[รีวิว] Rebel Moon ภาค 2 ‘The Scargiver’: นักรบ Slow Motion ไปเรื่อยไปเปื่อย (พี่จะมี 6 ภาคจริงดิ ? )
Our score
5.2

Release Date

19/04/2024

แนว

ไซไฟ/แอ็กชัน/ผจญภัย

ความยาว

2.03 ช.ม. (123 นาที)

เรตผู้ชม

13+

ผู้กำกับ

แซ็ก สไนเดอร์ (Zack Snyder)

[รีวิว] Rebel Moon ภาค 2 ‘The Scargiver’: นักรบ Slow Motion ไปเรื่อยไปเปื่อย (พี่จะมี 6 ภาคจริงดิ ? )
Our score
5.2

Rebel Moon Part Two: The Scargiver | Rebel Moon ภาค 2: นักรบผู้ตีตรา

จุดเด่น

  1. ฉากแอ็กชันช่วงไคลแม็กซ์องก์สุดท้ายที่มีปริมาณเยอะขึ้น ออกแบบพิถีพิถันขึ้น สนุกเร้าใจขึ้นกว่าภาคแรก
  2. งานสร้างและ CGI ที่ดีขึ้นกว่าเดิม เข้าใกล้มาครฐานหนังฉายโรงมากขึ้น

จุดสังเกต

  1. จังหวะสโลว์โมชันตามสไตล์สไนเดอร์ที่ยังคงทำร้ายหนังอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อใช้ในฉากที่ไม่จำเป็นขนาดนั้น
  2. การเล่าเรื่องครึ่งแรกยังน่าเบื่อ และบทก็ยังวางโครงเรื่องเพื่อสร้างจักรวาลได้ไม่ดีแบบเดียวกับภาคแรก
  3. ตรรกะบางอย่างของบางตัวละครไม่ชวนให้น่าเอาใจช่วยเลย
  • คุณภาพด้านการแสดง

    5.5

  • คุณภาพโปรดักชัน

    7.5

  • คุณภาพของบทภาพยนตร์

    4.2

  • ความบันเทิง

    4.5

  • ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม

    4.5


เมื่อปลายปีที่แล้ว แซ็ก สไนเดอร์ (Zack Snyder) เจ้าพ่อ Epic Dark Hell ได้ฤกษ์ปล่อยผลงานออริจินัลของตัวเองอีก 1 ผลงานกับทาง Netflix นั่นก็คือ ‘Rebel Moon’ ภาคที่ 1 ที่ใช้ชี่อว่า ‘A Child of Fire’ หรือ ‘บุตรแห่งเปลวไฟ’ ปฐมบทมหากาพย์ไซไฟอวกาศที่พี่เขาต้องการอยากจะปลุกปั้นให้กลายเป็นจักรวาลหนังไซไฟอวกาศภายใต้วิสัยทัศน์ Epic Dark Hell ที่พอออกฉายแล้วก็อย่างที่ทราบกันดีว่า ผลตอบรับที่ออกมาก็แป้กพอควร จนนึกไม่ออกเลยว่าอนาคตจักรวาลนี้มันจะไปไหวไหมเนี่ย

แต่เรื่องราวมันยังไม่จบ เลยต้องมาสานต่อเรื่องราวกันอีกครั้งใน ‘Rebel Moon’ ภาคที่ 2 ที่ใช้ชื่อตอนว่า ‘The Scargiver’ หรือ ‘นักรบผู้ตีตรา’ ที่สไนเดอร์ยังคงกำกับ เป็นโปรดิวเซอร์ ผู้กำกับภาพ และเขียนบทร่วมกับ เคิร์ต จอห์นสตาด (Kurt Johnstad) ผู้เขียนบท ‘300’ ทั้ง 2 ภาค และ เชย์ แฮตเทน (Shay Hatten) ผู้เขียนบท ‘Army of the Dead’ และ ‘Army of Thieves’ อีกเช่นเคย

Rebel Moon Part Two The Scargiver 2024 Courtesy of NETFLIX

เรื่องราวใน ‘Rebel Moon Part Two: The Scargiver’ เกิดขึ้นหลังจากภาคแรก หลังจากที่โครา (โซเฟีย บูเตลลา – Sofia Boutella) หญิงสาวผู้แปรพักตร์จากมาเธอร์เวิลด์ ได้รวบรวมนักรบฝีมือดี เพื่อโค่นล้มพลเรือเอก แอตติคัส โนเบิล (เอ็ด สไครน์ – Ed Skrein) ผู้บัญชาการกองทัพแห่ง มาเธอร์เวิลด์ (Motherworld) ที่เวลานี้ปกครองโดย บาลิซาเรียส (ฟรา ฟี – Fra Fee) จอมทรราชย์ผู้ก่อการปฏิวัติสังหารองค์กษัตริย์และราชินี โคราได้นำ กุนนาร์ (มิคิล เฮาส์แมน – Michiel Huisman) ชาวนาผู้เป็นคนรัก, นายพลไททัส (ไจมอน ฮอนซู – Djimon Hounsou) อดีตผู้บัญชาการสงคราม, เนเมซิส (แบดูนา – Bae Doo-na) ปรมาจารย์นักดาบหญิง, ทารัค (สตาซ แนร์ – Staz Nair) อดีตเชลยสงครามและ มิลิอัส (เอลิส ดัฟฟี – Elise Duffy) อดีตทหารหญิงของกลุ่มกบฏบลัดแอ็กซ์ เดินทางกลับมายังดวงจันทร์แห่งเวลท์ (Veldt)

แต่ข่าวร้ายบังเกิด เมื่อมีข่าวว่า พลเรือเอกโนเบิล ผู้บัญชาการจอมวิปริตกลับฟื้นจากความตาย และต้องการจะบุกไปยังเวลท์เพื่อแย่งชิงพืชผล โครา และเหล่านักรบ จึงระดมกำลังชาวบ้านในหมู่บ้านเกษตรกรแห่งเวลท์ที่มีอยู่เพียงหยิบมือ เพื่อต่อต้านกองกำลังของมาเธอร์เวิลด์ที่กำลังจะมาเยือนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ในขณะเดียวกันที่ จิมมี (พากย์เสียงโดย แอนโธนี ฮอปกินส์ – Anthony Hopkins) หุ่นยนต์อดีตทหารกองทัพมาเธอร์เวิลด์ก็กำลังเฝ้ามองสงครามที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ห่าง ๆ

Rebel Moon Part Two The Scargiver 2024 Courtesy of NETFLIX

หากภาคที่แล้วคือการหยิบยืมพล็อตการเมือง-แอ็กชัน-ผจญภัยแบบ ‘Star Wars’ บวกกับพล็อตล้างแค้น-สงคราม-แย่งชิงทรัพยากรแบบ ‘Dune’ บวกกับพล็อตรวมพลฮีโรแบบ ‘Seven Samurai’ (1954) บวกกับจังหวะความดาร์ก-ไซไฟ-แฟนตาซีหน่อย ๆ ในแบบที่เขาทำเอาไว้ใน ‘Zack Snyder’s Justice League’ (2021) ส่วนภาคนี้อาจเปรียบเทียบได้กับ ‘Star Wars: Episode V – The Empire Strikes Back’ (1980) ที่เป็นการรวมตัวกันต่อสู้ของชาวบ้านตาสีตาสาตัวเล็ก ๆ ที่ว่ากันตามตรงก็คือพล็อตถือว่าค่อนข้างเชยหนักกว่าภาคแรกซะอีก คือพล็อตเชยมันก็ไม่ผิดหรอก แต่พอบทมันไม่รัดกุม บทที่เชยยังไงก็ดูเชย

อีกสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็น 1 ในตัวบั่นทอนที่ทำให้ตัวหนังและจักรวาลด่างพร้อยมากพอสมควร ก็คงหนีไม่พ้นสไตล์แบบสไนเดอร์นั่นแหละ คือจริง ๆ สไตล์จัดจ้านเป็นเอกลักษณ์มันก็เป็นพรสวรรค์นะ แต่บางทีมันก็เป็น ‘กับดัก’ ทางความคิดสร้างสรรค์ได้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะสไนเดอร์ที่นับว่าเป็นผู้กำกับวิชวลจัดจ้านชัดเจนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าจะบรรดางานภาพชัดตื้น ที่ถึงขนาดลงทุนดัดแปลงเลนส์ขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะ รวมทั้งบรรดาฉาก Slow Motion ซึ่งจริง ๆ แล้วผู้เขียนเองก็ชอบนิด ๆ ด้วยซ้ำนะครับ

Rebel Moon Part Two The Scargiver 2024 Courtesy of NETFLIX

แต่พอมาภาคนี้ ชัดเจนเลยว่า สไตล์ภาพ Slow Motion ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขามันช่างฟุ่มเฟือยและทำร้ายหนังได้จริง ๆ แม้ภาคแรกจะสโลว์จนเรื่องเนือยอืด แต่กับภาคนี้มันกลายเป็นสโลว์โมชันที่ทั้งอืดและเต็มไปด้วยความฟุ่มเฟือย เพราะพี่สโลว์ไม่เว้นแม้แต่ฉากเกี่ยวข้าว! แถมซีนนี้ดันยาวมากด้วย ที่ยิ่งปวดร้าวก็คือ พอถึงจุดหนึ่ง ซีนเกษตรกรก็ดันไม่มีประโยชน์อะไรในเชิงกลยุทธ์ในสงครามอีกต่างหาก หนังเลยเต็มไปด้วยภาพของชาวนาเกี่ยวข้าวแบบ High Frame Rate ที่ไม่ได้มีประโยชน์อะไรนอกจากทำให้หนังดูเท่ กับทำให้หนังยืดเฉย ๆ เผลอ ๆ ฉากเกณฑ์ชาวบ้านซ้อมรบที่ดู Cliche จัด ๆ ยังมีประโยชน์กับสงครามมากกว่าอีกมั้ง

เพราะขนาด Star Wars ยังต้องให้เวลา 3 ภาคแรกในการปูเรื่องตัวละคร ความขัดแย้งทางการเมือง ก่อนจะลากไปสู่เส้นเรื่องผจญภัยและเข้าสู่สมรภูมิสงครามเลยนะ นับประสาอะไรกับการสร้างโลกด้วยเวลา 1 ชั่วโมงแรกของหนัง 2 ภาค หรือแม้แต่เส้นเรื่องที่โคราหนีออกมาจากมาเธอร์เวิลด์

Rebel Moon Part Two The Scargiver 2024 Courtesy of NETFLIX

ซึ่งเอาจริง ๆ เส้นเรื่องนี้แหละที่แข็งแรงสุดและน่าจะขยี้เพิ่มได้อีกเยอะมาก แต่พอมันเป็นแค่การเล่าจากปาก มันเลยเป็นเพียงการเฉลยปมที่ทิ้งค้างเอาไว้จากภาคแรก เติมให้ตัวละครมีมิติอะไรบางอย่างเท่านั้นเอง

อีกอย่างที่เสียดายคือ ตัวหนังแอบพยายามเล่นกับความหมายของคำว่า ‘The Scargiver’ หรือนักรบผู้ตีตรา ที่จะเชื่อมโยงกับเบื้องหลังของโคราอีกที แต่พอสุดท้ายหนังไม่ได้หยิบเอาเรื่องนี้มาเล่นอย่างจริงจัง Conflict ที่มีก็พลอยพาให้ตัวละครพยายามทำอะไรงี่เง่าและเสียของจนได้ อีกความเสียดายก็คือ ตัวละครบางตัวที่ดันเป็นแค่เพียงตัวแทงก์ที่โผล่มาถล่มเอาเท่เฉย ๆ โดยรวมหนังจึงแทบไม่มีช่องว่างให้ตัวละครใดได้มีพัฒนาการให้เห็น ผลก็คือ เราเลยได้เห็นตัวละครทำอะไรแบบทื่อ ๆ ไร้มูลเหตุจูงใจ ทำอะไรงี่เง่า ๆ เหมือนลืม Conflict ตัวเองจนไม่รู้จะมีอารมณ์ร่วมไปด้วยได้อย่างไร และนั่นก็ยิ่งพาให้จักรวาลยิ่งด่างพร้อยหนักไปอีก

Rebel Moon Part Two The Scargiver 2024 Courtesy of NETFLIX

ในขณะที่เนื้อเรื่องอีกเศษ 1 ส่วน 4 ตัวหนังก็ยังวนกลับไปใช้วิธีการแบบภาคแรก คือให้นักรบแต่ละคนมานั่งเล่าปูมหลังของตัวเอง รวมทั้งที่มาที่ทำให้พวกเขามาเข้าร่วมต่อสู้กับทรราชย์ (ที่มาขอแย่งข้าวกินฟรี) เป็นนัยว่าเพื่อเติมมิติให้กับตัวเองที่อยู่ดี ๆ ก็โผล่มา และไม่ได้เล่าไว้ในภาคแรกให้กลมขึ้นเฉย ๆ พร้อมกับการกระจายซีนให้เห็นมุม เห็นเสน่ห์ที่ต่างออกไปของบรรดาตัวละครแข็ง ๆ อีกคนละนิดหน่อย

ยังดีที่ภาคนี้พยายามลดเส้นเรื่องผจญภัยลง ไม่ต้องไปเจอตัวละครงง ๆ (ที่ไม่รู้มาทำไมและทำอะไรก็ไม่รู้) เหมือนกับภาคแรก แต่สุดท้ายมันก็ลงเอยแบบเดียวกับภาคที่แล้วเลยครับ คือมันไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงการสร้างเรื่องราว สร้างจักรวาล และสร้างให้คนดูรู้สึกถึง Conflict ที่พวกเขาต้องการต่อสู้กับทรราชย์จนอยากเอาใจช่วยได้เลยแม้แต่น้อย

Rebel Moon Part Two The Scargiver 2024 Courtesy of NETFLIX

ส่วนในแง่ของโปรดักชัน อันนี้ก็ต้องยอมรับว่า พี่แซ็กแกก็ยังคงไม่สุกเอาเผากิน (อย่างน้อยน่ะนะ) ในแง่ของโปรดักชัน งานสร้าง เพราะว่าในยุคที่ CGI ทำได้สารพัดอย่าง หนังเรื่องนี้ก็ยังคงพึ่งพา Practical Effect ค่อนข้างเยอะ (ใน Netflix มีเบื้องหลังให้ดูด้วยนะครับ) ทั้งการถ่ายในสถานที่จริง ใช้บ้านจริง ระเบิดบ้านจริง ยานอวกาศจริง ฯลฯ ทำให้โปรดักชันงานสร้างดูอลังการและสมจริงกว่าภาคแรกมากขึ้นในอีกระดับหนึ่งเลย

อีกจุดที่ยังถือว่ามีอะไรให้ชมได้สนิทใจก็คือบรรดาฉากแอ็กชัน คือยอมรับเลยว่าเป็นฉากแอ็กชันที่ทำดีกว่าภาคแรกขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และเรียกได้ว่าเป็นการออกแบบ Sequence ได้น่าตื่นเต้นด้วย แม้แรก ๆ จะยังมีจังหวะย้วยยืด สโลว์โมชัน รวมทั้งซีนการต่อสู้แบบแยกเดี่ยวยังแอบย้วย (ยิ่งฉากฟันดาบของเนเมซิสนี่ยิ่งแอบน่าเสียดาย) แต่พอเข้าช่วงไคลแม็กซ์ แม้จะพอเดาได้ แต่ฉากแอ็กชันใหญ่สุดในท้ายเรื่องก็เรียกว่ากระตุกกราฟให้ลุ้นสนุกได้มากขึ้นพอสมควร (และพอมีสโลว์โมชันในฉากแอ็กชันเท่ ๆ ก็ยิ่งเห็นชัดเลยว่า ฉากเกี่ยวข้าวสโลว์โมชันไม่จำเป็นต้องยาวขนาดนั้นก็ได้)

Rebel Moon Part Two The Scargiver 2024 Courtesy of NETFLIX

ไม่อยากสรุปแต่ก็ต้องสรุปนั่นแหละครับว่า ‘Rebel Moon’ ทั้ง 2 ภาคคือภาพยนตร์ความยาว 4 ชั่วโมงเศษ ๆ ที่ยังพอมีฉากแอ็กชันสงครามเจ๋ง ๆ ให้ดู แต่มันก็แค่นั้นเลยจริง ๆ เพราะมันเป็นหนัง 4 ชั่วโมงที่เต็มไปด้วยสโลว์โมชันจนหนังยืดย้วย การปูเรื่องราวความขัดแย้งในจักรวาล (ระหว่างโครากับมาเธอร์เวิลด์) ที่รวบรัดตัดความเกินไป รวมทั้งการปูตัวละครที่ขาดมิติและความเชื่อมโยง จนกลายเป็นจักรวาลหนังสงครามอวกาศที่มีฉากแอ็กชันค่อนข้างดี มีตัวละครเอกดี แต่กลับไม่สามารถเล่าเรื่องราวของผู้คน และเรื่องราวที่เกิดขึ้นในจักรวาลได้อย่างเฉียบคม

ส่วนตัวผู้เขียนยอมรับว่า แอบหมดความหวังนิด ๆ กับบรรดาฉบับ Director’s Cut เรต R ความยาว 6 ชั่วโมง ที่พี่สไนเดอร์แกจะปล่อยออกมาในอนาคตไปแล้วล่ะครับ ผู้เขียนก็ได้แต่ภาวนาว่า แทนที่จะปล่อย Director’s Cut ที่มีฉากรุนแรงกับภาพโป๊เปลือยแบบที่พี่เขากำลังจะทำ สู้เอาทั้ง 2 ภาคไปตัดเล็ม จัดเรียงหมวดหมู่ เรียง Sequence ลำดับ Conflict ใหม่ ตัดตัวละครที่เกินมา ตัดสโลว์โมชันถ่วงเวลาที่ไม่จำเป็นออกไปบ้าง ถึงตอนนั้น Netflix จะให้พี่ทำอีก 6 ภาค หรืออีกสักกี่ 10 ภาคอันนี้ก็แล้วแต่พี่เลยครับ


Rebel Moon Part Two The Scargiver 2024 Courtesy of NETFLIX