![[รีวิว] Heart of Stone: หัวใจเธอมันน่ากราบ อลังการงานบู๊ แต่ดูคล้ายหนังสายลับรุ่นพี่ไปหน่อย](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2023/08/MV5BMTJhYjI1N2ItM2E4MC00ZmYzLTk2YzYtNTE5YTM1MDU0NjRiXkEyXkFqcGdeQXVyMTMxNjYyMTgw._V1_-374x554.jpg)
Our score
7.0Release Date
11/08/2023
ความยาว
122 นาที
ผลงานก่อนของทีมสร้าง
Peaky Blinders Season 1 (2013), Hidden Figures (2016), The Old Gaurd (2020), Mission: Impossible - Dead Reckoning Part One (2023)
![[รีวิว] Heart of Stone: หัวใจเธอมันน่ากราบ อลังการงานบู๊ แต่ดูคล้ายหนังสายลับรุ่นพี่ไปหน่อย](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2023/08/Untitled-1-2-780x410.jpg)
Our score
7.0Heart of Stone
จุดเด่น
- การเลือกทีมนักแสดงหญิงที่ทรงพลัง ฉากแอ็กชันที่ตื่นตาอลังการ มีดีไซน์บางฉากที่น่าสนใจ
จุดสังเกต
- พลอตเชยแบบเดาฐานะบางตัวละครได้ตั้งแต่ดูตัวอย่างเลยทีเดียว และมีความคล้ายคลึงกับหนังเรื่องอื่น ๆ มากไปนิด ต้องหาเอกลักษณ์ที่น่าจดจำมากกว่านี้อีก อเลีย บาตต์ยังทำได้ไม่ดีที่สุดในบทนี้
-
บท
5.5
-
โปรดักชัน
7.5
-
การแสดง
7.0
-
ความสนุกตามแนวหนัง
7.5
-
ความคุ้มค่าการรับชม
7.5
เรื่องย่อ: สายลับเอ็มไอ 6 สาวนาม เรเชล สโตน กับคู่หูหนุ่มนามพาร์กเกอร์ ต้องร่วมมือกันป้องกันแฮกเกอร์นามว่า เคยา ดาห์วัน บุกขโมยเทคโนโลยีอาวุธทรงพลังที่เรียกว่า เดอะ ฮาร์ต เพื่อเอาไปใช้ทำอันตรายต่อโลกใบนี้ ทว่าทุกคนต่างมีความลับไม่ยกเว้นแม้แต่ตัวของสโตนเอง
เน็ตฟลิกซ์ยังคิดโปรเจกต์แอ็กชันแนวสายลับแอ็กชันระดับบล็อกบัสเตอร์มาตรึงยอดผู้ใช้บริการของตนเองอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ‘Red Notice’ (2021) หรือ ‘The Gray Man’ (2022) ซึ่ง ‘Heart of Stone’ ก็อาจมองว่าเป็นโปรเจกต์ยักษ์ในแบบที่ว่าของปีนี้ได้เช่นกัน
ตัวหนังถูกวางที่ทางไว้แบบแฟรนไชส์ที่มีศักยภาพเจริญรอยตามหนังชุด ‘James Bond 007’, ‘Mission: Imposible’ หรือ ‘Bourne’ ด้วยการวางโครงเรื่องจากนักวาดมีชื่อจากทั้งฝั่งดีซีและมาร์เวลอย่าง เกร็ก รักคา (Greg Rucka) เจ้าของผลงานกราฟิกโนเวลที่เป็นต้นธารของหนังทีมคนอมตะ ‘The Old Guard’ (2020) ซึ่งรักคาก็วางพลอตที่น่าสนใจว่าด้วยสายลับที่ซ่อนตัวอยู่ในองค์กรสายลับอีกที มันก็พอมีมุมแปลกใหม่น่าสนใจได้ดี
และนักเขียนบทสาวมือรางวัลอย่าง แอลลิสัน ชโรเดอร์ (Allison Schroeder) จากหนัง ‘Hidden Figures’ (2016) ก็มาสานต่อโครงเรื่องจนเป็นบทหนังที่สามารถดึงพลังของตัวละครหญิงออกมาอย่างโดดเด่น โดยได้ผู้กำกับ ทอม ฮาร์เปอร์ (Tom Harper) จากซีรีส์ ‘Peaky Blinders’ ซีซันแรกมากำกับ ก็ถือว่าหนังเป็นแนวสายลับแอ็กชันที่ผู้หญิงนำในแบบซีเรียสจริงจัง โดดเด่นแตกต่างจากภาพเดิม ๆ ที่เรามักเจอแต่แนวตลกแอ็กชันเสียมาก

ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าพลอตและทีมเบื้องหลังของหนังที่ว่ามาไม่ได้เป็นตัวชูโรงสำคัญ เท่ากับนักแสดงนำที่ได้ดาราสาว กัล กาดอต (Gal Gadot) จากแฟรนไชส์หนัง ‘Wonder Woman’ มารับบทนำ และแม้เทียบกับ ‘Red Notice’ ที่ครั้งนั้นกาดอตร่วมแสดงกับทั้ง ดเวย์น จอห์นสัน (Dwayne Johnson) และ ไรอัน เรย์โนลส์ (Ryan Reynolds) เรื่องนี้อาจจะไม่น่าตื่นตาเท่า แต่ก็ปฏิเสธได้ยากว่าเวลามีหน้าสวย ๆ ของเธออยู่บนหนังมันสะกดผู้ชมได้เสมอ
นอกจากนี้ยังมีทีมนักแสดงสมทบที่น่าสนใจอย่างดาราสาวอินเดีย อเลีย บาตต์ (Alia Bhatt) จากหนัง ‘Gangubai Kathiawadi’ (2022) ที่มาชิมลางหนังตะวันตกเป็นครั้งแรกในบทแฮกเกอร์ตัวร้าย และ โซฟี โอโคเนโด (Sophie Okonedo) ดาราสาวมากฝีมือที่เคยเข้าชิงออสการ์จาก ‘Hotel Rwanda’ (2005) มารับบทโนแมด ผู้บัญชาการสาวสุดแกร่งของสโตน ที่ทำให้หนังโชว์พลังของผู้หญิงโดดเด่นอย่างชัดเจน

แต่ฝั่งชายเองก็ไม่ได้น่าเกลียดเลย ได้ เจมี ดอร์แนน (Jamie Dornan) หรือคุณเกรย์จากหนังแฟรนไชส์ ‘Fifty Shades’ มารับบทพาร์กเกอร์สายลับคู่หูของสโตน พร้อมกับ แมทเธียส ชเวกโฮเฟอร์ (Matthias Schweighöfer) หรือนักถอดรหัสตู้นิรภัยจากหนัง ‘Army of Thieves’ (2021) มาหนุนตัวนางเอกในบทอัจฉริยะเทคโนโลยีด้วย
หนังมีพลอตที่ว่ากันตามตรงก็ออกจะตามสูตรแบบเชย ๆ ไม่ได้หวือหวาไปกว่าหนังแอ็กชันสายลับที่ทำตามกันมา โดยเพิ่มปมตัวละครเอกที่เป็นสายลับสองหน้าซ้อนอยู่ในวงสายลับอีกที ก่อนที่ภารกิจและผู้คนที่เธอต้องใช้งานจะทำให้สโตนค่อย ๆ เปลือยหัวใจแข็งกร้าวของเธอให้อ่อนโยนลง จนเกิดคำถามต่อความเชื่อมั่นในแนวทางขององค์กร ในขณะที่ภัยจากภายนอกก็พยายามจะครองอำนาจที่น่ากลัวขนาดล้างโลกได้ง่าย ๆ
ตัวหนังมีฉากแอ็กชันที่น่าตื่นตาตื่นใจจำนวนมาก ทั้งฉากเปิดเรื่องที่เล่นกับเวลานับถอยหลังกดดันที่เดินไปหลายสถานการณ์ให้เอาใจช่วย ไปตลอดจนฉากอลังการระดับการต่อสู้เหนือชั้นเมฆที่ระเบิดตูมตามยิ่งใหญ่ หลายฉากชวนให้นึกถึงหนังตระกูล ‘Mission: Imposible’ โดยเฉพาะในภาคหลัง ๆ อย่างช่วยไม่ได้ เพราะเป็นผลงานจาก สกายแดนซ์ บริษัทผู้ผลิตเดียวกัน ซึ่งคล้ายกันแม้แต่รูปแบบสมาชิกในทีมที่ชเวกโฮเฟอร์แทบจะมีเงาของ ไซมอน เพกก์ (Simon Pegg) ทาบทับอยู่ไม่น้อย

และที่สำคัญหากเทียบกับ ‘Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One’ (2023) หนังแทบจะเป็นกลิ่นเดียวกันทั้งเรื่องของการนำเอไอสุดล้ำมาเป็นกลไกหลักของการเดินเรื่องเลยเสียด้วย
แต่ก็ถือว่าผู้กำกับฮาร์เปอร์ยังสร้างความน่าจดจำผ่านรายละเอียดอย่าง การโชว์งานภาพที่โดดเด่นจากการเล่นแสงไฟแอลอีดีของร่มชูชีพที่ตัดกับแนวเขาสูงในฉากเปิดหนัง ฉากการใช้เอไอพยากรณ์อนาคต ไปจนถึงเรือเหาะสุดล้ำ มันเป็นการนำเสนอที่โอเวอร์แบบคอมิกสูงแต่ก็มันและได้ใจผู้ชมอย่างมากเช่นกัน
ทว่าแม้มันจะทำได้ดี มีกราฟความมันที่พุ่งขึ้นไปตลอดเวลา แต่แล้วพอมันถึงจุดที่ต้องเอาจริงเอาจังในช่วงท้าย ความกดดันและความยิ่งใหญ่ของฉากแอ็กชันกลับถูกนำเสนอธรรมดาไปอย่างเสียของ แทบไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีหลายอย่างที่ปูมาเช่นการสู้ด้วยเทคโนโลยีควบคู่กับฉากบู๊ แล้วเอามุกเชย ๆ เดิม ๆ แบบแกล้งหลอกให้ตายใจมาใช้เพื่อให้หนังมันจบไปเฉย ๆ
ถามว่าหนังมีศักยภาพในการไปต่อมากเพียงไหน ต้องบอกว่าดูมีอนาคตดีกว่าหนังอย่าง ‘Red Notice’ หรือ ‘The Gray Man’ อยู่มากโข แต่ก็ยังมีหลายอย่างที่ต้องเก็บไปแก้ไขเพื่อวางตัวเป็นแฟรนไชส์สายลับระดับแนวหน้าเช่นกัน อย่างน้อยความชัดเจนในแง่มิติตัวละครของทีมสายลับนี้ต้องมีความลึกและดึงเคมีต่อกันมากกว่านี้ รวมถึงต้องพยายามสลัดภาพที่คล้ายกันกับหนังรุ่นพี่เรื่องอื่นให้ขาด ไม่ว่าจะด้วยพลอต ตัวละคร หรือวิธีการนำเสนอด้านภาพเฉพาะตัวก็ตาม
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส