Release Date
06/06/2024
ความยาว
ซีซันไฟนอล จำนวน 8 ตอน ตอนละประมาณ 40 นาที
ผลงานอำนวยการผลิตของผู้สร้าง Jim Mickle และ Beth Schwartz
In the Shadow of the Moon (2019) ซีรีส์ Arrow (2015-2020) ซีรีส์ Dead Boy Detectives (2024)
Our score
7.5Sweet Tooth
จบเรื่องราวการเดินทางของ กัส เด็กไฮบริดครึ่งคนครึ่งกวางเพราะผลจากไวรัสที่คร่าชีวิตมนุษย์ทั่วโลกได้อย่างสวยงาม
จุดเด่น
- การวางเรื่องราวเพื่อจบการเดินทางอันยาวนานได้อย่างลงตัว เป็นไฟนอลซีซันที่ไม่มีอะไรต้องติดค้างเสียดาย
- การแสดงและสร้างตัวละครที่ดีอย่างต่อเนื่อง ยังหามิติและพัฒนาการผ่านความขัดแย้งของจิตใจได้น่าสนใจ
- สร้างสรรค์การเล่าเรื่องทั้งเส้นเรื่องหลัก และเส้นเรื่องในตอนย่อย ได้หลากหลายไม่เลี่ยน มีรสชาติของหนังหลายแบบไม่เบื่อ
- มีคติข้อคิดที่น่าสนใจ ทั้งข้อถกเถียงในครอบครัวแบบเอเชีย ทั้งมุมมองมนุษย์คือภัยของธรรมชาติ และการมองค้นหาคุณค่าความดีงามในใจของเรา เป็นซีรีส์ที่ชวนคิดและถกเถียงได้มาก
จุดสังเกต
- ยังมีช่องโหว่ของบทอยู่บ้างตามแนวหนังที่ใช้แรงบันดาลใจมาทำ ที่มันเชยแล้วตามยุคสมัยอย่างช่วงท้ายที่เป็นอินเดียน่า โจนส์ แล้วก็ชวนสงสัยว่าทำไมพระเอกฝ่าทางลับมายากเย็นแต่ตัวร้ายเข้ามาง่ายจัง เป็นต้น แต่ก็ไม่ได้กระทบในแง่เรื่องราว
- การจบแบบปลายเปิด ที่ให้ตีความชะตากรรมของตัวละครสำคัญเอง มันอาจทรงพลังแต่ก็อาจมีบางคนที่ไม่ชอบเหมือนกัน
-
บท
7.5
-
โปรดักชัน
7.5
-
การแสดง
8.0
-
ความสนุกตามแนวหนัง
7.5
-
ความคุ้มค่าการรับชม
8.0
เรื่องย่อ: กัส เด็กครึ่งกวางหลังจากเอาชนะพวกลาสต์เมนได้แล้ว จึงถึงเวลาได้ออกตามหาแม่ต่อไป ครั้งนี้ปลายทางคืออะแลสกาดินแดนที่เป็นจุดเริ่มต้นของไวรัสที่ทำให้โลกล่มสลายและก่อกำเนิดเด็กเกิดใหม่กลายเป็นลูกครึ่งสัตว์ ทว่าตระกูลจางผู้ครองอำนาจใหม่แทนลาสต์เมนก็มีเหตุผลมากพอให้ออกล่ากัสกับเพื่อนไปสุดขอบโลกเช่นกัน
- รีวิวซีซัน 1 Sweet Tooth: ฟีลกู้ดในโลกมรณะ เตรียมโดนน้อนกวางขโมยหัวใจ
- รีวิวซีซัน 2 Sweet Tooth ซีซัน 2: ราคาที่ต้องแลกของความหวังดี งานดีต่อเนื่องไร้รอยต่อแม้ผ่านซีซันแรกนานจนเกือบลืม
‘Sweet Tooth’ เป็นซีรีส์ที่แปลกพอสมควร หน้าหนังมันดูแฟนตาซีเด็กน้อยมาก ไม่ได้เชื้อเชิญคนที่อยากดูอะไรที่โตกว่านั้นเท่าไรนัก ทว่าเนื้อแท้ในผลงานดัดแปลงจากกราฟิกโนเวลของ เจฟ เลอไมร์ (Jeff Lemire) เรื่องนี้มันไม่ได้สวยใสไร้เดียงสาเลย ยิ่งเมื่อคำนึงด้วยว่ามันคืองานของค่ายดีซีที่ขึ้นชื่อลือชาด้านคอนเทนต์จริงจังสำหรับผู้ใหญ่หรือเด็กโต แถมเรื่องนี้ยังออกขั้นดาร์กสูงขัดกับหน้าตาเสียด้วย ไม่ว่าจะประเด็นความน่ารังเกียจของมนุษย์เมื่อเผชิญกับภัยพิบัติที่ไม่อาจเลี่ยง การทดลองที่ละเมิดจริยธรรมทางวิทยาศาสตร์ ข้อถกเถียงทางศีลธรรมว่าจะช่วยคนจำนวนมากด้วยการฆ่าผู้บริสุทธิ์จำนวนหนึ่งได้หรือไม่ และการเปรียบเปรยการทำลายล้างธรรมชาติของมนุษย์จนถูกโลกเอาคืน
ทั้งหมดล้วนผ่านเรื่องราวของตัวละครหลากหลายซึ่งซีรีส์ก็ทำได้ดีเสมอมาในซีซันก่อน ๆ ซึ่งอาจมองเป็นจุดเด่นในการเขียนบทและเล่าเรื่องได้อย่างดี ผ่านฝีมือผู้สรรค์สร้างซีรีส์อย่าง จิม มิกเคิล (Jim Mickle) ที่เป็นหัวเรือหลัก อาจเป็นจุดสังเกตได้ว่าซีซันก่อน ๆ จะเล่าผ่านสายตาของหลายตัวละครในเส้นเรื่องและช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ก่อนจะมาบรรจบเข้าด้วยกันในช่วงท้าย ซึ่งแต่ละตัวละครก็มีพื้นที่ให้คนเขียนบทได้ลองใช้ธีมการเล่าหรือวิธีการนำเสนอที่ต่างกัน อย่างช่วงเปิดตัว ดร.สิงห์ ที่ชวนนึกถึงงานสยองขวัญสไตล์ จอร์แดน พีล (Jordan Peel) ในขณะที่ช่วงการเดินทางผ่านโลกหลังหายนะของ พี่เบิ้ม ก็ชวนให้นึกถึงเกมอย่าง ‘The Last of Us’ เป็นต้น
ทว่าในซีซันนี้เรื่องราวจะไม่แบ่งเส้นเรื่องขาดกันขนาดนั้น เพราะทุกตัวละครหลัก ๆ ต่างมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมายเดียวกันแล้ว คือการไปอะแลสกา โดย กัส เจ้าน้อนกวางของเราที่รับบทโดย คริสเตียน คอนเวรี (Christian Convery) ก็ยังหน้าตาออดอ้อนให้ชวนติดตามเขาไปหาแม่พร้อมผองเพื่อน แต่มันก็ไม่ใช่การเดินทางแบบผองมิตรที่จืดชืดเลย เพราะตัวละครแต่ละตัวก็มีความคิดและความขัดแย้งกัน เช่น กัส นอกจากอยากหาแม่แล้วเขายังแบกความรู้สึกที่ว่าเขาคือกุญแจในการช่วยมนุษย์บนโลกนี้ไม่ให้ตายไป ซึ่งลึก ๆ เขาก็เริ่มเห็นด้านไม่งดงามของมนุษย์จนเกิดความลังเลว่ามนุษย์ควรได้รับการช่วยเหลือจริงหรือไม่
พี่เบิ้มเจปป์ ก็เริ่มหวาดกลัวว่าอันตรายในการข้ามภูเขาหิมะครั้งนี้จะทำให้เขาดูแลเด็ก ๆ ไม่ได้ อีกทาง แบร์ ที่ปกติเป็นจอมลุยแต่เมื่อเจอน้องสาวอย่าง เด็บบี้ ติดสอยห้อยตามเธอก็มีข้อพะวงมากขึ้น และสุดท้ายเพื่อนร่วมทางใหม่ที่คาดไม่ถึงอย่าง ดร.สิงห์ ที่เปรียบไปก็เหมือนตัวละคร กอลลัม ในแฟรนไชส์ ‘The Lord of the Rings’ ซึ่งเจตนาของเขานั้นยากจะมองออกว่าต้องการหาทางช่วยทุกคนหรือต้องการทำลายกัสเพราะเชื่อในนิมิตกันแน่ แต่กลายเป็นว่าตัวเอกก็ขาดสิงห์ที่เห็นนิมิตแห่งโชคชะตาเหมือนกันกับกัสไม่ได้อีก
ดังนั้นเส้นเรื่องหลักมันจึงหนักแน่นด้วยเคมีที่ทั้งลงตัวและขัดแย้งกันในกลุ่ม ขณะที่เส้นเรื่องรองก็เป็นมุมมองของฝั่งตัวร้ายในซีซันนี้ เป็นเรื่องราวครอบครัวตระกูลจางที่มีแม่เป็นหัวหน้าแก๊งและมีคติการเลี้ยงดูลูกแบบเอเชียจ๋ามาก ๆ ซึ่งบางครั้งก็เป็นการกดดันและทำลายลูกหลานของตัวเองไม่รู้ตัวเช่นกัน ซึ่งเส้นเรื่องนี้ก็เล่าผ่านสายตาของลูกสาวคนโตที่กลายเป็นหมาหัวเน่าเพราะไปคลอดลูกกลายเป็นครึ่งหมาป่า ขณะที่พ่อกับแม่คาดหวังอยากได้หลานชายที่เป็นมนุษย์แบบดั้งเดิมเพื่อสืบทอดตระกูล จนเกิดความขัดแย้งในจิตใจระหว่างแม่ลูกอยู่ไม่น้อย และแรงขับเดียวกันนี้ก็ทำให้ตระกูลจางต้องการล่ากัสโดยไม่เลือกวิธีการเพื่อเอามาสกัดยาให้ลูกสาวคนรองที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ได้คลอดลูกออกมาเป็นคนปกติด้วย
ต้องบอกว่าถึงเรื่องจะดันไปเป็นเส้นตรงแต่ก็ไม่ได้ลดความน่าสนใจลงเลย ในบางจังหวะผู้สร้างยังหยอดรสชาติแก้เลี่ยนระหว่างการเดินทางได้น่าสนใจสุด ๆ อีกด้วย เช่นตอนที่ 4 ที่ต้องเดินทางขึ้นเรือโดยสารขนาดใหญ่กลางทะเล แต่กลับพบว่าลูกเรือและผู้โดยสารทุกคนหายไป จนสร้างยรรยากาศแบบหนังสยองขวัญปริศนา และในช่วงไคลแมกซ์ของเรื่องก็ให้อารมณ์แบบหนังผจญภัยแบบแฟรนไชส์ ‘Indiana Jones’ ไปอีก ทำให้เห็นเลยว่าผู้สร้างเองก็ไม่ได้คิดจะมักง่ายเล่าไปให้แค่จบเลยจริง ๆ
ด้านการแสดงนอกจากตัวเดิม ๆ ที่ทำได้ดีแล้ว มาซีซันไฟนอลนี้ยังสร้างตัวละครที่ได้โชว์ของเพิ่มอย่าง เฮเลน จาง ที่รับบทโดย โรซาลินด์ เชา (Rosalind Chao) หรือ ดร.เย่ จาก ‘3 Body Problem’ (2024) ที่สร้างบทบาทที่น่าจดจำเป็นตัวร้ายที่เรานึกชังและเอาใจช่วยให้เจอชะตากรรมเลวร้ายได้สุด ๆ ขณะเดียวกันก็เห็นมิติของตัวละครที่เข้าใจการกระทำนั้นได้ด้วย อีกคนก็คือตัวลูกสาวคนโต โรซี่ ที่รับบทโดย เคลลี มารี ทราน (Kelly Marie Tran) หรือ โรส จาก ‘Star Wars: Episode VIII – The Last Jedi’ (2017) ที่ต้องมาปะทะคารมและน้ำตากับเชาจนเป็นดราม่าครอบครัวเอเชียที่น่าสนใจไม่น้อยเลย
จุดหนึ่งที่รู้สึกระหว่างรับชมอาจด้วยเป็นเนื้อหาที่ใกล้เคียงกับสังคมแบบเอเชียด้วย คือหนังสร้างวิวาทะที่สำคัญระหว่างรุ่นพ่อรุ่นแม่กับรุ่นลูกได้น่าสนใจ พ่อแม่ที่ยึดขนบแบบเก่าเชื่อว่าดีที่สุด แต่เมื่อไม่สามารถบังคับโลกที่เปลี่ยนแปลงคตินิยมไปไกลแล้วได้ จึงพยายามบังคับโลกที่พวกเขาควบคุมได้อย่างลูกแทน ในหนังมันอาจพูดถึงการกลายพันธุ์ด้วยไวรัสที่พ่อแม่นึกรังเกียจว่าลูกหลานจะเป็นสัตว์เดียรัจฉานไม่ได้ แต่มันก็เปรียบเปรยไปได้ถึงเรื่อง เพศสภาพ หรือแม้แต่อุดมการณ์ทางความคิดความเชื่อที่แตกต่างไปจากยุคเก่า คำถามคือแล้วจะปรับจูนเข้าหากันได้อย่างไรไม่ให้ครอบครัวแตกสลาย ซึ่งตัวซีรีส์ก็ไม่ได้เสนอทางออกไว้อย่างจริงจัง แต่เชิญชวนให้ครุ่นคิดอย่างน่าสนใจทีเดียวผ่านชะตากรรมของตัวละครอย่างโรซี่และจาง
เมื่อมองย้อนไปซีรีส์ ‘Sweet Tooth’ ทั้ง 3 ซีซันรวมกัน 24 ตอน มันดีเกินกว่าที่คาดหวังจากหน้าหนังจริง ๆ ไปมาก ทั้งโปรดักชัน การแสดง การเล่าเรื่อง คติข้อคิดที่สอดแทรก และอาจพูดได้ว่านี่เป็นซีรีส์ที่เดินสวยงามและจบงดงาม เป็นเพชรเม็ดเอกอีกเรื่องของเน็ตฟลิกซ์ที่อาจถูกให้ค่าน้อยเกินไปสักหน่อย แนะนำให้ชมเลยครับ