Release Date
04/07/2024
แนว
โรแมนติก/ไซไฟ
ความยาว
2.28 ช.ม. (148 นาที)
เรตผู้ชม
13+
ผู้กำกับ
ธนดล นวลสุทธิ์
Our score
5.4URANUS2324 | ยูเรนัส2324
จุดเด่น
- #ฟรีนเบค เคมีน่ารักและโรแมนติกมาก มีแฟนเซอร์วิสที่กำลังดี
- งานโปรดักชัน ถ่ายภาพ รวมทั้งงาน Practical Effect ยานอวกาศที่ทำออกมาได้ค่อนข้างสมจริง
- แก่นไอเดียการเล่าถึงความรัก และความสัมพันธ์น่าสนใจ
จุดสังเกต
- การเล่าเรื่องและกา่รตัดต่อที่ต้องเล่า 3 เส้นเรื่องให้อยู่ในระนาบเดียว ทำให้ต้องใช้ความพยายามในการดูพอสมควร
- บทที่เยิ่นเย้อและเต็มไปด้วยตัวละคร เรื่องราว และสถานการณ์ที่ไม่จำเป็น น่าจะตัดออกได้เยอะพอสมควร
- CGI ช่วงท้าย ๆ เรื่องหลุดจากมาตรฐานของหนังมากพอสมควร
- บทสนทนาขาดความเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะบทสนทนาภาษาอังกฤษ
-
คุณภาพด้านการแสดง
6.4
-
คุณภาพโปรดักชัน
7.5
-
คุณภาพของบทภาพยนตร์
4.5
-
ความบันเทิง
4.0
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
4.5
เป็นหนังไทยอีกเรื่องที่เรียกเสืยงฮือฮาตั้งแต่ยังไม่ทันฉาย สำหรับ ‘URANUS2324’ โปรเจกต์ของ เวลเคิร์ฟ สตูดิโอ (VelCurve Studio) ที่โปรโมตว่าเป็นหนังไซไฟอวกาศเรื่องแรกของไทย พร้อมกับการผสมเรื่องราวแนวโรแมนติกดราม่า ที่ได้ 2 นักแสดงสาวคู่จิ้น #ฟรีนเบค ฟรีน – สโรชา จันทร์กิมฮะ และ เบคกี้ – รีเบคก้า แพทรีเชีย อาร์มสตรอง ที่โด่งดังมีฐานแฟนคลับทั้งในไทยและทั่วโลกจากผลงานซีรีส์ ‘ทฤษฎีสีชมพู (GAP The series)’ (2565) และได้ เจมส์- ธนดล นวลสุทธิ์ ผู้กำกับหนัง ‘เขี้ยวอาฆาต’ (2553), ‘รักเอาอยู่’ (2555), ‘ตายโหง ตายเฮี้ยน’ (2557), ‘ละติจูดที่ 6’ (2558) และผู้เขียนบท ‘มอญซ่อนผี’ (2558) มาทำหน้าที่กำกับ
‘URANUS2324’ เล่าเรื่องราวความรักของคน 2 คนที่อยู่ห่างกันไกลหลายล้านปีแสง ลิน (สโรชา จันทร์กิมฮะ) นักบินอวกาศหญิงคนไทยคนแรก ที่ได้รับมอบหมายให้ขึ้นไปปฏิบัติภารกิจบนสถานีอวกาศลูนาร์เกตเวย์ (Lunar Gateway) ขององค์การนาซ่า (NASA) และแคท (รีเบคก้า แพทรีเชีย อาร์มสตรอง) หญิงสาวผู้มีความใฝ่ฝันอยากเป็นกีฬาดำน้ำ Freediving ในระหว่างปฏิบัติภารกิจ ลินกลับต้องพบกับอุบัติเหตุบนอวกาศที่เกิดขึ้นจากพายุสุริยะ ส่วนแคทเองก็กำลังจมลึกลงสู่ใต้มหาสมุทร เหตุการณ์เหล่านั้นทำให้ทั้งคู่ได้กลับมาพบและรักกันอีกครั้งในโลกคู่ขนานในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน แต่พวกเธอจะสามารถตามหากันจนเจอ และรักกันท่ามกลางอุปสรรคแห่งการพลัดพรากในทุก ๆ ไทม์ไลน์ที่ทั้งคู่ไปถึงได้หรือไม่
ในฐานะคนดูตาดำ ๆ คนหนึ่ง ก็ยอมรับว่าแอบคิดมากนิดหน่อยว่า หนังอวกาศเรื่องแรกของไทยเรื่องนี้มันจะไปได้ถึงขั้นไหน แต่หลังจากดูจบ ก็ต้องยอมรับว่าตัวหนังเรียกได้ว่าสอบผ่านในแง่ของการสร้างบรรยากาศที่น่าสนใจ อย่างแรกก็คืองานโปรดักชัน แม้จะไม่ได้ถึงกับสมบูรณ์แบบ 100% เพราะก็ยังแอบมีบางจุด ข้อเท็จจริงบางอย่าง รวมทั้งงาน CGI ช่วงท้าย ๆ หนังที่มีแผลเหวอะหวะค่อนข้างสาหัสอยู่ แต่โดยรวมก็ต้องชื่นชมว่าเป็นหนังไทยที่มีงานโปรดักชันดีที่สุดเรื่องหนึ่งเลยแหละ โดยเฉพาะ Practical Effect เช่นการสร้างฉากสถานีอวกาศจำลองขนาดเท่าของจริง ที่ทำให้รู้สึกมีความหวังอยากให้อุตสาหกรรมหนังไทยกล้าคิดกล้าทำอะไรแบบนี้ออกมาอีกเยอะ ๆ
ที่เซอร์ไพรส์จริง ๆ สำหรับผู้เขียนก็คงหนีไม่พ้นไอเดียตั้งต้นของตัวหนังครับ คือแม้จะต้องยอมรับว่า พาร์ตความเป็นหนังอวกาศนั้นถือเป็น 1 ในเส้นเรื่องของหนังทั้งหมดก็ตาม แต่ก็แอบอึ้งที่ตัวหนังพยายามจะเล่าถึงความเป็นหนังไซไฟที่บอกเล่าเรื่องดราม่า รวมทั้งความสัมพันธ์ของมนุษย์ การข้ามไปสู่อีกมิติที่เหนือจริง ที่ชวนให้นึกถึง ‘2001: A Space Odyssey’ (1968) และ ‘Interstellar’ (2014) แบบกลาย ๆ แถมตัวหนังก็เลือกที่จะท้าทายด้วยการเล่าเรื่องของลินกับแคทในโลกคู่ขนานผ่าน 3 เส้นเรื่อง แถมแต่ละเส้นเรื่องยังเกี่ยวกระหวัดขนานไขว้กันไปมาตลอดทั้งเรื่องอีกต่างหาก
ซึ่งไอ้ความซับซ้อนนี่แหละที่ถูกใช้มาเล่าแก่นไอเดียตั้งต้นของเรื่องที่ว่าด้วยเรื่องของการพยายามหาคำตอบว่า ความรักและความสัมพันธ์ของเรากับคนรัก (หรือกับพ่อแม่) สามารถทะลุกำแพงทั้งระยะทาง มิติเวลา ความฝัน และความต้องการในชีวิตที่แตกต่างกันคนละขั้ว หรือแม้แต่ความตายได้หรือไม่ ในขณะที่การพบกันของแคทกับลินในบางเส้นเรื่อง ก็แอบชวนให้นึกถึงการระลึกชาติ การกลับชาติมาเกิด การตายแล้วฟื้น หรือการพบกันของวิญญาณในอีกภพภูมิได้อยู่เหมือนกัน
อีกปัจจัยที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีบรรยากาศที่สวยงามมากขึ้น ก็คงหนีไม่พ้นตัวของนักแสดงนำอย่าง #ฟรีนเบค นี่แหละ ขนาดผู้เขียนเองที่ไม่ได้ติดตามผลงานของทั้ง 2 คนมาก่อน ก็ยังแอบรู้สึกว่า เออ รู้แล้วแหละว่าทำไมแฟนคลับเขาชอบกัน ยอมรับเลยว่าทั้งคู่มีเคมีที่น่ารักและมีเสน่ห์มาก ๆ โดยเฉพาะตอนที่อยู่ด้วยกัน และการแสดงของทั้งคู่ก็นับว่ามีศักยภาพพอสมควร และเรื่องราวแนวแซฟฟิก (Sapphic) ช็อตโรแมนติกแบบง่าย ๆ ของทั้งคู่ก็ชูให้บรรยากาศโดยรวมของตัวหนังมันออกมาดีขึ้นอีกพอสมควรเลย คือถ้าไม่นับว่าเรื่องมันซับซ้อน นี่ก็อาจเป็นหนังแซฟฟิกน่ารัก ๆ อีกเรื่องได้เหมือนกัน
แต่ไม่ว่าบรรยากาศโดยรวมของหนังจะดีงามขนาดไหน แต่ตัวหนังก็นับว่ายังมีปัญหาในหลาย ๆ จุดอย่างที่มองข้ามไม่ได้จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องหลากไทม์ไลน์ หลากมิติ หลายประวัติศาสตร์ที่สลับซับซ้อน โดยเฉพาะในองก์แรกที่ต้องใช้พลังงานในการปะติดปะต่อมากพอสมควร ทั้งการทำความเข้าใจว่าตอนนี้อยู่ในเส้นเรื่องไหน เวลาไหน ช่วงเวลาไหนคือความเป็นจริงของแคทหรือลิน และเหตุการณ์ไหนคือความจริงทางเลือก (Alternative Facts) ที่ทับซ้อนกับสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงกันแน่
การเล่าหลากเส้นเรื่อง หลากช่วงเวลาโดยขาดการวางเงื่อนไขบางอย่างที่รัดกุม ทำให้การพยายามเล่าเรื่อง และการตัดต่อเพื่อรวบเอาเส้นเรื่องต่าง ๆ ที่อยู่กันคนละมิติและคนละช่วงเวลา ให้มาอยู่ในเส้นระนาบเดียวกันของหนังจึงเต็มไปด้วยความวุ่นวายและไม่ไหลลื่นเอาเสียเลย แถมยังทำให้หนังบางช่วงให้ความรู้สึกเหมือนแค่ให้ตัวละครย้อนเวลากลับไปผจญภัยในอดีตเฉย ๆ (ทั้ง ๆ ที่ควรจะเป็นความจริงของตัวละครที่อยู่ในคนละมิติและไทม์ไลน์ต่างหาก) และในที่สุด ทุก ๆ ไทม์ไลน์ก็ดูจะวนกลันมาเจอบทสรุปเดิมทุกครั้งไป
ตัวหนังยังเต็มไปด้วยองค์ประกอบหลายส่วนที่ไม่จำเป็น ตัวละครสมทบที่ไร้มิติและไม่มีผลต่อเรื่องราว รวมทั้งบทสนทนาและการต่อบท โดยเฉพาะภาษาอังกฤษที่ขาดความเป็นธรรมชาติ คือพอดูฟรีนกับเบคกี้คุยกันเอง แม้บทพูดของพวกเธอจะแข็ง แต่เคมีของทั้งคู่ก็ยังทำให้ออกมาดูไหลลื่นและเป็นธรรมชาติกว่าตอนที่เบคกี้พยายามคุยกับแม่เป็นภาษาอังกฤษเสียอย่างนั้น ทุกองค์ประกอบทำให้ 2 ชั่วโมงครึ่งของหนังเต็มไปด้วยความเยิ่นเย้อ เคว้งคว้าง วนกลับมาสู่จุดเดิม ๆ ก่อนขมวดจบด้วยธีมและบทสรุปที่ไร้พลัง
ถึงแม้ว่าหนังเรื่องนี้จะมีปัญหาเรื่องบท และการร้อยเรียงเรื่องราวที่เหมือนล่องลอยในอวกาศ รวมทั้งไดอะล็อกที่ยังขาดความเป็นธรรมชาติจนบดบังฝีมือการแสดงไปบ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่าหนังเรื่องนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญของหนังไทยที่น่าจับตา ทั้งในแง่โปรดักชันที่มีศักยภาพและแก่นไอเดียที่กล้าทำลายกรอบเดิม ๆ เคมีของฟรีนและเบคกี้ก็นับว่ามีเสน่ห์ อย่างน้อยหนังเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นหมุดหมายให้หนังไทยได้ไปไกลและมีแนวทางใหม่ ๆ ได้มากขึ้น แต่เหนือสิ่งอื่นใดเลยก็คือ หนังเรื่องนี้ควรตัดสิ่งที่เกินความจำเป็นออกไปก่อน โดยเฉพาะโฆษณาอาหารอวกาศอันนั้น