ้มไปได้แบบไม่เสียดายเวลาแน่นอน
สามารถรับชม ‘Dream – ดรีม’ ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส