Release Date
08/03/2024
ความยาว
108 นาที
ผลงานก่อนหน้าของผู้กำกับ Juan Carlos Fresnadillo
28 Weeks Later (2007), Intruders (2011)
เรื่องย่อ
หญิงสาวผู้ซื่อสัตย์ตกลงแต่งงานกับเจ้าชายรูปหล่อ เพียงเพื่อจะพบว่าราชวงศ์เลือกเธอมาเป็นเครื่องสังเวยเพื่อชดใช้หนี้ที่มีมาแต่โบราณ หลังถูกโยนเข้าไปในถ้ำที่มีมังกรพ่นไฟ เธอต้องพึ่งพาไหวพริบและความมุ่งมั่นของตัวเองเพื่อเอาชีวิตรอด
Our score
7.0Damsel
เนิ่นนานจนฉันยังแปลกใจ เหตุใดเจ้าหญิงต้องรอเจ้าชาย
หนังพลังวันสตรีสากลที่คมคายไม่หนักข้อจนยัดเยียด เพราะยังดูสนุกด้วยความน่าสนใจและพลอตที่คล้ายเพลง "เจ้าหญิงคนต่อไป" ของวง Blissonic
จุดเด่น
- ผลงานแบบทุ่มสุดใจของมิลลี่ บ็อบบี บราวน์ ใครเชียร์น้องอยู่ต้องเอาใจช่วยเรื่องนี้เลย หนังค่อนข้างดูง่ายแต่ก็มีความซับซ้อนพอประมาณไม่รู้สึกเป็นหนังเด็กน้อย มีงานโปรดักชันที่ดีพอสมควรกับหนังระดับเน็ตฟลิกซ์
จุดสังเกต
- ดัดแปลงจากนิยายที่มีกลิ่นอายแบบนิทานก่อนนอนซึ่งจริงจังขึ้นอีกระดับ ทพให้มีหลายช่วงที่หนังไม่อาจถ่ายทอดความน่าตื่นเต้นของการแก้ปริศนาเขาวงกตในรังมังกรได้ดีนัก หนังมีความเอาง่ายหลายช่วง
-
บท
6.5
-
โปรดักชัน
7.5
-
การแสดง
7.5
-
ความสนุกตามแนวหนัง
7.0
-
ความคุ้มค่าการรับชม
7.0
เมื่อหลายปีก่อนมีเพลงหนึ่งที่เข้ามาสร้างกระแสความแตกต่างในวงการเพลงไทยนั่นคือ “เจ้าหญิงคนต่อไป” ของวง Blissonic ทั้งท่วงทำนองดนตรีที่มีกลิ่นสังเคราะห์ และสำคัญคือเนื้อหาที่ไม่ต่างจากนิทานและเล่าเรื่องได้แปลกใหม่ไม่น้อย ว่าด้วยเจ้าหญิงที่ถูกขังบนหอคอยรอเจ้าชายมาช่วย แต่สุดท้ายเจ้าชายก็ถูกปีศาจสังหาร เจ้าหญิงเลยหนีออกมาจากปราสาทแล้วไปท่องโลกเสียเอง นับว่าเป็นแนวคิดแบบสตรีนิยมที่ถือว่ามาได้แบบพอดีมาก ๆ ซึ่งหนัง ‘Damsel’ เองก็เป็นพลังงานในแบบเดียวกันที่ทำได้ลงตัว และเน็ตฟลิกซ์ก็เลือกจังหวะฉายให้ตรงกับวันสตรีสากลด้วย
นี่เป็นผลงานที่นักแสดงสาวลูกรักเน็ตฟลิกซ์อย่าง มิลลี่ บ็อบบี บราวน์ (Millie Bobby Brown) จากซีรีส์แฟรนไชส์ ‘Stranger Things’ (2016-2022) และหนังแฟรนไชส์ ‘Enola Holmes’ ได้เข้ามาดันโปรเจกต์ของมือเขียนบท แดน มาโซ (Dan Mazeau) จาก ‘Wrath of the Titans’ (2012) และ ‘Fast X’ (2023) ซึ่งถ่ายทอดงานนิทานแฟนตาซีที่มีกลิ่นเสียดสีเรื่องเล่าโบราณและสนับสนุนการต่อสู้ของผู้หญิงโชยมาตั้งแต่ชื่อเรื่องเลย เพราะ “Damsel in distress” เป็นกลวิธีการเล่าเรื่องสำคัญอันหนึ่งมาตั้งแต่สมัยกรีกว่าด้วยเรื่องราวของหญิงสาวผู้อยู่ในอุปสรรคอันทุกข์ยาก ถูกขังไว้ ถูกลักพาตัว หรือหมายปองโดยปีศาจร้าย เพื่อรอให้เจ้าชายหรือวีรบุรุษมาช่วยเหลือ ซึ่งในเรื่องราวของมาโซก็เริ่มต้นมาในแบบเดียวกันก่อนจะกลายเป็นอะไรที่แตกต่างจากขนบ
บราวน์ได้รับบท อีโลดี ลูกสาวเจ้าเมืองบ้านนอกที่ยากจน ซึ่งโชคชะตานำพาเธอให้ได้รับเชิญจากอาณาจักรใหญ่ไปแต่งงานกับเจ้าชายหนุ่มหล่อ ทว่าในค่ำคืนแรกที่เธอมาถึง อีโลดีก็มองเห็นหญิงสาวแปลกหน้าที่สวยราวกับท่านหญิงสูงศักดิ์ในห้องห่างไกล ทว่าวันถัดมาห้องนั้นก็ร้างราวกับไม่เคยมีผู้พำนักมาก่อน บางอย่างที่ดูผิดวิสัยเกิดขึ้นรอบตัว แต่มันก็ถูกนำเสนอว่าอาจเป็นเพียงความหวั่นใจของหญิงสาวที่ก้าวพ้นวัยและหวาดกลัวการแต่งงาน
ในวันอภิเษกสมรสเจ้าชายพาอีโลดีไปทำพิธีแต่งงานโบราณของตระกูลในหุบเขา พร้อมเรื่องเล่าปรำปราว่ากษัตริย์องค์แรกสร้างอาณาจักรขึ้นโดยทำสัญญากับมังกรตัวสุดท้ายที่โกรธเกรี้ยว ว่าจะยอมสังเวยลูกสาวของตน 3 คนในทุกชั่วอายุคนเพื่อแลกกับความสงบสุขของอาณาจักร …ฟังถึงตรงนี้ ผู้ชมก็พอเดาอะไรได้บ้างแล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องราวแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ถือว่าหนังมันมีการปูเรื่องที่แข็งแรงที่เราอยากเอาใจช่วยหญิงสาวอย่างอีโลดีให้รอดปลอดภัย และเฝ้ารอได้ดูฉากที่เธอกลับไปแก้แค้นพวกผู้คนที่ล่อลวงให้สำเร็จ เฉกเช่นเดียวกับหนังแนวล้างแค้นที่มีตัวละครหญิงรับบทเหยื่อ
เมื่อการปูเรื่องมันเข้าถึงง่ายและน่าสนใจพอ ที่เหลือจึงเป็นหน้าที่ของผู้กำกับ ฮวน คาร์ลอส เฟรสนาดิลโล (Juan Carlos Fresnadillo) ที่เคยฝากฝีมือแนวดราม่าธริลเลอร์ไว้ใน ’28 Weeks Later’ (2007) และ ‘Intruders’ (2011)’ ที่จะนำพาช่วงกลางเรื่องที่อีโลดีต้องเอาตัวรอดจากมังกรในวงกตปริศนาจนกลับออกมาให้สนุกขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งช่วงนี้เป้นช่วงที่มีอะไรให้เล่นเยอะมาก มีความแฟนตาซีเช่นโถงถ้ำที่มีหนอนเรืองแสง ปริศนาคำใบ้ที่ขีดเขียนตามผนังถ้ำชี้นำทางรอดให้อีโลดีอันมาจากหญิงสาวหลายสิบหลายร้อยคนตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาที่ตกเป็นเหยื่อและช่วยกันเขียนสิ่งที่ตนเองรุ้ทิ้งไว้ให้หญิงสาวในอนาคตเพิ่มโอกาสรอดมากขึ้น มันเป็นสตอรี่ที่น่าสนใจมาก ๆ แถมอิงร้อยกับประวัติศาสตร์การต่อสู้ของผู้หญิงในโลกที่ชายเป็นใหญ่ได้อย่างน่าสนใจมาก ๆ
แต่น่าเสียดายว่าผู้กำกับเฟรสนาดิลโลจับจุดพลาดไปหน่อย ที่พยายามไปเน้นตัวมังกรมากเกินไป จนทำให้ส่วนดีอื่น ๆ มันจางหายไป อย่างไรก็ดีต้องยอมรับว่าส่วนในการเผชิญหน้ากับมังกรนั้นก็น่าสนใจจริง ๆ ตั้งแต่การปรากฏตัวที่ราวหนังสยองขวัญ การค่อย ๆ เผยรูปลักษณ์อันแตกต่างน่าตรึงตาและหวาดกลัวของเจ้ามังกรเพศเมียที่ระอุแค้นจนไม่สนใจรับฟังใคร อันกลายเป็นพลอตหนึ่งของหนังที่เปรียบเปรยให้ตีความขับเคลื่อนเรื่องของการจัดการอารมณ์ของผู้หญิงได้อย่างน่าสนใจอย่างมาก ว่าถ้าผู้หญิงจัดการอารมณ์ได้และร่วมมือกันพวกเธอก็เอาชนะได้ทั้งอาณาจักร ซึ่งส่งพลังสำหรับวันสตรีสากลได้ดีแบบดูไม่รู้สึกยัดเยียดเกินไป
ส่วนที่น่าติงสักนิดก็คงมีงานซีจีที่ไม่นิ่ง ตัวมังกรได้รับการพิถีพิถันอย่างดี ทว่าเอฟเฟกต์ของไฟที่เป็นตัวแทนความแค้นนั้นกลับยังไม่ค่อยเนียนมากนักเมื่อเทียบกับงานใกล้เคียงกันอย่างซีรีส์ ‘Avatar: The Last Airbender’ (2024) ที่เพิ่งฉายไป รวมถึงในฝั่งของไทยนั้น งานพากย์เสียงยังเรียกอารมณ์ได้ห่างจากฉบับดั้งเดิมพอสมควรโดยเฉพาะความน่ากลัวของมังกร ถ้าแนะนำก็ให้ดูแบบเสียงเดิม ๆ ซับไทยจะดีกว่า