Release Date
22/03/2024
แนว
สยองขวัญ/ระทึกขวัญ
ความยาว
1.29 ช.ม. (89 นาที)
เรตผู้ชม
R
ผู้กำกับ
ไมเคิล โมฮาน (Michael Mohan)
Our score
6.4Immaculate | บริสุทธิ์ผุดปีศาจ
จุดเด่น
- ฉากแหวะโหดเลือดสาด 18+ สะใจคอแอ็กชันทริลเลอร์ในบรรยากาศสยองขวัญ
- ซิดนีย์ สวีนนีย์ แบกเล่นทุกฉากแบบทุ่มสุดตัวมาก เป็น Scream Queen คนต่อไปได้สบาย ๆ
จุดสังเกต
- บทยังขาดการท้าทายศาสนาที่ทรงพลัง และการเล่าเรื่องให้เข้าใจภาพรวมได้อย่างครบถ้วน
- การจัดแสง+เซ็ตติงมืดมาก มืดชนิดตอนกลางวันยังเหมือนเช้ามืด ตอนกลางคืนคือมืดไปเลย
- Jump Scare แรง ๆ ค่อนข้างเยอะ ใครอ่อนไหวตกใจง่ายต้องระวัง
-
คุณภาพด้านการแสดง
7.0
-
คุณภาพโปรดักชัน
7.5
-
คุณภาพของบทภาพยนตร์
4.5
-
ความบันเทิง
6.8
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
6.4
คำว่า ‘Immaculate’ นี้อาจจะไม่คุ้นชื่อสำหรับคนต่างศาสนิก แต่สำหรับชาวคริสต์ศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิก คำนี้เป็นคำที่มีความสำคัญครับ ซึ่งจริง ๆ แล้วคำนี้นั้นย่อมาจากคำว่า ‘Immaculate Conception of Mary’ หรือ ‘immaculata conceptio’ ในภาษาละติน ในไทยจะรู้จักกันในชื่อ ‘แม่พระปฏิสนธินิรมล’ สื่อถึงการที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานพระครรภ์บริสุทธิ์ให้แก่พระแม่มารีย์โดยปราศจากมลทินใด ๆ ซึ่งพระแม่มารีย์จะเป็นพระมารดาผู้ให้กำเนิดพระบุตร หรือพระเยซู มุมมองของชาวคาทอลิกจึงมองพระแม่มารีย์เป็นมารดาพระผู้ไถ่ ผู้ให้กำเนิดเส้นทางแห่งการไถ่บาปอันยิ่งใหญ่ของพระเยซู
และนี่ก็น่าจะเป็นแรงบันดาลใจต้นกำเนิดของหนังเรื่องนี้ครับ ซึ่งความน่าสนใจนอกจากจะเป็นหนังอีกเรื่องที่หยิบเอาศาสนาคริสต์มาเล่า ก็คงหนีไม่พ้น ซิดนีย์ สวีนนีย์ (Sydney Sweeney) นักแสดงสาวฮอตงานชุก ซึ่งเธอเองเคยมีโอกาสรู้จักโปรเจ็กต์นี้มานานนับ 10 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครเอาไปสร้างหนังเสียที เธอจึงตัดสินใจหยิบโปรเจ็กต์นี้มาทำต่อเอง ผ่านบริษัทโปรดักชัน Fifty-Fifty Films ของเธอเอง โดยสวีนนีย์เข้ามารับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ที่เข้ามาดูแลตั้งแต่การปรับปรุงบท และแสดงนำเอง โดยดึงเอา ไมเคิล โมฮาน (Michael Mohan) ผู้กำกับที่เคยร่วมงานกับสวีนนีย์มาแล้วในหนังทริลเลอร์ ‘The Voyeurs’ (2021) มารับหน้าที่กำกับ
‘Immaculate’ เริ่มเรื่องจาก ซิสเตอร์เซซิเลีย (ซิดนีย์ สวีนีย์ – Sydney Sweeney) แม่ชีสาวชาวอเมริกันผู้มีความศรัทธาในพระเจ้า เธอเดินทางมายังอิตาลีเพื่อไปอยู่ในคอนแวนต์ที่ตั้งอยู่ในเขตชนบทของอิตาลี ที่ถูกใช้เป็นแหล่งพักพิงสุดท้ายของแม่ชีชราตามคำเชิญของ คุณพ่อซัล เทเดสคี (อัลวาโร มอร์เต – Álvaro Morte) เธอได้ให้สัจจะกับ พระคาดินัล ฟรังโก เมโรลา (จอร์โจ โคแลนเกอลี – Giorgio Colangeli) ว่าเธอจะยึดมั่นในการรักษาพรหมจรรย์ แต่แล้ววันหนึ่งกลับเกิดปาฏิหาริย์ปริศนา เมื่อเธอเกิดตั้งครรภ์ขึ้นโดยที่ไม่ได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์เฉกเช่นมารดาพระผู้ไถ่ คำถามก็คือ เธอตั้งครรภ์ได้อย่างไร และสิ่งที่อยู่ในครรภ์คือพรที่พระเจ้ามอบให้จริง ๆ หรือ
แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะถูกโปรโมตว่าเป็นหนังสยองขวัญที่ก็แอบมีหน้าหนังคล้ายกับ ‘The Nun’ นิดหน่อย แต่สำหรับผู้เขียนแล้วกลับชวนให้นึกถึงหนัง Horror/Triller คลาสสิกอย่าง ‘Suspiria’ ครับ โดยเฉพาะพล็อตที่มีชาวต่างชาติเข้ามาอยู่ในพื้นที่ปิดที่มีความลึกลับซ่อนอยู่ แต่ถึงกระนั้นก็ต้องหมายเหตุไว้ว่า ผู้เขียนแอบนึกถึงเวอร์ชันต้นฉบับอิตาลีของปี 1977 ที่มีความเป็นหนังทริลเลอร์จ๋า ๆ มากกว่าฉบับรีเมกปี 2018 ครับ
ตัวพล็อตในครึ่งเรื่องแรกนั้นเริ่มต้นด้วยจังหวะ Suspend สร้างความสงสัยและปริศนาที่เกี่ยวกับคอนแวนต์นี้ ก่อนจะค่อย ๆ หยอดความสยองลงไปด้วยงานภาพที่แสนจะอึมครึม การเล่นจังหวะเสียงเงียบ ภาพมืด และจังหวะ Jump Scare ที่มีทั้งจำเป็นและพร่ำเพรื่อ เน้นตกใจมากกว่าจะออกแนวสยองผี ก่อนที่ครึ่งหลังจะค่อย ๆ เปลี่ยนโทนหนังให้มีความเป็นทริลเลอร์โหด ๆ จัดเต็มเรต R ทั้งเลือด ความรุนแรง อวัยวะ ศพ โหดน้อง ๆ ‘Midsommar’ (2019) เลยแหละ และตัวหนังก็ทำได้ดีในการค่อย ๆ ไต่ระดับความโหด ความระทึกบ้าคลั่งสั่นประสาทชนิดที่เล่นเอาเกร็งไปพักหนึ่งเหมือนกันนะครับ คือถ้าจะนับว่ามันเป็นหนังทริลเลอร์ที่เน้นดูเอามัน มีความเป็นหนังเกรดบีที่เล่นกับความสงสัยและระทึก ก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีอยู่นะ
แม้ว่าหนังจะมีความยาวเพียง 89 นาที หรือประมาณ 1 ชั่วโมงเกือบครึ่ง จริง ๆ จะบอกว่ามันมีความเป็นหนังเกรด B ก็คงจะไม่ใช่เสียทีเดียว สิ่งที่หนังชวนให้เราสังเกตเห็นได้ก็คงเป็นเรื่องของการชำแหละความบิดเบี้ยวของคอนแวนต์แห่งนี้ รวมทั้งการพยายามล้างคาวความฉาวโฉ่ที่เกิดขึ้น (ด้วยน้ำมือของเซซิเลีย) คราบคาวที่ว่าสามารถตีความได้ทั้งเรื่องการเมืองของศาสนจักรที่ผู้ชายเป็นใหญ่มากพอที่จะใช้อำนาจในการบงการสิทธิ์ในเนื้อตัวของผู้หญิง การชำแหละสันดานมนุษย์ด้วยการทำให้เห็นว่า ตั้งแต่ซิสเตอร์จนถึงพระคาดินัลก็ไม่ได้ต่างอะไรจากมนุษย์หัวเหม็นที่เต็มไปด้วยกิเลสโดยเอาไม้กางเขนมาบังหน้า
ในขณะที่ตัวหนังก็ใช้สัญญะของการกำเนิดครรภ์บริสุทธิ์เพื่อตั้งคำถามร่วมสมัย โดยเฉพาะการตั้งคำถามและท้าทายเกี่ยวกับมุมมองของความเชื่อ ในศาสนาอาจจะมองว่าเซซิเลียคือพระแม่มารีย์เวอร์ชัน 2.0 แต่อีกมุมก็มองได้ว่าเธอไม่ต่างอะไรกับภาชนะที่รองรับการเกิดของพระเยซู (?) ด้วย
ถ้าเอาคำถามแบบตื้นที่สุดก็คือ พระเยซูกลับมาเกิด (อีกครั้ง) ทำไม และทำไมต้องเป็นเซซิเลีย เธอมีความถึงพร้อมขนาดไหนที่ทำให้ต้องถูกทำให้ตั้งครรภ์ และการตั้งครรภ์ก็ยังเกี่ยวเนื่องกับเรื่องของศีลธรรมอันหมิ่นเหม่ ความทั้งลงรอย/ไม่ลงรอยของศาสนากับวิทยาศาสตร์ การล่าแม่มด รวมทั้งการใส่สัญญะของการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือและอาวุธในการควบคุมบงการคน ที่ตอนท้ายก็กลับพลิกผัน เมื่อเครื่องมือเหล่านั้นกลายมาเป็นเครื่องมือปลดแอก และทำลายผู้ที่ใช้และเชื่อในมันเสียเอง
แต่ก็เป็นอะไรที่น่าเสียดายอีกนั่นแหละ ที่ตัวหนังไม่สามารถหยิบจับประเด็นใดมาขยี้ต่อยอด หรือนำมาหลอมรวมเข้ากันเป็นปมเนื้อเรื่องแข็ง ๆ ได้เลยแม้แต่ประเด็นเดียว จะว่าตัวหนังไม่ขบเค้นกับอะไรเลยจนฉาบฉวยเละเทะก็ไม่ถึงขั้นนั้น แต่ตัวหนังเองก็ขาดความรัดกุมในการเล่าเรื่อง จนไม่สามารถพาคนดูไปได้สุดอย่างที่ควรจะเป็น ทั้งการทำความเข้าใจและการแยกแยะสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งองคาพยพในคอนแวนต์ และ Conflict ที่เกิดขึ้นกับตัวหนังว่า ตกลงแล้วคอนแวนต์นี้มันมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกันแน่ ? อะไรคือวิทยาศาสตร์ อะไรคือความเชื่อ ? ระหว่างคน การเมือง ศาสนา อะไรกันแน่ที่บิดเบี้ยวผิดเพี้ยน ? ซิสเตอร์เซซิเลียคิดและรู้สึกอะไรกับการตั้งครรภ์บริสุทธิ์ ? แม่ชีคลุมผ้าแดงมีบทบาทอะไรบ้างในคอนแวนต์ ?
การปลดแอกของเหล่าซิสเตอร์จากระบบและการเมืองอันวิปริตบิดเบี้ยวที่แอบอยู่หลังไม้กางเขน มันมีวิธีการแค่ที่เป็นอยู่ในหนังจริง ๆ หรือ ? หรือแม้แต่การอธิบายคำถามง่าย ๆ ว่า ตกลงแล้วครรภ์ที่เกิดขึ้นมาจากอะไร ? การขาดความรัดกุมของบทในจุดต่าง ๆ ทำให้ตัวหนังขาดความสงสัยใคร่รู้ ขาดอารมณ์ร่วม ขาดการสำรวจเบื้องลึกในจิตใจตัวละคร ขาดความเชื่อมโยงต่อเหตุการณ์ที่โยงใยถึงกัน ที่จะทำให้คนดูเข้าใจว่าตกลงแล้วอยากให้หนังเป็นแบบไหนกันแน่
ทั้งหมดเหลือแต่เพียงการเล่นสนุกกับวิชวลชวนอึดอัด การบิลต์ความน่ากลัวผ่านความลึกลับที่ยังขาดมูลเหตุ การหาจังหวะเหมาะ ๆ ในการอัด Jump Scare แรง ๆ ใส่คนดู เรื่อยจนไปถึงบรรดาฉากความรุนแรงโหดเหี้ยมเลือดสาดไปจนจบเรื่อง แม้การแสดงของสวีนนีย์ที่เป็นดาราแม่เหล็กคนเดียวของเรื่อง และเป็นตัวแบกของหนังจะเรียกได้ว่าค่อนข้างทำถึง จะว่าเป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งในการแสดงบทบาท Scream Queen ที่ทุ่มเทเล่นฉากทรมาน ทั้งฉากเซ็กซี่ (แบบพอทำเนา) รวมทั้งฉากล้มลุกคลุกคลาน ฉากเลือดสาด กรีดร้องทรมาน โดยเฉพาะฉาก Long Take สุดท้าย ที่การแสดงของเธอเล่นเอาซะหลอนแตกไปเลยก็ว่าได้ แต่สุดท้ายโดยรวม ๆ มันก็เหลือไว้แค่เพียงความสะใจ และปิดจบไปด้วยความรู้สึกทั้งไม่คลี่คลายและไปไม่สุดไปด้วยในเวลาเดียวกัน
แม้ว่าตัวหนังจะขาดความรัดกุมของบท ทั้งในแง่การเล่าภาพรวมของเรื่องให้ประกอบกันอย่างสมบูรณ์ และการสร้าง Conflict ตั้งคำถามกับศาสนาอย่างกล้าหาญที่ทำให้หนังขาดความลุ่มลึก และความสะใจที่ยังแตะลงไปได้ไม่ลึกมากพอ และยังมีข้อกังขาจนไม่สามารถเข็นความท้าทายอันทรงพลังไปได้อย่างสุดขอบและสะใจ (แบบที่ว่าสะใจจริง ๆ โว้ย)
แต่ถ้ามองมันในฐานะหนังทริลเลอร์สยองขวัญแหวะ ๆ รุนแรงเลือดสาด กับวิธีการเล่าเรื่องด้วยจริตหนังเกรด B ที่เน้นฉากเซ็กซี่ (นิดหน่อย) ฉากความรุนแรง บรรยากาศหม่นมัวไม่น่าไว้ใจ การแหกกรงขัง (ทั้งในเชิงตัวอาคารคอนแวนต์ การแหกกรอบขนบศาสนา และการเมืองชายเป็นใหญ่) ก็นับว่าเป็นความบันเทิงที่ชวนจกป๊อปคอร์นได้ดี เพียงแต่ว่ามันชวนให้ตะหงิด ๆ ตลอดทั้งเรื่องว่าหนังน่าจะทำได้ดีกว่านี้