Release Date
02/08/2024
แนว
ไซไฟ/แอ็กชัน/ผจญภัย
ความยาว
ภาค 1: 3.24 ช.ม. (204 นาที) / ภาค 2: 2.53 ช.ม. (173 นาที)
เรตผู้ชม
18+
ผู้กำกับ
แซ็ก สไนเดอร์ (Zack Snyder)
Our score
5.9Rebel Moon The Director's Cut
จุดเด่น
- เรต R คำหยาบคาย ฉากโป๊เปลือย ความรุนแรงเลือดสาดจัดเต็ม เข้ากับอารมณ์ของหนังแบบสไนเดอร์
- ตัวหนังได้รับการอธิบายขยายเรื่องราวให้เข้าใจรายละเอียดมากขึ้น
- วิชวล แอ็กชันเลือดสาดในภาค 2 โหดจัดเต็มกว่าเดิม ใครยังไม่เคยดูควรข้ามมาดูภาคนี้แทน
จุดสังเกต
- แม้จะขยายเรื่องราว แต่ซีเควนซ์ การเล่าเรื่องยังคงน่าเบื่อเหมือนเดิม
- ตัวละครยังคงทำอะไรไม่สมเหตุสมผลและน่าเบื่อเหมือนเดิม
- แอบเสียดายบางตัวละคร บางองค์ประกอบที่ยังไม่ได้รับการอธิบายมากเพียงพอ ในขณะที่บางองค์ประกอบเยอะไป
-
คุณภาพด้านการแสดง
6.2
-
คุณภาพโปรดักชัน
7.5
-
คุณภาพของบทภาพยนตร์
6.2
-
ความบันเทิง
5.1
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
4.5
เรียกว่ามาตามคำสัญญาของแฟน ๆ ขาโหดสาย Epic Dark Hell แบบไม่บิดพลิ้วเลยครับ สำหรับ ‘Rebel Moon’ หนังไซไฟอวกาศ ผลงานออริจินัลของ Netflix จากวิสัยทัศน์ของ แซ็ก สไนเดอร์ (Zack Snyder) ในรูปแบบเวอร์ชันผู้กำกับตัดต่อ หรือ ‘Rebel Moon The Director’s Cut’ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เขาได้ปล่อยเวอร์ชันปกติ ที่เป็นเรต PG-13 หรือ 13+ ออกมาให้ชมกันแล้วทั้ง 2 ภาค และได้คำวิจารณ์ถล่มแบบอุ่นหนาฝาคั่ง
หากอ้างอิงจากบทสัมภาษณ์ของสไนเดอร์ เขาต้องการให้เวอร์ชันนี้เป็นโลกคู่ขนานของเวอร์ชันปกติครับ นอกจากจะมีความยาวเพิ่มขึ้น (รวม 2 ภาคยาว 6.17 ชั่วโมง) มีฉากเรต R ทั้งฉากความรุนแรง เลือดสาด มีฉากเกี่ยวกับเพศ และฉากอีโรติกมากขึ้น รวมทั้งยังมีบางฉากที่ถูกถ่ายทำเพิ่มเพื่อเวอร์ชันนี้โดยเฉพาะด้วย พร้อมกับชื่อภาคใหม่เอี่ยมทั้งในภาคแรก ‘Chalice of Blood’ หรือ ‘จอกโลหิต’ ความยาว 3.24 ชั่วโมง และภาค 2 ความยาว 2.53 ชั่วโมง ที่ใช้ชื่อว่า ‘Curse of Forgiveness’ หรือ ‘นิรโทษคือคำสาป’
ใน Rebel Moon ฉบับ The Director’s Cut เล่าเรื่องหลังเหตุการณ์การลอบสังหารกษัตริย์ ราชินี และเจ้าหญิงอิซซา (สเตลลา เกรซ ฟิตซ์เจอรัลด์ – Stella Grace Fitzgerald) แห่งดาวมาเธอร์เวิลด์ (Motherworld) จอมทรราช บาลิซาเรียส (ฟรา ฟี – Fra Fee) ตั้งตนเป็นจักรพรรดิ และบัญชาให้พลเรือเอกแอตติคัส โนเบิล (เอ็ด สไครน์ – Ed Skrein) ออกตามล่าล้างผู้ที่คิดก่อกบฏ ในขณะที่ ดวงจันทร์แห่งเวลท์ (Veldt) เป็นนิคมของชาวไร่นาผู้รักสันติสุขที่อยู่ไกลโพ้น แต่กองทัพมาเธอร์เวิล์ดรู้ข่าวว่า ชาวเวลท์ขายพืชผลให้กับกบฏบลัดแอ็กซ์ พลเรือเอกโนเบิลจึงส่งกองทัพมาโจมตีและคุกคามผู้บริสุทธิ์
โครา (โซเฟีย บูเตลลา) คนแปลกถิ่นลึกลับผู้มีปมอดีต และคนรัก กุนนาร์ (มิคิล เฮาส์แมน – Michiel Huisman) จึงอาสารวบรวมเหล่านักสู้ผู้มีอดีตอันขมขื่น ทั้งนายพลไททัส (ไจมอน ฮอนซู – Djimon Hounsou) อดีตผู้บัญชาการสงคราม, เนเมซิส (แบดูนา – Bae Doo-na) นักดาบหญิงผู้สูญเสียแขน, ทารัค (สตาซ แนร์ – Staz Nair) อดีตเจ้าชายที่กลายเป็นทาส และมิลิอัส (เอลิส ดัฟฟี – Elise Duffy) อดีตทหารหญิงของกลุ่มกบฏบลัดแอ็กซ์ เพื่อรวมตัวกันโค่นจักรวรรดิผู้ชั่วร้าย โดยมี จิมมี (พากย์เสียงโดย แอนโธนี ฮอปกินส์ – Anthony Hopkins) หุ่นดรอยด์ทหารของกษัตริย์องค์ก่อน ที่กำลังพยายามจะทำอะไรบางอย่าง
ถึงแม้ผู้เขียนเองจะสองจิตสองใจว่าจะลองดูซ้ำอีกไหม เพราะรู้ว่าเป้าหมายของเวอร์ชัน Director’s Cut แบบพี่สไนเดอร์ คงไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการเพิ่มฉากรุนแรง คำหยาบคาย ฉากโป๊เปลือย และสโลว์โมชัน ตลอดความยาวรวม 377 นาที หากดูโดยผิวเผิน เรื่องราวและซีเควนซ์ต่าง ๆ ก็ยังคงแทบจะเหมือนกับฉบับปกติเป๊ะเลย มีต่างบ้างตรงที่มีการทำ Color Grading บางฉากใหม่ให้สว่างเห็นรายละเอียดมากขึ้น และฉากสโลว์โมชันที่มีเพิ่มขึ้นมาในระดับหนึ่ง ซึ่งระดับหนึ่งสำหรับหนังพี่แซ็กก็คือเยอะ 555 และแน่นอนว่าคุณจะได้ดูฉากเกี่ยวข้าว ฝัดข้าวในภาค 2 เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกเกือบ ๆ 4 นาที เย้…
มองในภาพรวม บรรดาฉากเรต R ต่าง ๆ นอกจากจะเหมาะกับวิชวลแบบสไนเดอร์แล้วก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันก็ทำให้หนังสนุกและไหลลื่นขึ้นมากกว่าเดิม (จากที่เคยรู้สึกกั๊ก ๆ โดดไปโดดมาในเวอร์ชันปกติ) ข้อดีอีกอย่างก็คือมันก็ช่วยขยายและเสริมแต่งรายละเอียดต่าง ๆ ทั้งรายละเอียดในแง่ของจักรวาล ตัวละครสมทบใหม่ ๆ ปูมหลังในอดีตสุดขมขื่นของโครา การขยายปมเรื่องเกี่ยวกับความผิดและการไถ่บาปในอดีต การขยายให้เห็นความโหดเข้าขั้นโรคจิตของพลเรือเอกโนเบิล เป้าประสงค์ที่แท้จริงในการยึดอำนาจของจักรพรรดิบาลิซาเรียส การอธิบายปูมหลังที่เสริมมิติและการตัดสินใจของบางตัวละคร รวมทั้งขยายพาร์ตอารมณ์ดราม่า โรแมนติก (และอีโรติก) ที่ตัวหนังไม่ได้เน้นย้ำให้เห็นได้ชัดเจนขึ้น
แต่หากเจาะในรายละเอียด ในภาคแรกดูจะใช้ความเป็น Director’s Cut ได้มากกว่าภาค 2 ครับ เพราะมีรายละเอียดที่เพิ่มขึ้นมาจากตัวหนังมากพอสมควร ในขณะที่ภาค 2 แม้ว่าจะมีการขยายฉากสำคัญ ๆ ให้มีความโหดและตึงเครียดมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้มีฉากพิเศษที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญมากนัก ตัวหนังยังคงเน้นการเพิ่มรายละเอียดฉากการทำนา เตรียมศึก เพิ่มฉากเลิฟซีนดุเดือด (แบบที่ไม่รู้ว่าจะมีซ้ำกันทั้ง 2 ภาคทำไม) ฉากทำสงคราม และฉากแอ็กชันบนยานอวกาศที่โหดขึ้น โป๊ขึ้น ดาร์กขึ้น คัลต์มากขึ้น มีฉากขายตามแบบฉบับสไนเดอร์ (และแน่นอน ฉากสโลว์โมชัน) ที่มากขึ้นกว่าเดิมด้วย
แต่แม้ว่าความเป็นเรต R จะช่วยให้ตัวหนังดูได้ไหลลื่นขึ้น มีทิศทางการเล่าที่ดีขึ้น แต่ด้วยความที่โครงสร้างของการเล่าเรื่องและซีเควนซ์ต่าง ๆ ยังแทบจะเหมือนเดิม ยังไม่นับไปถึงองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น ไดอะล็อกที่ยังมีความติดจักร ๆ วงศ์ ๆ การปูแบ็กกราวนด์ตัวละครนักรบที่น่าสนใจ แต่ก็ยังคงไร้ชั้นเชิงและฟุ้งเฟ้อ เต็มไปด้วยการพร่ำเส้นเรื่องที่ไม่จำเป็น องค์ประกอบความคัลต์แฟนตาซีบางอย่าง (ยกตัวอย่างเช่น ตำนานของเจ้าหญิงอิซซาที่มีแสงสว่างอะไรสักอย่าง) ที่ยังไม่ได้รับการอธิบายเพิ่มขึ้นมากนัก ตรรกะและการกระทำบางอย่างของตัวละครที่ขาดความสมเหตุสมผล ทำให้ตัวหนังยังเต็มไปด้วยความน่าเบื่อที่ไม่สามารถคุมทิศทางการเล่าเรื่องราวได้เฉียบคมและเกิดอารมณ์ร่วมได้
โดยรวม ๆ นอกจากนักแสดงใหม่ ๆ แล้ว ก็ไม่ได้มีนักแสดงนำคนไหนที่โดดเด่นเป็นพิเศษจากเวอร์ชันปกติ จะมีก็แต่ตัวละคร จิมมี หุ่นดรอยด์รหัส JC-1435 ที่อุตส่าห์เอาลุงแอนโธนี ฮอปกินส์ มาพากย์เสียงให้ ซึ่งจริง ๆ ตัวละครของจิมมีมีอะไรที่น่าสนใจอยู่นะครับ เป็นหุ่นยนต์โคตรถึกที่ถูกโปรแกรมให้ทำภารกิจอารักขาองค์กษัตริย์ แต่พอเปลี่ยนยุคก็กลายเป็นเพียงหุ่นเบ๊ในกองทัพ เขาจึงเปลี่ยนวิถีเพื่อรักษาภารกิจเดิมเอาไว้ แต่สุดท้ายก็แอบหงุดหงิดที่แม้จะมีบทบาทเพิ่มแล้วแท้ ๆ แต่สุดท้ายก็อยู่ผิดที่ผิดทางเหมือนเดิม
หลังจากชมทั้งเวอร์ชันปกติ และ The Director’s Cut ค่อนข้างชัดเจนแหละว่า บางทีสไนเดอร์อาจเหนื่อยล้ากับการสร้างจักรวาลหนัง Space Opera ที่ต้องเล่า ปู เชื่อมโยง และสร้างจักรวาลของตัวเองขึ้นมาพร้อม ๆ กันในคราวเดียวอยู่พอสมควร โดยส่วนตัวผู้เขียนแอบเชียร์ให้มีภาคต่อนะครับ (มีความหวังขึ้นมานิดหน่อย) แต่ก็แอบรู้สึกว่าบางทีอาจจะต้องรีบูต หรือทิ้งช่วงไปสักพักก่อนหรือเปล่านะ เพราะแม้สไนเดอร์จะมีมีวิชวล ฉากสโลว์โมชัน ฉากชัดตื้นเจ๋ง ๆ และการนำเสนอตามแนวทางเรต R ที่เป็นเอกลักษณ์ชัดเจน
แต่สิ่งที่เป็นความยาก และฉบับนี้ก็ยังคงทำไม่ได้แบบเดียวกับต้นฉบับก็คือ การเชื่อมโยงโลก วิชวล องค์ประกอบ เรื่องราว และตำนานปรัมปราสุดคัลต์ที่ไม่ได้รับการอธิบายตามแบบฉบับ Space Opera เพื่อให้คนดูเข้าใจจักรวาล Rebel Moon และวิกฤติที่เกิดได้มากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องฝืนดูตัวละครทำอะไรน่าเบื่อ ๆ และไม่รู้สึกเหวอไปกับความคัลต์บางอย่าง พลางนั่งเกาหัวว่าหุ่นผู้หญิงยักษ์ที่ชื่อกาลิ (Kali) บนยานเดรธนอต (Dreadnought) มันคืออะไรกันแน่ ทำไมถึงร้องไห้ได้ และทำไมท่านั่งนางมันดูคุ้น ๆ จัง…
สำหรับคนที่ยังไม่เคยดูเวอร์ชันปกติ ผู้เขียนอยากเชียร์ให้ดูอันนี้ได้เลยครับ คือถึงแม้ว่าโดยภาพรวมมันจะไม่ได้ดีหรือแตกต่างจากปกติอย่างมีนัยสำคัญ แต่อย่างน้อยทั้ง 2 ภาคนี้ก็ทำได้ดีมากกว่าในแง่ความสมบูรณ์ของอารมณ์และเนื้อเรื่อง ทยอยดูวันละนิดละหน่อย แล้วเก็บเวอร์ชันปกติให้ลูกหลานหรือพ่อแก่แม่เฒ่าเอาไว้ดูตอนรีดผ้าจะดีกว่า หรือถ้าใครที่ดูแล้วแต่อยากดูซ้ำ หรือแค่อยากดูฉากเรต R เฉย ๆ ฟังก์ชันปรับความเร็วก็น่าจะป็นตัวช่วยที่ดี