Release Date
24/07/2024
แนว
แอ็กชัน/ตลก/ไซไฟ
ความยาว
2.07 ช.ม. (127 นาที)
เรตผู้ชม
R
ผู้กำกับ
ชอว์น เลวี (Shawn Levy)
Our score
8.7Deadpool & Wolverine | เดดพูล & วูล์ฟเวอรีน
จุดเด่น
- เรต R และบรรยากาศฮา ๆ แบบ Deadpool ยังคงมีอยู่แบบครบถ้วน
- ดักแก่ เอ๊ย ระลึกความทรงจำยุค Pre-MCU ใครที่เกิดทันหรือชอบจะอินกับหนังเรื่องนี้มาก
- ฮิว แจ็กแมน และ ไรอัน เรย์โนลส์ คือ Deadpool และ Wolverine หนึ่งเดียวจริง ๆ
- ฉากแอ็กชันเลือดสาด ฉาก Deadpool และ Wolverine สู้กัน ดุเดือด สะใจ ใหญ่กว่าเดิม ฉากลองเทคมันมาก
จุดสังเกต
- พล็อตบางส่วนที่อาจขาดรายละเอียดไปบ้าง พล็อตเดินเป็นเส้นตรงที่แอบเดาง่ายนิดหน่อย
- ใครที่เกิดไม่ทัน หรือไม่อินยุค Pre-MCU อาจงงกับมุกและ Cameo ชุดใหญ่
-
คุณภาพด้านการแสดง
8.5
-
คุณภาพโปรดักชัน
8.1
-
คุณภาพของบทภาพยนตร์
7.5
-
ความบันเทิง
9.5
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
10.0
หลังจากที่หนังซูเปอร์ฮีโรซบเซาอย่างหนัก ก็คงจะมีแต่ ‘Deadpool & Wolverine’ หนังเรื่องเดียวในปีนี้ของ Marvel Studios ที่สร้างกระแสความ Hype มาโดยตลอด ตั้งแต่การเข้าสู่จักรวาล MCU ครั้งแรกของ Deadpool และ X-Men การกลับมารับบทวูล์ฟเวอรีนครั้งแรกในรอบ 7 ปีของคุณพี่ ฮิว แจ็กแมน (Hugh Jackman) ซึ่งคราวนี้ได้เพื่อนซี้ของทั้งคู่อย่าง ชอว์น เลวี (Shawn Levy) ที่เคยทำงานกับแจ็กแมนใน ‘Real Steel’ (2011) และกับเรย์โนลส์ใน ‘Free Guy’ (2021) และ ‘The Adam Project’ (2022) มากำกับและเขียนบทร่วมกับเรย์โนลส์, พอล เวอร์นิก (Paul Wernick) และเร็ตต์ รีส (Rhett Reese) มือเขียนบทจาก 2 ภาคแรก รวมทั้งเซ็บ เวลส์ (Zeb Wells) ผู้เขียนบทซีรีส์ ‘She-Hulk: Attorney at Law’ (2022)
‘Deadpool & Wolverine’ เป็นเหตุการณ์ที่สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ใน ‘Deadpool 2’ (2018) หลังจากเหตุการณ์นั้น เวด วิลสัน/Deadpool (ไรอัน เรย์โนลส์ – Ryan Reynolds) ตัดสินใจแขวนชุดดำ-แดง เกษียณตัวเองอยู่กับบ้าน โชคดีหน่อยตรงที่เขาเองยังคงมีแฟนสาว วาเนสซา (โมเรนา แบ็กคาริน – Morena Baccarin) และเพื่อน ๆ อยู่พร้อมหน้า แต่ผลจากการไปป่วนแก้ไขไทม์ไลน์ ส่งผลให้เขาถูกองค์กรกำกับสาขาเวลา (Time Variance Authority) หรือ TVA บุกเข้ามาจับตัว
เขาได้ทราบจากปากของ พาราด็อกซ์ (แมธธิว แม็กเฟเดียน – Matthew Macfadyen) เจ้าหน้าที่ TVA ว่า Earth-10005 หรือจักรวาลที่เขาอยู่นั้นกำลังเกิดความปั่นป่วนขั้นร้ายแรง ที่อาจส่งผลทำให้เส้นเวลาของเขาถูกทำลายลง เวดจึงต้องกลับมาสวมชุด Deadpool สุดเฟี้ยวรัดติ้วเพื่อออกตามหา โลแกน/Wolverine (ฮิว แจ็กแมน – Hugh Jackman) ผู้หมดไฟในการเป็นวูล์ฟเวอรีน เพื่อร่วมกันทำภารกิจปกป้องเส้นเวลาของตัวเองจากการคุกคาม ที่มี แคสแซนดรา โนวา (เอ็มมา คอร์ริน – Emma Corrin) มิวแทนต์พลังจิตคอยบงการ
คือถ้าพี่ Deadpool แกตั้งตนเป็นศาสดา Marvel ก็คงต้องใช้คำว่าศาสดาลงมาโปรดแล้วด้วยจริง ๆ ในขณะที่เรย์โนลส์ ทั้งในฐานะนักแสดงและโปรดิวเซอร์ ก็ยังคงรักษาจิตวิญญาณความเป็น Deadpool ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ใครที่กลัวว่าพอเข้า MCU แล้วจะเป็นเรต R เพดานต่ำไหม คำตอบก็คือไม่ครับ บรรยากาศและความบันเทิงแบบภาคก่อน ๆ ยังมาเต็ม ทั้งบรรดาคำหยาบคาย มุกทะลึ่ง ฉากแอ็กชันซาดิสม์เลือดสาดในสเกลใหญ่กว่าเดิม มุกยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ทลายกรอบสังคม ขย่มกรอบ PC (Political Correctness) หรือแม้แต่มุกบ้าบอคอแตกแบบ “เ-ี้ยอะไรวะเนี่ย” ก็ยังคงมีอยู่ครบถ้วนตั้งแต่ซีนแรกยัน End-Credits สุดท้าย
อีกอันที่ผู้เขียนชอบมาก และเป็นสิ่งที่ส่วนตัวชอบมากที่สุดในภาคนี้ก็คือ มุกการทลายกำแพงที่ 4 ที่นับเป็นอีกไม้ตายของ Deadpool ที่คราวนี้มันไม่ได้มีเอาไว้แค่หันมามองกล้องแล้วเล่าเรื่อง แอบแวะแซะคนอื่น วนกลับมาแซะตัวเอง หรือการการใส่ Easter-Egg เหมือนภาคอื่นเท่านั้น แต่มัน ก.ส.ต. ชิกหัยขึ้นไปอีกสเต็ป เพราะภาคนี้พี่เค้าล้อเลียนข้ามค่าย ข้ามสตูดิโอ ล้อ Pop-Culture ไปเรื่อยไปเปื่อย แต่ไม่ได้มีแค่ Mention เฉย ๆ มันลามไปถึง Art Direction ที่ล้อใหญ่ล้อโตแบบไม่สนลูกใครกันไปเลย
ความเล่นใหญ่นี้ยังสะท้อนไปถึงบรรดา Cameo เซอร์ไพรส์ที่อยู่ในหนังครับ บอกเลยว่าไอ้ที่ปล่อยออกมาก่อนหน้านี่คือสิว ๆ เพราะจริง ๆ แล้วในหนังยังมีเซอร์ไพรส์อีกบาน มีทั้งที่คาดถึง คาดไม่ถึง และโคตรจะคาดไม่ถึง โดยเฉพาะ Fan Service จากบรรดาหนัง Pre-MCU (หนังจากสตูดิโอที่สร้างจากคาแรกเตอร์ของ Marvel ก่อนการก่อตั้ง Marvel Studios) ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น X-Men ของ 20th Century Fox ที่ชวนให้นึกถึงยุคต้น 2000 และก่อนหน้านั้นนิดหน่อย
ถ้าใครอายุ 25 ปีขึ้น และทันได้ดู X-Men ก็จะอินและกรี๊ดไปกับการ Tribute ยั่วล้อ (และดักแก่) ที่ไม่ได้แค่โผล่มาขำ ๆ เพราะต่างก็มีบทบาทของตัวเอง แต่ด้วยความที่ตัวหนังไม่ได้เสียเวลาอธิบายมุกวงใน คนไม่เคยดูหรือไม่อินก็อาจจะงงจนแป้กได้ (แต่ถ้ามองอีกแง่ พอ MCU เล่นท่านี้มาก ๆ มันก็แอบเศร้านะที่ได้เห็นจักรวาล Fox มันจบไปแล้วต่อหน้าต่อตา และมันก็เป็นการย้ำหนักเข้าไปอีกว่า MCU ยุคนี้ยังไม่มีอะไรที่จะเอามาชูโรงได้จริง ๆ จัง ๆ สักที จนต้องไปพึ่งพาฮีโรจากจักรวาลอื่นที่จบสิ้นไปแล้วแทน)
อีกอย่างที่ผู้เขียนชอบสุด ๆ ก็คือ สำหรับคนที่อินกับ ‘Logan’ (2017) คงแอบสงสัยแหละว่า เอาพี่แจ็กแมนกลับมาขนาดนี้ มันจะไม่เป็นการปู้ยี้ปู้ยำการตายอันยิ่งใหญ่ของโลแกนใช่ไหม คำตอบก็คือไม่เลยครับ ตัวหนังฉลาดมากในการอธิบายเชิงประจักษ์ ตั้งแต่เหตุผลที่วูล์ฟเวอรีนใส่ชุดสีเหลือง-น้ำเงินแบบเดียวกับในคอมิก รวมถึงพล็อตช่วงต้นเรื่องที่ Deadpool อธิบายให้เห็นกันโต้ง ๆ ไปเลยว่า หนังเรื่องนี้ไม่ได้หากินกับมุกมัลติเวิร์ส ขุดเอาดาราเก่ามาย้อมใหม่แบบไร้เหตุผล (นะโว้ย)
แต่ที่ชิกหัยขั้นสุดก็คงหนีไม่พ้นการหันกลับมาแวะแซะบ้านเก่า 20th Century Fox และหันกลับมาแซะบ้านใหม่ Disney และ Marvel ได้แบบแสบสันชนิดที่ไม่ผิดหวัง และที่ชิกหัยขั้นสุดก็คือเราจะได้เห็นพล็อตที่ว่าด้วยเส้นเรื่องการกอบกู้ไทม์ไลน์ของ Deadpool กับ Wolverine ที่ขนาบคู่ไปกับการกอบกู้ MCU และวิกฤติศรัทธาที่ Marvel Studios สูญเสียไปจากความล้มเหลวของหนังซูเปอร์ฮีโรด้วย ซึ่งตัวหนังก็แฟร์มากที่กล้าจะวิจารณ์นโยบาย วิสัยทัศน์ของสตูดิโอที่ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไปจนถึงบรรดาแฟนหนังซูเปอร์ฮีโรบางส่วนแบบตรงไปตรงมา เป็นการบิดเอาโลกที่เกิดขึ้นจริงมายั่วล้อกับโลกที่เกิดขึ้นในหนังได้เจ็บแสบและฉลาดสุด ๆ
คือจริง ๆ ถ้าจะดูหนังเรื่องนี้ในแง่ของการเป็นแฟนเซอร์วิส ไม่ว่าจะเป็นแฟนของทั้ง Deadpool เอง หรือเป็นแฟนเซอร์วิสหนัง Pre-MCU ก็ตาม ก็นับได้ว่าเต็มอิ่มจนไม่รู้จะติอะไรเลยครับ สำหรับผู้เขียนมันเป็นหนังธีมมัลติเวิร์ส และมีตัวแปร (Variant) ที่เข้าท่าที่สุดใน Multiverse Saga นับตั้งแต่ซีรีส์ ‘Loki’ (2021–2023) เลยก็ว่าได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าพล็อตเรื่องก็ยังคงเดินเรื่องแบบเส้นตรงที่ไม่ได้ซับซ้อน ในขณะที่ตัวหนังก็ยังแอบมีจุดที่เสียรายละเอียดในเนื้อเรื่องเพื่อโชว์ตลกไปบ้างอยู่เหมือนกัน
ยังดีที่ตัวหนังทดแทนกันด้วยพาร์ตดราม่า และการเติมหัวใจให้กับตัวละครที่บอบช้ำและเต็มไปด้วยบาดแผลอย่างเข้มข้นและอิ่มอกอิ่มใจ ทั้งในแง่ของมิตรภาพ ครอบครัว การต่อสู้เพื่ออะไรสักอย่างด้วยความหวัง และรับมือกับวิกฤติวัยกลางคน (Midlife Crisis) ที่เข้ามารุมตบคนหนึ่งให้รู้สึกว่าตัวเองไม่สำคัญ และรุมกระทืบอีกคนหนึ่งจนรู้สึกว่าตัวเองห่วยแตก ซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอแล้วล่ะที่จะทำให้มองข้ามความไม่ซับซ้อนและดูได้แบบเพลิน ๆ
ส่วนของนักแสดงหลักของเรื่อง แน่นอนว่า ถ้าพี่แจ็กแมน คือหนึ่งเดียวของบทวูล์ฟเวอรีน พี่เรย์โนลส์ก็คือหนึ่งเดียวในบทบาทเดดพูลเหมือนกัน และ 2 คนนี้ก็กลายเป็น Deadpool & Wolverine ที่มีครบทั้งความ Frenemy หยุมหัวกันสะใจ ในขณะที่ก็มีความ Bromance ขำ ๆ ที่เคมีเข้าแข้งเข้าขากันสุด ๆ ในขณะที่เรย์โนลส์คือ Deadpool ที่ซึมลึกเข้าไปถึงตัวตน แจ็กแมนก็กลับมารับบทโลแกนได้อย่างสมศักดิ์ศรี ฉากแอ็กชันดุ ๆ และฉากดราม่าซึ้ง ๆ ก็ยังเอาอยู่ เติมด้วยมุกฮาหน้าตายที่เพิ่มเข้ามาได้กำลังดีจนไม่เสียตัวตน
เอาจริง ๆ หลังจากนี้ก็คงใกล้จะเห็นภาพความเป็นจริงแล้วล่ะ ว่าที่สถาปนาตัวเองว่าเป็นศาสดาแห่ง Marvel จะเข้ามากอบกู้ศรัทธาของ MCU ให้กลับมาเรืองรองได้ในระยาวมากน้อยแค่ไหน แม้จะมีปัญหากับบทนิดหน่อย แต่ยังให้อภัยได้กับการเป็นหนังที่วางให้มีเซตติงแบบจบในตัว โดยไม่ต้องวอนหาเรื่องเชื่อมต่อเรื่องราวไปสู่ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แบบที่หนังเรื่องอื่น ๆ ของ MCU เคยเป็นมา รวมทั้งยังเป็นหนังที่เรียกความหวังของแฟน ๆ MCU และแฟนหนังฮีโรให้กลับมา Hype และบันเทิงแบบสะใจได้อีกครั้ง
รวมทั้งมหกรรม Cameo ที่ให้อารมณ์ใกล้เคียงกับ Cameo ใน ‘Avengers: Endgame’ (2019) และ ‘Spider-Man: No Way Home’ (2021) เป็นหนังที่แฟน Deadpool จะได้ทั้งขำและตกใจกับบรรดาอภิมหาเซอร์ไพรส์กันจนเหนื่อย (แต่ดันเป็นความเหนื่อยที่ก็เพลินจนไม่อยากจะให้จบเหมือนกันนะ เอาเข้าไป) ในขณะที่ถ้าคุณเป็นแฟนหนังซูเปอร์ฮีโรยุคต้น 2000 จะฟินกับการถูกพี่ ๆ เค้าดักแก่ ด้วยการล่วงละเมิดทางความทรงจำ สะกิดติ่ง Nostalgia จนฟินน้ำตาไหลถึงจุดสุดยอดกันไปข้างหนึ่งเลย
ตัวหนังมีฉากพิเศษกลางเครดิต (Mid-Credit) 1 ตัว และฉากพิเศษท้ายเครดิต (End-Credit) อีก 1 ตัวครับ รอดูได้ ไม่ได้ยิ่งใหญ่แต่ไม่แกงแน่นอน