Release Date
13/06/2024
ความยาว
8 ตอน ตอนละประมาณ 50 นาที
Our score
7.0The Boys Season 4
เปิดตัวด้วย 3 ตอนแรกที่ขับเคลื่อนด้วยเรื่องราวในเชิงดราม่า เป็นการปูเรื่องราวตัวละครหลังจากเว้นช่วงการเผยแพร่จากซีซันก่อนมาเกือบ 2 ปี
จุดเด่น
- มีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไม่ใช่ในแง่ความรุนแรงของภาพที่เดือด 18+ มานานแล้ว แต่ในซีซันนี้เราเห็นการขับเคลื่อนเชิงการเมืองและใช้เล่ห์กลกันมากขึ้น
- ตัวละครใหม่อย่าง ซิสเตอร์เซจ และไฟร์แครกเกอร์ ดูน่าสนใจมาก
- การเปิดตัวด้วยความอ่อนแอและเพลี่ยงพล้ำของฝั่งพระเอกทำให้เรื่องราวน่าสนใจชวนลุ้นขึ้น ขณะเดียวกันฝั่งตัวร้ายก็เพิ่มพลังขึ้นอย่างมีนัยยะหลังจากเสียหายไปหนักในซีซันก่อน เป็นการปูเรื่องที่นำไปสู่ความโกลาหลและความรุนแรงที่เกินเบอร์ได้อย่างแน่นอน
- มีความเสียดสีประเด็นสังคม วงการบันเทิง การเมือง ได้สนุกมาก
จุดสังเกต
- ช่วงต้นเน้นการปูเรื่องราวสถานการณ์โลกและสิ่งที่ตัวละครเผชิญเสียมากกว่าจะขับดันเรื่องราวด้วยแอ็กชันหรือฉากเดือด ๆ ฮา ๆ แบบที่แฟนบอยชอบ จนอาจทำคนเบื่อ
- ซับไทยและพากย์ไทยแปลไม่เหมือนกัน และมีบางจุดที่แปลดูงง ๆ ทั้งคู่
- ในฐานะสะพานเพื่อไปสู่ฉากจบนับว่าน่าสนใจ เห็นพัฒนาการของตัวละครและเรื่องราวมาก แต่ในฐานะซีซันเดี่ยว ๆ อาจเป็นซีซันที่เรารู้สนุกน้อยสุด
-
บท
7.0
-
โปรดักชัน
8.0
-
การแสดง
7.5
-
ความสนุกตามแนวหนัง
7.0
-
ความคุ้มค่าการรับชม
8.0
เรื่องย่อ: ต่อเนื่องมาจากซีซัน 3 เมื่อโฮมแลนเดอร์ได้ใจไรอันลูกชายตัวเองมาอยู่ข้างกาย พร้อมทั้งเริ่มเถลิงอำนาจทรราชเมื่อฆ่าคนตายต่อหน้ากล้องก็ยังได้รับการสรรเสริญจากผู้คน แต่ขณะเดียวกันฝั่งบุตเชอร์ผู้โดปยาเพื่อมีพลังเหนือมนุษย์ในซีซันก่อนก็เริ่มได้รับผลกระทบจากยาอย่างชัดเจน ทั้งเห็นภาพหลอนและร่างกายเริ่มเสื่อมลง รวมถึงตัวละครอื่นก็ยังเผชิญปัญหาของตัวเอง จนฝั่งเดอะบอยส์ดูอ่อนแอกว่าฝั่งเดอะเซเวนอย่างเห็นได้ชัด การต่อสู้ชิงความนิยมมวลชนของผู้รักฮีโรและผู้ชังฮีโรยังต้องรอดูต่อไป
- รีวิวซีซัน 1 The Boys: รวมพลคนกระทืบซูเปอร์แมน
- รีวิวซีซัน 2 The Boys Season 2: ต่อมแฟนบอยคันยิบ ๆ โหดขิง ๆ จนอยากให้รีบมีตอนต่อ
- รีวิวซีซัน 3 The Boys Season 3: เดินหน้าโหดตลกร้ายแบบเข้ม ๆ เล่นจนคนดูเหวอ
- รีวิวสปินออฟ Gen V: เมื่อ X-men ถูกมองผ่านโลกของ The Boys รับประกันความเหวอรับประทาน
การทิ้งช่วงระหว่างซีซัน 3 ในปี 2022 มาซีซัน 4 ที่กินเวลาเกือบ 2 ปี โดยแม้จะมีซีรีส์ภาคแยกของพวกซุปในรั้วมหาวิทยาลัยอย่าง ‘Gen V’ (2023) มาคั่นกลางแก้คิดถึง แต่ก็ต้องยอมรับว่าความเดือดของรุ่นเด็กนั้นยังไม่สาแก่ใจเหล่าฮาร์ดคอร์ที่รอภาคหลักได้เท่าไรนัก แต่การกลับมาในซีซันที่ 4 ที่เปิดตัวด้วย 3 ตอนแรกนั้นก็ยังต้องบอกว่าเป็นเพียงการปูเนื้อเรื่องและเซตสปีดผู้ชมกันใหม่ เทียบไปให้ความรู้สึกว่าซีซันก่อนหน้าจะมีความต่อเนื่องแบบดูแข่งรถรอบที่ 2 ที่ 3 แต่ซีซันใหม่นี้เหมือนการเปลี่ยนสนามแข่ง แล้วมาดูจุดสตาร์ตกันใหม่แบบรู้จักนักแข่งพอประมาณแล้ว
เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการปูเนื้อเรื่องหลังเหตุการณ์ดำเนินผ่านไปได้ระยะหนึ่งแล้ว สังเกตจากไรอันลูกชายของโฮมแลนเดอร์นั้นดูโตขึ้นพอสมควรเลย (จริง ๆ ก็ตามตัวนักแสดงนั่นละ) แม้จะมีรีแคปเหตุการณ์ในซีซันเก่าให้ชมเผาหัวก่อน แต่มันก็ไม่ได้มีเหตุชวนลุ้นแบบต้องรอชมในตอนใหม่ เพราะส่วนสำคัญ ๆ ที่ซีซันก่อนเปิดไว้ก็ปิดลงในตัวเองเสียมากแล้ว
เราได้เห็นเดอะบุตเชอร์ที่โรยราลงมาก แม้จิตใจยังคุกรุ่นและเดือดแต่ร่างกายเขาไม่ไหวแล้ว ซึ่งเพื่อนร่วมทีมก็พอรู้และให้เอ็มเอ็มขึ้นมานำทีมแทน ซึ่งตัวเอ็มเอ็มก็ยังคงต้องปรับตัวในการที่จะมารับบทบาทยิ่งใหญ่แทน ซึ่งเขายังรู้สึกว่าคนอื่นอาจยังไม่ยอมรับเขาเท่าเดอะบุตเชอร์ ฝั่งคิมิโกะและเฟรนชีต่างก็ต้องรับมือกับปัญหากวนใจในเรื่องอดีตและความสัมพันธ์จนดูเริ่มมีช่องว่าง ฮิวอี้เองก็กลับมาเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น แต่เขาเองก็ต้องรับมือกับเรื่องในครอบครัวตัวเองที่กลายเป็นปัญหาสำคัญยิ่งกว่าเรื่องซุปเสียอีก และสุดท้ายสตาร์ไลต์ที่ทิ้งชื่อฮีโรมาใช้ชื่อจริงอย่างแอนนี่ก็พบว่า การนำมวลชนในฝั่งต่อต้านการใช้อำนาจอย่างไร้การตรวจสอบของพวกซุปที่ใช้ชื่อกลุ่ม สตาร์ไลต์เตอร์ นั้น ไม่ได้ง่ายอย่างที่เธอคิด การแบกความคาดหวังในขณะที่พยายามลบอดีตที่น่าสมเพชของตนเองไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ซึ่งตัวแปรอีกหนึ่งอย่างที่ฝั่งเดอะบอยส์เองก็ไม่รู้ คือภารกิจของเดอะบุตเชอร์ที่เขายังพยายามรักษาสัญญาต่อภรรยาที่เสียไป ในการช่วยเหลือไรอันให้กลับมาอยู่ฝั่งมนุษย์และไม่ถูกหลอกใช้จากทั้งโฮมแลนเดอร์ หรือพวกซีไอเอเองก็ตาม การต้องใช้ไม้อ่อนอย่างนี้เป็นสิ่งที่เดอะบุตเชอร์ไม่เคยทำ และเขาต้องเรียนรู้การจะโน้มน้าวใจอย่างจริงใจกับไรอัน ไม่ใช่การขู่และหลอกลวงอย่างที่ตัวเขาถนัดเลย
ทั้งหมดนี้คือการปูพื้นตัวละครที่เรารู้จักกันดีแล้วใหม่หมด เพราะหลังจากหายไป 2 ปี พวกเขาก็ดูผ่านเรื่องราวในชีวิตกันมามากจนเป็นเพื่อนเก่าคนใหม่สำหรับผู้ชมไปเสียแล้ว ตัวซีรีส์เหมือนจะดูเดินหน้าจริงจังก็เมื่อมาถึงตอนที่ 4-5 ที่เรียกได้ว่าถููกปากแฟนบอยมากขึ้น ทั้งฉากกดดันจนขนลุกในความโรคจิตของโฮมแลนเดอร์ในการกลับบ้านหลังเก่า และโดยเฉพาะการกลับมาของตัวละครอย่าง สแตน เอ็ดการ์ ที่นำรสชาติเผ็ดร้อนคืนสู่เรื่องราวจริง ๆ
ในขณะที่ฝั่งเดอะเซเวนและบริษัทวอจนั้นก็มีความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับฝั่งพระเอก มีตัวละครใหม่เข้ามาร่วมทีมที่สร้างความเปลี่ยนแปลงเคมีความสัมพันธ์บางอย่างของพวกซุปไป น่าสนใจว่าโฮมแลนเดอร์จะไม่เคยขาดผู้หญิงที่มาเคียงข้างเขาเลยนับตั้งแต่ซีซันแรก เขามีควีนเมฟกับผู้บริหารสาวเมเดลีน ในซีซันต่อมาเขามีสตรอมฟรอนท์ ซีซัน 3 เขาเอาสตาร์ไลต์มาไว้ข้างกายร่วมกับแอชลีย์ และในซีซันนี้ก็เป็นโฮมแลนเดอร์เองที่เชื้อเชิญซิสเตอร์เซจ (รับบทโดย ซูซาน เฮย์วาร์ด – Susan Heyward) ซุปที่ฉลาดที่สุดในโลก แถมปากแจ๋วไม่เกรงกลัวโฮมแลนเดอร์มาเป็นที่ปรึกษาของทีมเดอะเซเวนโฉมใหม่ รวมถึงมีไฟร์แครกเกอร์ (รับบทโดย วาลอรี เคอร์รี – Valorie Curry) ที่มีพลังไฟน้อยนิด แต่มีเสน่ห์ในการปล่อยเฟกนิวส์ให้คนเชื่อและติดตามเธอมหาศาล รวมถึงไม้เด็ดในการขึ้นเป็นคนโปรดคนใหม่ของท่านผู้นำ
น่าสนใจมากเมื่อมีซิสเตอร์เซจ เข้ามาในเรื่อง เธอมีความเป็นคนดำที่น้อยเนื้อต่ำใจในการถูกเหยียดและมักชิงเหยียดตัวเองก่อนเสมอ แต่ความคิดเธอนั้นยิ่งใหญ่ถึงกับการเปลี่ยนโลก และความสามารถด้านปัญญาของเธอบวกกับพลังไร้จำกัดของโฮมแลนเดอร์ก็ทำให้การสู้กลับของพวกซุปที่หวังจะปกครองมนุษย์นั้นแยบยลและเป็นไปได้มากกว่าที่เคย ซึ่งในทางเดียวกันไฟร์แครกเกอร์ที่เข้ามาต่อกรด้านความนิยมกับแอนนี่หรือสตาร์ไลต์โดยตรงก็ทำให้การเผชิญหน้าระหว่างผู้นิยมโฮมแลนเดอร์กับผู้สนับสนุนสตาร์ไลต์ยิ่งเข้มข้นและบานปลายเป็นความรุนแรงในระดับสงครามกลางเมืองได้ นั่นคือสิ่งที่ซิสเตอร์เซจคาดหวังเพื่อให้โฮมแลนเดอร์เข้ามาจบปัญหาและกลายเป็นผู้ปกครองโลกใหม่ และในฉากท้าย ๆ เรายิ่งเห็นภาพของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่กลายป็นเทพเจ้าองค์ใหม่จากการหาเสียงที่ดังที่สุดในโลกมาซ้อนทับอย่างลงตัวทีเดียว
มาถึงภาพรวมของซีซันที่ 4 นี้ ก็คงต้องบอกว่าซีซันนี้มีความเป็นการเมืองสูง การชิงความนิยมการสร้างข้อหาปรักปรำใส่ร้าย การล็อบบี้ผู้ถืออำนาจอย่างนิวแมนที่เป็นนักการเมืองเต็มตัวและยังสวิงข้างไปมาว่าจะเลือกฝั่งไหนที่เป็นประโยชน์กับเธอและลูกมากที่สุด มันคือการสะท้อนโลกของผู้ใหญ่ที่เข้มข้นขึ้นมาก ถ้าอเมริกาก็คงเห็นภาพของม็อบผู้สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ ที่แม้แกจะพูดเรื่องบ้า ๆ ออกมายังไงก็มีคนเฮโลไปด้วยเสมอไม่ต่างกับโฮมแลนเดอร์ ในขณะที่มองภาพไม่ไกลบ้านเราแผนการสร้างสงครามกลางเมืองของซิสเตอร์เซจแล้วให้โฮมแลนเดอร์ลงมาหยุดความขัดแย้ง ก็คงไม่ต่างจากที่รัฐบาลเผด็จการทหารเคยใช้เป็นสูตรสำเร็จการปกครองประเทศแถบนี้มาหลายต่อหลายหนเช่นกัน และในที่สุดความเพลี่ยงพล้ำของเหล่าเดอะบอยส์กับเหล่าพันธมิตรที่ล้วนล่มสลายไปหมด จนเหมือนแสงแห่งความหวังแทบทุกดวงดับลงพร้อม ๆ กัน ไม่เว้นแม่แต่ทางเลือกของไรอันที่สุดหดหู่ ก็เร่งเร้าให้มันกลายเป็นซีซันที่เหมือนสะพานที่ส่งไปซีซันถัดไปที่แข็งแรงมาก ๆ
อย่างไรก็ดี แม้จะยังมีเครื่องปรุงรสแซ่บ ๆ ให้คนดูอู้หูอ้าหาอย่างเคย ๆ น้อยไปบ้าง แต่สิ่งที่ซีซันนี้ทิ้งเชื้อไว้เรายังคาดหวังได้เลยว่าเมื่อปูเรื่องในระดับความสัมพันธ์จนไปถึงระดับประเทศมาได้เข้มขนาดนี้ ซีซันที่เหลือหรือหนังที่อาจจะมีตามมามันต้องระเบิดระเบ้อบ้าคลั่งได้ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันแน่นอน ที่สำคัญสิ่งที่วางปมไว้ในซีรีส์ ‘Gen-V’ ซึ่งเริ่มมาถูกใช้งานในท้ายซีรีส์หลักแล้ว ก็คาดหวังได้ว่าซีซันภาคต่อของ ‘Gen-V’ ที่คาดว่าจะมาในปีหน้าก็น่าจะชี้ให้เห็นแง่มุมบางอย่างที่น่าสนใจขึ้นจากอีกมุมมองหนึ่งด้วย ก็คาดหวังว่าอาจจะมีอะไรให้เซอร์ไพรส์อีก นอกไปจากเหล่าคามิโอรับเชิญที่ต้องตกใจทั้งที่มาปรากฏตัวและมาเป็นเสียงในหลายฉากแล้ว ยังไงก็รอชมตอนที่เหลือเลยครับ และลุ้นกับพัมนาการของตัวละครหลาย ๆ ตัวที่ไปสุดกู่สุดทางกันแล้วว่าจะมีโชคชะตาหรือจุดจบอย่างไร แล้วเหล่าเดอะบอยส์จะเอาอะไรกลับมาต่อกรกับโฮมแลนเดอร์ที่กลายเป็นประเทศอเมริกาไปแล้วได้อย่างไร