![[รีวิว] Bad Boys: Ride or Die: เหล้าเก่าขวด (เกือบ) ใหม่ที่ยังไว้ลายแบดไม่ลดดีกรี](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2024/06/Bad-Boys-Ride-or-Die-2024-SONY-PICTURES-ENTERTAINMENT-INC-1-374x554.jpg)
Our score
7.1Release Date
05/06/2024
แนว
แอ็กชัน/ผจญภัย/ตลก
ความยาว
1.55 ช.ม. (115 นาที)
เรตผู้ชม
R
ผู้กำกับ
อาดิล เอล อาร์บี (Adil El Arbi) / บิลาล ฟาลลาห์ (Bilall Fallah)
![[รีวิว] Bad Boys: Ride or Die: เหล้าเก่าขวด (เกือบ) ใหม่ที่ยังไว้ลายแบดไม่ลดดีกรี](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2024/06/COVER-Bad-Boys-Ride-or-Die-2024-SONY-PICTURES-ENTERTAINMENT-INC-780x410.jpg)
Our score
7.1Bad Boys: Ride or Die | คู่หูขวางนรก ลุยต่อให้โลกจำ
จุดเด่น
- ฉากแอ็กชันวินาศสันตะโรทำถึง ผสมมุมกล้องแบบใหม่ ๆ เร้าใจ มุกฮาจังหวะนรก
- คู่หู วิล สมิธ-มาร์ติน ลอว์เรนซ์ ยังคงเข้าขา ยังห่ามและกวงติงสุด ๆ
- เล่นปมเรื่องครอบครัวและความเจ็บปวดส่วนตัวได้พอดีกว่าภาคที่แล้ว
จุดสังเกต
- บทเป็นสูตรสำเร็จเดาทางง่ายแบบเดียวกับทุกภาค
- ยังต้องอาศัยการดู 'Bad Boys for Life' มาก่อนถึงจะเข้าใจเนื้อเรื่องบางจุดและบางตัวละคร
-
คุณภาพด้านการแสดง
7.8
-
คุณภาพโปรดักชัน
6.0
-
คุณภาพของบทภาพยนตร์
6.5
-
ความบันเทิง
8.1
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
7.2

‘Bad Boys’ ตำนานหนัง Buddy Cop สายตึงแห่งยุค 90s งานเปิดประเดิมงานระเบิดเขาเผากระท่อมของป๋า ไมเคิล เบย์ (Michael Bay) และ 1 ในสุดยอดแฟรนไชส์ของโปรดิวเซอร์มือฉมัง เจอรี บรักไฮเมอร์ (Jerry Bruckheimer) กลับมาอีกครั้งกับภาคที่ 4 ‘Bad Boys: Ride or Die’ ครับ แม้ภาคนี้จะห่างจากภาคที่แล้ว ‘Bad Boys for Life’ (2020) ที่ทำรายได้อย่างงามตอนช่วงโรคระบาดไป 426 ล้านเหรียญไม่นาน แต่กว่าที่คู่หูจะได้ออกโรงกันอีกครั้ง ก็เรียกได้ว่าหืดจับพอควร
ตั้งแต่เหตุการณ์ดราม่าตบสนั่นโลกของวิล สมิธ (Will Smith) ในงานออสการ์ ปี 2022 ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของเจ้าตัวระดับหนึ่ง รวมทั้งเหตุการนัดประท้วงหยุดงานในปี 2023 ที่ทำให้หนังต้องเลื่อนมาฉายตอนนี้แทน ตัวหนังยังคงได้คู่หูผู้กำกับ อาดิลแอนด์บิลาล (Adil & Bilall) ที่ประกอบไปด้วย อาดิล เอล อาร์บี (Adil El Arbi) และบิลาล ฟาลลาห์ (Bilall Fallah) ผู้กำกับ ‘Bad Boys for Life’ มาสานต่อความมันเช่นเคย ส่วนทีมเขียนบทได้คริส เบรมเนอร์ (Chris Bremner) ผู้เขียนบทจากภาคที่แล้ว และวิล บีลล์ (Will Beall) ผู้เขียนบทจาก ‘Aquaman’ (2018) มาสมทบ

‘Bad Boys: Ride or Die’ เล่าเรื่องของ 2 ตำรวจสืบสวนสอบสวนของไมอามี ไมค์ โลว์รีย์ (วิล สมิธ – Will Smith) และมาร์คัส เบอร์เน็ต (มาร์ติน ลอว์เรนซ์ – Martin Lawrence) ที่ต้องกลับมาแท็กทีมอีกครั้ง หลังพบว่า ผู้กองคอนราด ฮาวเวิร์ด (โจ แพนโทเลียโน – Joe Pantoliano) มีความเกี่ยวข้องกับแก๊งอาชญากรค้ายาเสพติด ไมค์และมาร์คัสจึงต้องออกลุยสืบต้นตอเจ้าพ่อค้ายา เจมส์ แม็กกราธ (อีริก เดน – Eric Dane) จนทั้งคู่ต้องกลายมาเป็นผู้ร้ายที่ทางการต้องการตัวด้วยเช่นกัน งานนี้แบดบอยส์วัยเก๋า รวมทั้งอาร์มันโด อเรตัส (เจคอป สชิปิโอ – Jacob Scipio) และผู้กองริตา เซคาดา (เปาโล นูเนซ – Paola Núñez) หัวหน้าทีม AMMO (Advanced Miami Metro Operations) คนใหม่ จึงต้องร่วมกันลุยเพื่อล้างมลทินของอดีตหัวหน้าผู้ล่วงลับและของตัวเองให้ได้
ในแง่ของแฟรนไชส์ แน่นอนว่าเรื่องราวใน ‘Bad Boys’ แต่ละภาคมักจะมีความเป็นเอกเทศ แต่พอมาถึงภาคนี้ แม้เหตุการณ์และเนื้อเรื่องของภาคนี้จะไม่ได้เชื่อมต่อกันกับ ‘Bad Boys for Life’ แต่ด้วยความที่มีตัวละครและเหตุการณ์สืบเนื่องจากภาคที่แล้วอยู่หน่อย ๆ ทั้งอาร์มันโดที่จะได้ออกมาช่วยพ่อไมค์ และลุงมาร์คัสไขคดี หรือริตาที่หลังจากเลื่อนยศเป็นผู้กองก็ได้กลายมาเป็นหัวหน้าของคู่หูแบดบอยส์ไปแล้ว คือถ้าไม่เคยดูสักภาคจริง ๆ ผู้เขียนแนะนำว่า ให้กลับไปดู ‘Bad Boys for Life’ แค่ภาคเดียวแล้วมาต่อภาคนี้เลยก็ได้ครับ จะเข้าใจเรื่องราวบางอย่างที่ภาคนี้กล่าวถึงไว้ได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าจะดูภาคนี้เลยก็ไม่ผิดเช่นกัน (แต่อาจจะโดนสปอยล์เนื้อหาบางจุดแค่นั้นเอง)

คือถ้าภาคที่แล้ว Adil & Bilall ได้เอาแฟรนไชส์ ‘Bad Boys’ กลับมาปัดฝุ่นใหม่อย่างสมศักดิ์ศรี ภาคนี้ก็น่าจะเป็นการต่อยอด Template ที่ป๋าเบย์และพวกเขาสร้างเอาไว้ได้อย่างลงตัว เข้าที่เข้าทางมากขึ้นในหลาย ๆ ด้าน แน่นอนว่ามันยังคงมีรูปแบบทุกอย่างที่ไม่ได้ผิดแผกไปจากภาคอื่น ๆ มันยังคงมีทุกอย่างอย่างที่แฟรนไชส์นี้ควรจะมี เป็นหนัง Bad Boys ที่ยังคงรักษามาตรฐานเบย์เฮม (Bayhem) ตามสไตล์ของป๋าเบย์ไว้อย่างครบถ้วนไม่มีตกหล่น ทั้งลูกเล่นมุมกล้อง สูตรเรื่องราวโหดห่ามแบบทีเล่นทีจริง มุมกล้องสโลว์โมชัน 360 องศาที่ก็ยังมีอยู่ มุกและบรรดา Easter Egg ของแฟรนไชส์นี้ก็ยังมีมาด้วย
แต่ถึงกระนั้น ตัวหนังก็ยังมีการผสานองค์ประกอบแบบสมัยใหม่ ทั้งมุมกล้องลีลาหวือหวา ที่บางช่วงแทบจะเป็นเกม FPS ไปแล้ว ฉากแอ็กชันที่โหดจริงจังแต่ก็มีความตลกเจือปนมากขึ้น มุกจังหวะนรกในยามคับขัน มุกกวนเบื้องล่างที่ใส่มาแบบไม่ยั้งมือ หรือที่คาดไม่ถึงก็คือบรรดามุกบางอันที่ดูแบบการ์ตูนจัด ๆ ติงต๊องมาก ๆ จนดูแล้วก็แอบรู้สึกว่าเลยเถิดไปหน่อยไหม (วะ) แต่พอมันอยู่ถูกจังหวะ ถูกตัวละคร นำเสนอแบบถูกต้อง และเล่นอย่างพอดีพอควร มันก็กลายเป็นความฮารสชาติแปลก ๆ ของภาคนี้ แบบที่ไม่เคยมีในภาคอื่นเหมือนกัน

ในแง่ของบท ก็นับว่าเป็นอีกจุดที่หยิบเอา Template แบบที่ ‘Bad Boys’ ใช้มาตลอดมานำเสนอ คือในแง่หนึ่งจะใช้คำว่า Cliche ก็ได้แหละ แถมเรื่องราวในภาคนี้ก็เรียกได้ว่าวุ่นวายมีหลายเส้นเรื่อง ทั้งการตามสืบล่าหาตัวคนร้ายที่ไม่ได้แค่หาตัวบงการ แต่ต้องตามหาว่าใครกันแน่ที่เป็นหนอนบ่อนไส้ ปมการแก้แค้นจากการกระทำของอาร์มันโด รวมทั้งปมดราม่าครอบครัวที่ขยับขยายกลายเป็นโทนหลัก ๆ ของหนังเรื่องนี้ อาจจะด้วยเพราะอานิสงส์จากภาคโน้นที่ปมครอบครัวแอบติดน้ำเน่าไปแล้ว พอมาภาคนี้ก็เลยออกมาพอดีกว่าเดิม ทั้งมุมมองครอบครัวใหญ่ของมาร์คัส และครอบครัวของไมค์ที่ต้องมานั่งปรับความเข้าใจกับลูกชายที่ห่างเหิน
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่เรื่องโดยรวมไม่ได้ซับซ้อนนะครับ หลายจุดคนดูสามารถเดาสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้เลย แต่ก็ต้องยอมรับว่า ตัวหนังก็ยังอัดความบันเทิงมาให้แบบพูน ๆ โดยเฉพาะฉากแอ็กชันยาว ๆ ทั้งฉากแอ็กชันบนถนนในองก์ 2 และฉากแอ็กชันโจมตีแบบองก์สุดท้าย ที่เรียกว่ายังคงใส่กันไม่ยั้ง ยังคงมีมุกจังหวะนรกที่ฮาเป็นส่วนใหญ่ มีแป้กบ้างแต่น้อย งานระเบิดเขาเผากระท่อมวินาศสันตะโร มุมกล้องและเทคนิคสุดหวือหวา และที่เรียกว่ายังคงสนุกมาตั้งแต่ไหนแต่ไรก็คือ เคมีความเข้ากันของ 2 คู่หูที่ยังคงรับส่งมุกห่าม ๆ กันได้อย่างสนุกสนานและกวงติงชิกหัย

สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของแฟรนไชส์อายุหลัก 3 ก็คงเป็นเรื่องของสังขารนี่แหละ ที่จริง ๆ ภาคที่แล้วก็มี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตและอดีต รวมทั้งลูกชายของไมค์ในวัยหนุ่มแน่น รวมทั้งการพยายามเกษียณงานของมาร์คัส พอมาภาคนี้ ทั้งคู่ต่างก็มีปมปัญหาและความเปราะบางของตัวเอง ทั้งไมค์ที่ยังไม่ให้อภัยตัวเองจากปมในอดีต จนเริ่มมีปัญหาภายในจิตใจ ในขณะที่มาร์คัสก็ต้องเผชิญกับการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณและการกลับชาติมาเกิด (ฮะ !?) ซึ่งก็เห็นความพยายามจะแหวกขนบหนังแนวคนแก่สายลุยที่มีความเจ็บปวดบางอย่างภายในใจ แทนที่จะเล่นเรื่องสังขารเหมือนเรื่องอื่น ๆ แล้วก็นำไปสู่สถานการณ์ฮา ๆ ที่รั่วใช้ได้เลย
คือถ้าใครคาดหวังว่าจะได้เห็นฉาก Beyhem ประเภทฉากโดรนเยอะ ๆ ระเบิดถังสารเคมี หรือฉากดอลลี 360 องศา หรือหวังอยากเห็นไมค์และมาร์คัสร้องเพลง “Bad Boys (Theme From COPS)” ของวง ‘Inner Circle’ ก็เรียกว่าไม่พลาดล่ะครับ แต่ก็เห็นความพยายามของทีมงานที่ยังคงหาทางมุกแปลก ๆ มุมกล้องแบบใหม่ ๆ การเล่าเรื่องผ่านความแก่ของตัวละคร (และนักแสดง) รวมทั้ง Cameo และเซอร์ไพรส์ 5 บาท 10 บาท มันเลยออกมาเป็นเหล้าเก่าที่กรอกลงในขวดที่ (เกือบ) ใหม่ ที่ยังคงน่าดูและน่าสนใจ จะดู IMAX ก็ได้ยินเสียงปืนหนึบ ๆ ชัดเป็นลูก ๆ ดี จะดูระบบปกติก็ไม่เสียหลาย และอีกอย่างคือ จับตาไอ้หนุ่มเรจจี้ไว้ให้ดี ๆ เชียวนะครับ