Release Date
01/08/2024
แนว
แอ็กชัน/ดราม่า/สยองขวัญ
ความยาว
1.50 ช.ม. (110 นาที)
เรตผู้ชม
15+
ผู้กำกับ
ก้องเกียรติ โขมศิริ
Our score
6.8ช.พ.๑ สมรภูมิคืนชีพ | Operation Undead
จุดเด่น
- แนวคิดและรูปแบบการนำเสนอซอมบี้ไทยที่มีความกล้าและแหวกแนว
- โปรดักชันก่ารถ่่ายทำ โดยเฉพาะฉากสยองแหวะสมจริงมาก ใกล้เคียงกับลองของ
- การแสดงของ นนกุล และ อัด อวัช โดดเด่น แม้จะโดนบทบดบังไปบ้าง
จุดสังเกต
- การเล่าเรื่อง การให้น้ำหนักบางรายละเอียดไม่สมดุล การขาดความสมเหตุสมผล ทำให้สัญญะการต้านสงคราม และอารมณ์ร่วมพร่องหายไป
- บทขาดการขาดการปูความสัมพันธ์ที่ดี ทำให้เราไม่รู้สึกเอาใจช่วยตัวละครและอุดมการณ์อะไรเลย
- ถึงโปรดักชันการถ่ายทำจะดี แต่งาน CGI มีแผลเยอะมาก
-
คุณภาพด้านการแสดง
7.2
-
คุณภาพโปรดักชัน
7.2
-
คุณภาพของบทภาพยนตร์
7.1
-
ความบันเทิง
6.2
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
6.3
ปีนี้ยังคงเป็นปีที่น่าสนใจ และได้เห็นทิศทางใหม่ ๆ ของหนังไทยที่กล้าคิดกล้าทำมากยิ่งขึ้นครับ และ ‘ช.พ.๑ สมรภูมิคืนชีพ’ ภาพยนตร์ผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของ ก้องเกียรติ โขมศิริ เจ้าของผลงานระดับตำนาน ทั้ง ‘ลองของ’ (2548), ‘เฉือน’ (2552) และไตรภาคขุนพันธ์ ที่คราวนี้พี่โขมหวนกลับมาทำงานหนังแนวสยองขวัญอีกครั้ง กับแนวทางแบบหนังซอมบี้ ที่ถูกแต่งเติมผสมผสานเข้ากับรูปแบบหนังสงครามอิงประวัติศาสตร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเรื่องราวของยุวชนทหารที่ต้องถูกเข้าร่วมรบในสงครามในยามที่พวกเขายังไม่ทันเป็นผู้ใหญ่
เรื่องราวของ ‘ช.พ.๑ สมรภูมิคืนชีพ’ เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2484 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นที่ต้องการจะบุกไปยังจีนและอินเดีย ได้ยกพลขึ้นบกโดยใช้จังหวัดชุมพรเป็นทางผ่าน ทำให้กองกำลังทหาร และกลุ่มยุวชนทหารหน่วย ช.พ.๑ ถูกเกณฑ์เป็นกองกำลังต่อต้านทหารญี่ปุ่น เมฆ (ชานน สันตินธรกุล) นายสิบหน้าใหม่ผู้จงรักภักดีในชาติ ตัดสินใจเข้าร่วมสมรภูมิ แต่หมอก (อวัช รัตนปิณฑะ) น้องชายผู้อยู่ในหน่วยยุวชนทหาร กลับไม่อยากเข้าร่วมรบ
แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องถูกเกณฑ์เข้าไปร่วมรบอยู่ดี แต่สิ่งที่ทั้งคู่และหน่วย ช.พ.๑ ต้องรับมือกลับไม่ใช่สงคราม แต่เป็น ‘ฟุเมตสึ’ (不滅) อาวุธชีวภาพที่กองทัพญี่ปุ่นคิดค้นขึ้นมา ได้หลุดออกมาไล่กัดกินเหยื่ออย่างที่ไม่สามารถกำจัดได้ และแพร่เชื้อออกไปอย่างไร้การควบคุม เมฆได้รับคำสั่งจำเป็นให้เข้าร่วมภารกิจกวาดล้างฟุเมตสึ ภายใต้การนำของร้อยเอกนากามูระ (เซกิ โอเซกิ) ก่อนที่เมฆจะพบกับความจริงบางอย่างที่น่าสะพรึงยิ่งกว่า
หลังจากดูจบ ผู้เขียนเองรู้สึกได้เลยว่าเมืองไทยเรามีหนังคัลต์เด็ด ๆ เพิ่มเข้ามาในลิสต์แล้วล่ะ ความคัลต์ชั้นแรกของหนังเรื่องนี้ก็คือ หาก ‘ยุวชนทหาร เปิดเทอมไปรบ’ (2543) คือการเล่าเรื่องราวของยุวชนทหารที่ยอมสละชีวิตวัยรุ่น ออกไปรบเพื่อประเทศชาติ หนังเรื่องนี้ก็คือขั้วตรงข้าม มันเป็นหนัง Anti-War หรือหนังต้านสงครามที่เล่าผ่านชีวิตวัยรุ่น โดยเฉพาะวัยรุ่นต่างจังหวัดที่มีความฝัน มีคนที่รัก และมีอุดมการณ์ในการรักและปกป้องประเทศชาติที่แตกต่างกัน และเลือกทำสิ่งที่ต่างกันออกไปท่ามกลางสถานการณ์คับขัน
แต่สิ่งที่ทำลายชีวิตและความฝันของพวกเขา ทำลายผู้คนที่อยู่เบื้องหลัง และเหยื่อผู้บริสุทธิ์ หาใช่อาวุธยุทโธปกรณ์ไม่ แต่กลับเป็นฟุเมตสึ อาวุธชีวภาพที่เกิดขึ้นจากการทดลองไวรัสของกองทัพญี่ปุ่น ที่ถูกยกเอามาเป็นสัญญะถึงการชอนไช การแพร่ระบาด ความหวาดกลัว และกัดกินชีวิต รวมทั้งความหวังของคนในพื้นที่ไปทีละเล็กละน้อย แม้ตัวหนังจะขาดการสำรวจโครงสร้างและแฝงสัญญะอย่างจริงจัง แต่ก็นับว่าเป็นหนังสงครามที่ผสานเกร็ดประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 และถอดรื้อโครงสร้างหนัง Anti-War แสดงความโหดร้ายของสงคราม ด้วยคอนเซปต์และวิธีการนำเสนอที่เต็มไปด้วยความแฟนตาซีและความคัลต์ ในแบบที่กล้าหาญมาก ๆ และแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจ
สิ่งที่เกินคาดสำหรับหนังเรื่องนี้ก็คงหนีไม่พ้นซอมบี้ในจักรวาลของพี่โขมนั่นแหละ เอาจริง ๆ ฟุเมตสึในหนังเรื่องนี้ กับฝูงซอมบี้ไล่งับคอแบบที่เราคุ้นตากันมาตั้งแต่ ‘Dawn of the Dead’ (1978) จนถึงซอมบี้เกาหลีแบบ ‘Train to Busan’ (2016) มันก็มีรายละเอียดที่เหมือนและต่างกันพอสมควร สิ่งที่น่าจะช็อกคนดูพอสมควรก็คือ แม้ตัวหนังยังคงมีเส้นเรื่อง มีกลเม็ดบางอย่างแบบที่ Genre หนังซอมบี้ทำตาม ๆ กัน แต่เชื่อว่าถ้าไม่ได้ดูเบื้องหลังมาก่อน ก็คงสงสัยแหละว่าทำไมซอมบี้ในหนังถึงพูดได้ คิดถึงความหลัง นั่งคุย Deep Talk กัน แถมยังไหว้พระได้อีกต่างหาก
ถ้าใครเข้าใจสิ่งที่หนังเล่าว่า ฟุเมตสึคืออาวุธชีวภาพที่ไม่ได้เหมือนกับซอมบี้เลยเสียทีเดียว เพราะมันยังพอจะมีสติสัมปชัญญะ สามารถคิดหาทางเอาตัวรอดได้ มีหัวจิตหัวใจ มีความรู้สึกติดค้างหลงเหลืออยู่ในกายหยาบเล็กน้อย ซึ่งก็นับว่าน่าชื่นชมที่ตัวหนังกล้านำเสนอความเป็นหนังซอมบี้ไทย ๆ ที่มีความคัลต์แหวกขนบหนังซอมบี้แบบเดิม ๆ อยู่ไม่น้อย และแน่นอนว่าถ้าใครที่ไม่เข้าใจ ก็อาจจะพาลให้งงหรือไม่ก็เกลียดไปเลยก็ได้ (ยิ่งถ้าหนังเข้าสตรีมมิง รู้เลยว่าจะมีคนเอาจุดนี้มาด่าและล้อกันเละเทะแน่ ๆ)
สิ่งที่ต้องชมอีกอย่างก็คืองานโปรดักชันจำพวก Practical Effect ฉากโหดแหวะ เลือด ซากศพ ฯลฯ ที่ทำออกมาได้สมจริงฮาร์ดคอร์สุด ๆ ถ้าเคยสยองแบบคลื่นเหียนกับครูพนอใน ‘ลองของ’ มาแล้ว หนังเรื่องนี้ก็ให้ความรู้สึกสยองโหด คละเคล้าเสียงแมลงวันบินหึ่ง ๆ ใกล้เคียงกัน รวมทั้งฉากแอ็กชันก็นับว่าทำได้โหดและทำถึงมากทีเดียว จะมีที่ไม่น่าพอใจเอาเสียเลยก็คืองาน CGI โดยเฉพาะงานซีจีไฟที่เห็นแผลเหวอะหวะ เห็นแผลทุนสร้างจำกัดอยู่แทบตลอดทั้งเรื่อง
แม้ในภาพรวมของหนังจะทำให้มันกลายเป็นหนังซอมบี้คัลต์แบบไทย ๆ ที่โหดดิบสะใจชาวฮาร์ดคอร์ มีฉากแอ็กชันที่ระทึก มีพาร์ตทริลเลอร์ที่ดุดัน มีพาร์ตดราม่าที่ชวนเหวอ มีคอนเซปต์ที่แหวกขนบสำหรับหนังไทย และมีไอเดียตั้งต้น รวมถึงแก่นเรื่องราวที่น่าสนใจ แต่ก็นับว่าเป็นอะไรที่น่าเสียดายที่ตัวหนังบกพร่องในรายละเอียดและอารมณ์ร่วมไปมากพอสมควร โดยเฉพาะในองก์ที่ 2 และ 3 ทั้งการเล่าเรื่องด้วยอาการรีบเร่ง จุดที่ควรจะเล่าอย่างให้ความสำคัญ กลับไม่ได้ถูกเล่าอย่างเพียงพอ ในขณะที่จุดที่ไม่ต้องเล่าลงลึก กลับให้รายละเอียดที่มากเกินไปจนผิดสัดส่วน
รวมทั้งการเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับน้อง หรือการเปรียบเทียบให้เห็นน้ำหนักและความสำคัญของแต่ละอุดมการณ์ที่ตัวละครเมฆและหมอกยึดถือ การมี Plot Hole แทรกอยู่ตามรายทาง รวมทั้ง Plot Twist บางจุด การกระทำ การตัดสินใจบางอย่างของตัวละครที่ขาดความสมเหตุสมผล ทำให้จังหวะการเล่าเรื่องแปลกแปร่ง จนทำให้การเข้าถึงจิตใจของตัวละครขาดความคมคาย ขาดการมีส่วนร่วมไปกับหนัง ทั้งหมดนี้มันเลยทำให้การประกอบร่างแนวคิด สัญญะ สิ่งที่หนังต้องการสื่อออกมาผิดรูปผิดร่าง เหลือเพียงความเป็นหนังแอ็กชันซอมบี้พล็อตแฟนตาซีในแบบที่ดูเอามัน ดูเอาสยองได้ แต่ดูเพื่อหาแนวคิด (ที่น่าจะต้องมีในหนังแนวนี้) ค่อนข้างลำบากพอควร
แต่ถึงกระนั้น การแสดงของเหล่านักแสดงในหนังเรื่องนี้ก็นับว่าน่าพอใจทีเดียว ตัวละครเมฆของนนกุล คือตัวแทนของนายทหารผู้รักชาติยิ่งชีพ ยอมสละได้ทุกอย่างเพื่ออุดมการณ์ ในขณะที่หมอก ตัวละครของ อัด อวัช คือตัวแทนเด็กหนุ่มที่มีแต่ความฝัน ยังไม่ทันมีอุดมการณ์ใด ๆ เอาแต่ตีหม้อล่อไหเฮฮาไปวัน ๆ กลับกลายเป็นเหยื่อที่ถูกชาติรุมทึ้งทำลายจนไม่มีชิ้นดี แต่ถึงแม้ตัวละครจะมีสัญญะที่น่าสนใจ แต่บทที่ขาดการปูความสัมพันธ์และสร้างความคุ้นเคยกับคนดู ทำให้ไม่ได้รู้สึกว่าตกลงหนังจะเลือกสมาทานแนวคิดอุดมการณ์ของใครเป็นหลัก ชีวิตและอุดมการณ์ของหมอกกับเมฆ แบบไหนที่น่าเอาใจช่วยเป็นพิเศษกันแน่
สำหรับผู้เขียน นี่คือหนังที่ผู้ชมดูแล้วจะเสียงแตกหลังออกมาจากโรงแน่นอนครับ แม้ว่าตัวหนังจะมีอะไรที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ จากตัวอย่างอยู่มากทีเดียว แต่ด้วยคอนเซปต์ที่เต็มไปด้วยความคัลต์แบบไทย ๆ และความกล้าในการนำเสนอที่แหวกแนว ก็อาจไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจและชอบหนังเรื่องนี้ ถ้าคุณเป็นสายฮาร์ดคอร์ ชอบคอนเซปต์แปลก ๆ โปรดักชันโคตรโหด และความคัลต์ในแบบที่ไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อย ๆ ในหนังไทย นี่คือหนังดูเอาบันเทิงที่ตอบโจทย์ แต่ก็แอบเสียดายที่สัญญะการต่อต้านสงครามและอารมณ์ร่วมต่าง ๆ ที่ถูกฟุเมตสึกัดกินไปจนเกือบหมดแล้ว