Release Date
14/12/2023
ความยาว
5 ตอน ตอนละประมาณ 45 นาที
ผลงานก่อนหน้าของผู้กำกับ Tsukikawa Shô
'Let Me Eat Your Pancreas ตับอ่อนเธอนั้น ขอฉันเถอะนะ' (2017), 'The 100th Love with You ย้อนรัก 100 ครั้ง ก็ยังเป็นเธอ' (2017), 'Even If This Love Disappears Tonight คืนฝันก่อนฉันลืมเธอ' (2022)
ดัดแปลงจาก
มังงะเรื่อง Yu Yu Hakusho ของ Yoshihiro Togashi
Our score
7.0Yu Yu Hakusho คนเก่งฟ้าประทาน
จุดเด่น
- การคุมโทนภาพ ดีไซน์ที่รักษามังงะสไตล์กับความสมจริงได้ค่อนข้างดีกว่าที่คิด ซีจีกับคิวบู๊และฉากแอ็กชันคือที่สุดน่าประทับใจสุด ทีมนักแสดงค่อนข้างดีลงตัว ตัวร้ายเท่ เล่าเรื่องช่วงดราม่าดี ตอนที่ 1 ทำได้ดีมากเป็นพิเศษ
จุดสังเกต
- ตัดเนื้อหาจากมมังงะเยอะไม่ว่า ยังกร่อนส่วนที่เหลือให้เนียนเป็นเนื้อเดียวกันไม่ดีพอ การเอาชนะใช้มุกเชยซ้ำซากไปหน่อย หลัวตอนที่ 1 ไปเริ่มเล่าเรื่องย้วยจนถึงขั้นน่าหงุดหงิด ได้ฉากบู๊มาช่วยไว้จริง ๆ
-
บท
6.0
-
โปรดักชัน
7.5
-
การแสดง
7.0
-
ความสนุกตามแนวหนัง
7.5
-
ความคุ้มค่าการรับชม
7.0
เรื่องย่อ: อุราเมชิ ยูสุเกะ ขาโจ๋จิตใจดีวัย 17 ปี เกิดประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แต่ยมโลกได้เสนอทางเลือกให้กลับไปมีชีวิตโดยแลกกับการเป็นนักสืบโลกวิญญาณคอยจัดการคดีที่มีปีศาจเป็นต้นเหตุ
เน็ตฟลิกซ์ยังคงได้ลิขสิทธิ์ดัดแปลงมังงะดังที่ได้รับความนิยมสูงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เอาผู้กำกับ อดัม วิงการ์ด (Adam Wingard) มาลองทำ ‘Death Note’ (2017) ฉบับฮอลลีวูดจนคนสาปส่ง จนปีล่าสุดมีซีรีส์อย่าง ‘One Piece’ (2023) ที่ได้รับคำชมมากมายจากทั้งแฟนมังงะและคอซีรีส์ทั่วไป ซึ่งการประสบความสำเร็จของแก๊งโจรสลัดก็ทำให้แฟนมังงะหลายคนจับตามองว่า ‘Yu Yu Hakusho’ หรือชื่อที่นักอ่านชาวไทยคุ้นเคย ‘คนเก่งฟ้าประทาน’ จะออกมาอย่างไร จะแป้กหรือจะปัง
ครั้งนี้เน็ตฟลิกซ์เลือกใช้บริการผู้สร้างจากญี่ปุ่นที่เข้าใจต้นฉบับอย่างดี คล้ายกับที่ให้ผู้กำกับที่เชี่ยวชาญการดัดแปลงมังงะโชเน็นอย่าง ซาโตะ ชินสุเกะ (Sato Shinsuke) ได้ทำ ‘Alice in Borderland’ (2020-2022) จนประสบความสำเร็จ
แต่น่าสนใจตรงผู้กำกับที่เน็ตฟลิกซ์มอบโจทย์ให้ทำมังงะเด็กผู้ชายระดับตำนานผลงานของอาจารย์โทงาชิ โยชิฮิโระ (Togashi Yoshihiro) ตั้งแต่ปี 1991 นั้น กลับเป็นผู้กำกับที่ชำนาญการดัดแปลงมังงะเด็กผู้หญิงแนวดราม่าพรากน้ำตาอย่าง ทซึกิคาวะ โช (Tsukikawa Shô) จากหนัง ‘Let Me Eat Your Pancreas ตับอ่อนเธอนั้น ขอฉันเถอะนะ’ (2017) มาแทน อาจเพราะแม้คนเก่งฟ้าประทานจะว่าด้วยเรื่องราวการต่อสู้กับปีศาจ แต่มันก็เต็มไปด้วยเงื่อนไขของตัวละครที่มากด้วยดราม่า
ตั้งแต่ตัวพระเอกอุราเมชิ ที่ภายนอกดูเป็นเด็กเกเรชอบต่อยตีแต่เนื้อแท้เป็นคนรักความถูกต้อง ขณะที่ตัวเขาเองรู้สึกว่าแม่ของเขาไม่สนใจไยดีแต่เมื่อเขาตายลงก็พบว่าแม่เขาแตกสลายอย่างสาหัส หรือแม้แต่ฝั่งตัวร้ายเอง เราก็จะได้เห็นว่าอะไรคือสาเหตุหรือแรงขับที่ทำให้พวกเขาเป็นทำสิ่งที่เรียกว่าเลวร้าย ซึ่งด้วยเวลาในการบิ้วและขยี้ดราม่าที่ขำกัดมาก ๆ การเลือกใช้งานทซึกิคาวะก็นับเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล และการเดินเรื่องปมดราม่าต่าง ๆ ในช่วงตอนที่ 1 ที่รายล้อมการตายของพระเอกจนเขาตัดสินใจกลับมามีชีวิต มันก็ทำได้น่าสนใจเอามาก ๆ
ซึ่งการเลือกนักแสดงมาขับเรื่องราวนี้ก็ถือว่าไม่ได้ขัดตาขัดใจมากนัก และยังเป็นการเลือกนักแสดงสายฝีมือมาผสมดาวรุ่งได้กำลังดีเลย ทั้ง คิตามูระ ทาคุมิ (Kitamura Takumi) จาก ‘Tokyo Revengers’ (2021) หรือ อายาโนะ โก (Ayano Go) จาก ‘Hard Days’ (2023) จนถึงรุ่นลายครามอย่าง คาจิ เมโกะ (Kaji Meiko) จาก ‘What Did You Eat Yesterday?’ (2021)
โดยภาระด้านการออกแบบการต่อสู้ที่เป็นอีกหัวใจของเรื่อง ก็เลือกใช้ผู้กำกับคิวบู๊มืออาชีพอย่าง โออุจิ ทาคาฮิโตะ (Ôuchi Takahito) ที่มีผลงานที่สร้างเอกลักษณ์ให้จดจำจากฉากดวลดาบในหนัง ‘Rurouni Kenshin’ หรือ ‘ซามูไรพเนจร’ มาทำงานร่วมกับจอมเทคนิคพิเศษ ซากางูจิ เรียว (Sakaguchi Ryo) ที่มีผลงานระดับโลกจากหนัง ‘The Day After Tomorrow’ (2004) จนถึง ‘Eternals’ (2021)
นำมาซึ่งเทคนิคด้านการเคลื่อนกล้องกับคิวบู๊และงานซีจีที่ใช้กล้อง 170 ตัวถ่ายแบบ 360 องศา ทำให้เราได้ชมฉากต่อสู้ที่แปลกตาและมีการเคลื่อนกล้องที่สนุกมากเพราะผู้กำกับเลือกภาพจากกล้องที่ต้องการได้เลย ตรงนี้คิดว่าเป็นจุดเด่นของซีรีส์เลย และฉากโชว์ครั้งแรกด้วยการให้พระเอกต่อกรกับเพื่อนร่วมห้องที่กลายร่าง มันก็สุดยอดจนขนลุกเลย เพราะมันเดือดมาก ๆ
ทว่าที่ชื่นชอบมาทั้งดีไซน์ที่รักษาภาพลักษณ์จากการเลือกนักแสดงมาค่อนข้างดี และนำเสนอผ่านคอสตูมได้ใกล้เคียงกับต้นฉบับ มีการเล่าเรื่องดราม่า และแอ็กชันที่สนุก ทั้งหมดมันก็พีกสุดเอาแค่ตอนแรก ๆ เท่านั้น เพราะยิ่งซีรีส์หน่วงไปถึงตอนที่ 3 ก็เห็นร่องรอยปัญหาที่ชัดมากจนน่าผิดหวัง นั่นคือการอัดเนื้อหาจากมังงะกว่า 12 เล่มครึ่ง ให้เหลือเป็นหนังยาว 5 ตอน
ซึ่งแม้ทีมสร้างจะเลือกเอา มิชิมะ ทัตซึโระ (Mishima Tatsuro) ที่เคยย่อยมังงะหลายเล่มมาเขียนบทหนัง ‘Zom 100: Bucket List of the Dead’ (2023) ออกมาได้ลงตัวพอประมาณ แต่กับคนเก่งฟ้าประทานนั้นต้องเรียกได้ว่า ถ้าไม่นับตอนที่ 1 แล้ว ที่เหลือนับว่าตัดจนเละเทะเลย หลายฉากยัดเยียดให้เดินต่อกันไปแบบไม่มีการเชื่อมทางตรรกะหรืออารมณ์เลย
ใครไม่เคยอ่านมังงะมาก่อนคงรู้สึกเรื่องเดินไวจนอาจเกือบดูไม่รู้เรื่องว่ามันไปรู้จักกันตอนไหน มันไปตัดสินใจแบบนั้นได้ไง รวมถึงรู้สึกว่าการคลี่คลายของเรื่องราวมันช่างเชยเหลือใจ ทั้งการเปิดปมปัญหา การต่อสู้แบบโดนอัด-อัดกลับด้วยพลังมิตรภาพ-ตัวร้าย/หรือพระเอกเพิ่มพลังเปลี่ยนร่าง-โดนยำ-ใช้ไม้ตาย-ชนะ ที่มันอาจเคยดูสนุกในยุค 1990 แต่มันช่างดูไร้รสนิยมเหลือเกินในยุคนี้ ยิ่งซีรีส์เอามุกนี้ใช้แบบติด ๆ กันในการต่อสู้ของเพื่อนพระเอกจนมาถึงพระเอก คือถ้าทั้งซีซันมันใช้มุกนี้แค่ครั้งเดียวก็อาจยังพอไม่รู้สึกว่าคนสร้างหมดมุกได้บ้าง
ในขณะที่คนอ่านมังงะมาก็คงรู้สึกเสียดายว่าสิ่งที่มันตัดไปล้วนจำเป็นต่อการบิ้วอารมณ์ในการต่อสู้ให้เข้มข้นขึ้น ปูมหลังหรือเรื่องราวของตัวละครแต่ละตัวโดยเฉพาะพวกตัวร้ายที่หายไปทำให้เสน่ห์ของเรื่องราวมันหายไปด้วย ที่น่าเสียดายมากคือเนื้อหาส่วนของการประลองแบบทัวร์นาเมนต์ในช่วงเนื้อเรื่องก่อนจะได้สู้กับโทงูโระ ที่น่าจะทำให้ซีรีส์ชุดนี้มีอะไรที่น่าจดจำต่างจากซีรีส์เรื่องอื่น ๆ ด้วย
ซึ่งก็เข้าใจโจทย์ของทีมสร้างที่กลัวไม่ได้สร้างซีซันต่อและอยากเอาให้ถึงฮุกสำคัญคือตัวร้ายที่ทรงเสน่ห์อย่างพี่น้องโทงูโระแทนที่จะเอาให้จบแค่ช่วงของการปะทะกับ 3 ปีศาจที่ขโมยอุปกรณ์แห่งความมืดที่น่าจะลงกับเวลา 5 ตอนได้สวย ๆ มากกว่า แต่ถ้าคิดถึงใจผู้ชมแล้วมันก็ใจร้ายพอควร ที่เขาคิดว่าจะเอาโปรดักชันที่ทำได้ค่อนข้างดีอย่างฉากแอ็กชันหรือซีจีมามัดมือชกว่ามันก็โอเคพอแล้วนะสำหรับแฟนมังงะที่เฝ้ารอชมฉบับคนแสดงแบบนี้
สนุกพอประมาณ แต่น่าเสียดายมากครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส