Release Date
19/09/2024
ความยาว
9 ตอน (เริ่มด้วย 2 ตอน และปล่อยทีละตอนทุกวันพฤหัส) ยาวตอนละประมาณ 40 นาที
ผลงานก่อนหน้าของผู้สร้างสรรค์ Jac Schaeffer
ซีรีส์ 'WandaVision' (2021) และ 'Black Widow' (2021)
Our score
8.0Agatha All Along
จุดเด่น
- การแสดงโดยรวมของทุกตัวละครตามบริบทของเรื่องทำได้ดี มีความคอเมดี้ผสมดราม่า ทำให้ดูแล้วไม่เครียด โดยเฉพาะการแสดงของ แคธริน ฮาห์น คือแบกซีรีส์สบาย ยิ่งฟอร์มเป็นหนังผจญภัยแฟนตาซีที่มองผ่านสายตาวัยรุ่น LGBTQ+ แบบนี้ด้วยก็ยิ่งสนุก
- เรื่องราวเดินต่อจากซีรีส์ WandaVision (2021) โดยอิงผลพวงหลังเหตุการณ์ของ Doctor Strange in the Multiverse of Madness (2022) ใครชอบเรื่องราวโลกเวทมนตร์โดยเฉพาะจากฝั่งวันด้าน่าจะยิ่งชอบ
- เดินเรื่องด้วยปมปริศนาที่ชวนแฟนบอยถกเถียงและรอเซอร์ไพรส์ได้สนุก
- ตั้งแต่ตอนที่ 7 ไปจนจบ ต้องบอกว่านี่คือของจริงเลย คนเขียนบทคิดมาละเอียดแถมทำคนดูเหวอได้โล่มาก ดีทั้งดราม่า เซอร์ไพรส์ และการเล่าที่เก็บทุกเม็ด
จุดสังเกต
- เรื่องราวช่วงแรกยังดูไม่จริงจัง ไม่ซีเรียส ดูเพลินดูง่ายเป็นหนังเด็กเกินไป เรียกว่าหน่อมแน้มเลยก็ได้
- โปรดักชันธรรมดามากไป คอสตูมยังดูไม่ค่อยดี เหมือนงานละครเวทีโรงเรียน การสร้างตัวละครบางตัวยังดูไม่น่าสนใจเท่าไหร่
-
บท
8.5
-
การแสดง
7.5
-
โปรดักชัน
7.0
-
ความสนุกตามแนวหนัง
7.5
-
ความคุ้มค่าการรับชม
8.0
เรื่องย่อ: แอกเนส ตำรวจบ้านนอกแห่งเมืองเวสต์วิวที่ถูกพักงาน ได้รับการเรียกตัวมาตรวจดูศพสาวนิรนามที่นอนตายอยู่ริมลำธาร โดยเล็บทั้งหมดของศพดำคล้ำไปหมด ปริศนาของคดีนี้ทำให้แอกเนสเข้าไปอยู่ในสถานการณ์แปลกประหลาด เมื่อมีบางคนพูดเรื่องแม่มดและพยายามเค้นให้แน่ใจว่าแอกเนสลืมเรื่องบางอย่างไปจริงหรือเปล่า โดยเฉพาะชื่อของ วันดา แมกซิมอฟฟ์ และอกาธา ฮาร์กเนส
ซีรีส์ ‘Agatha All Along’ เป็นการสานต่อจากซีรีส์ ‘WandaVision’ (2021) โดยนับว่าผ่านมาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว ทั้งในโลกความจริงและนับจากเรื่องราวในตอนจบของซีรีส์ WandaVision ในตอนนี้ อกาธา แม่มดผู้ชั่วร้ายได้ถูกวันดายึดเอาพลังแม่มดของเธอ รวมถึงคัมภีร์ดาร์กโฮลด์ไป และอกาธาที่ตกอยู่ใต้พลังของวันดาจึงหลงลืมตัวตนที่แท้จริงคิดว่าตัวเองคือ แอกเนส เพื่อนบ้านจอมป่วนของวันดาที่ต้องใช้ชีวิตวนเวียนเป็นละครซิตคอมในโทรทัศน์ไม่รู้จบภายในเมืองเวสต์วิวต่อไป
แต่แล้วการปรากฏตัวของบุคคลที่มาจากนอกเมืองเวสต์วิว ซึ่งแสดงตนเป็นตำรวจเอฟบีไอสาวก็ทำให้บรรยากาศรอบตัวของแอกเนสแปลกไป มีคำถามประหลาด ๆ เกิดขึ้นคำบางคำที่เธอเลี่ยงจะนึกถึง และยิ่งเด็กหนุ่มปริศนาอีกคนเข้ามาพยายามชวนเธอตามหาเส้นทางแม่มด มันก็ทำให้แอกเนสเริ่มนึกถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอได้ว่าเธอคือแม่มดนามอกาธา ฮาร์กเนส ภารกิจในการกอบกู้พลังที่หายไปของเธอจึงเริ่มขึ้น โดยมีความเชื่อว่าปลายทางของเส้นทางแม่มดจะมอบสิ่งที่แม่มดแต่ละคนขาดหายได้คนละอย่าง ซึ่งเด็กหนุ่มที่ไม่อาจล่วงรู้ชื่อได้เพราะมีมนต์มาบดบังไว้ก็ต้องการให้อกาธาทำให้เขาเป็นหนึ่งในเหล่าแม่มด เท่ากับว่าตอนนี้มีคณะเดินทาง 2 คนที่ต่างไม่มีพลังแม่มดทั้งคู่ แล้วจะผ่านอุปสรรคเส้นทางในตำนานได้อย่างไร
อกาธาต้องไปรวมทีมแม่มดที่ถนัดทักษะต่างกันมาร่วมกันพิชิตเส้นทางแม่มด อันได้แก่ นักทำนาย นักปรุงยา อารักขา ที่ต่างมีปัญหาข้อบกพร่องของตนเอง แต่มันก็ไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะชื่อเสียงฉาวโฉ่ของอกาธาทำเอาแม่มดต่าง ๆ ส่ายหน้าหนี แถมในเวลาเดียวกันตำรวจเอฟบีไอสาวก็เผยตัวว่าคือแม่มดเขียวที่ประสงค์ในการสังหารอกาธาเช่นเดียวกับแก๊ง 7 แม่มดแห่งซาเลมที่เคยลงโทษอกาธาเมื่อหลายร้อยปีก่อน ที่กำลังไล่ล่าเธอด้วยรูปลักษณ์ของสัตว์ต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน เรียกว่าอกาธาต้องรับศึกหลายทางทีเดียว เธอต้องใช้ความฉลาดเฉลียว วาทะป่วนประสาท และลูกกระจ๊อกหนุ่มคนใหม่ของเธอในการบังคับแกมขอร้องแม่มดอื่นมาร่วมทีม
นี่อาจนับเป็นซีรีส์ของมาร์เวลที่สำรวจจักรวาลเวทมนตร์อย่างจริงจังเรื่องที่ 2 โดยยังคงนำฐานสังคมของแม่มดที่เกี่ยวพันกับตัวละครดังอย่าง วันดา หรือสการ์เลตวิตช์ ที่มาร์เวลยังไม่ได้เล่ามากนักมาใช้ และยังคงเป็น ฌาก เชฟเฟอร์ (Jac Schaeffer) ที่สร้างสรรค์ซีรีส์ ‘WandaVision’ ได้อย่างหลากสไตล์ในแต่ละตอนจนเป็นที่กล่าวขวัญกลับมาสานต่อเรื่องราว และเธอก็ใช้รูปแบบความวายป่วนของสไตล์ ทั้งหนังซิตคอม หนังสอบสวนบรรยากาศยุโรปตะวันตก (ถึงขนาดตอนแรกใช้ว่าอิงจากซีรีส์เดนมาร์กเรื่อง ‘วันดาวิสดิเซน’ กันเลยทีเดียว) หรือหนังทีวีขาวดำมาใช้ปนเปกันในตอนเปิดตัวได้อย่างน่าทึ่ง และยิ่งเรื่องราวเข้าสู่การพิชิตทางเดินแม่มดแล้วก็เปิดโอกาสในการสร้างด่านแต่ละด่านที่ครีเอตไอเดียได้สุด ๆ
และแน่นอนซีรีส์ก็พึ่งพาทักษะการแสดงของ แคธริน ฮาห์น (Kathryn Hahn) ที่เธอสามารถปรับไปได้หลายโหมดในบทของอกาธา ทั้งตอนเป็นนักสืบห่าม ๆ อมทุกข์และจริงจัง (Agnes of Westview) ที่ตั้งใจจะล้อเลียนซีรีส์ ‘Mare of Easttown’ (2021) ของค่าย HBO ที่ เคต วินสเลต (Kate Winslet) เคยแสดง แล้วก็พลิกมาเล่นสไตล์ซิตคอมที่ต้องแอ็กติงใหญ่ ๆ ตลก ๆ ฮาห์นก็ทำให้เชื่อในบทบาทของเธอได้ตลอด จนทำให้อกาธากลายเป็นตัวร้ายที่ทั้งน่ารักและน่าชัง ช่วยเดินเรื่องได้น่าสนใจไม่แพ้ตอนซีรีส์ ‘Loki’ ของ ทอม ฮิดเดิลสตัน (Tom Hiddleston) เคยทำไว้เลยทีเดียว ยิ่งช่วงท้ายของซีซันและตอนสุดท้ายนี่คือสุดยอดมาก
และแม้จะมองว่าตัวละครอื่นไม่ได้เด่นนักในแง่การแสดง แต่ก็เพราะบทในช่วงแรกจงใจซ่อนพวกเขาหรือเธอเอาไว้ ยิ่งซีรีส์ดำเนินไปมากขึ้นจนถึงครึ่งหลัง เราจะยิ่งประทับใจกับการแสดงมากขึ้น โดยเฉพาะ แพตติ ลูพอน (Patti LuPone) เจ้าแม่สายละครเวทีที่ต้องมารับบทหมอดูที่ดูหลุด ๆ เอ๋อ ๆ แต่พอเรื่องราวมาเฉลยปมของเธอมันก็ต่อจิ๊กซอว์ได้เห็นถึงความอัจฉริยะในการเล่าเรื่องของคนเขียนบทและการแสดงที่ต้องใช้ความเข้าใจในตัวละครอย่างสูงทีเดียว เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นกับตัวละครอื่น ๆ อย่าง อกาธา และวัยรุ่นปริศนา เช่นกัน
เชฟเฟอร์ยังคงวางแต่ละตอนให้มีสไตล์ของหนังที่ต่างกัน เราจะได้เจอแต่ละด่านของเส้นทางแม่มดที่มีความแปลกประหลาด เป็นหนังสยองขวัญยุค 80 บ้าง เป็นซีรีส์ซิตคอมบ้าง เป็นแนวไซไฟอนาคตบ้าง และอีกหลายสไตล์ อย่างที่ซีรีส์ ‘WandaVision’ เคยทำให้เราทึ่งมาแล้ว นั่นคือความน่าดึงดูดใจให้เรากลับมาเฝ้ารอตอนใหม่ของซีรีส์เสมอว่าสัปดาห์นี้จะเล่าแบบไหน
นอกจากด่านการพิสูจน์ตนแล้ว ปมของตัวละครแต่ละคนก็จะได้ถูกเปิดเผยและนำมาสู่การสร้างพัฒนาการของแต่ละตัวได้อย่างน่าสนใจด้วย แม่มดแต่ละคนกำลังตกอับด้วยสาเหตุต่างกัน รวมถึงเด็กหนุ่มปริศนาที่ไม่อาจจะรู้ชื่อของเขาได้ในตอนแรก ซึ่งแสดงโดย โจ ล็อก (Joe Locke) ที่ปมชื่อของเขาน่าจะเป็นเซอร์ไพรส์ในแง่ตัวละครสำหรับแฟนมาร์เวลเลยด้วย ซึ่งต้องบอกว่ามันเป็นการวางแผนการยาวสำหรับตัวละครนี้กับมาร์เวลที่น่าสนใจเลยทีเดียว ทั้งปมปริศนาเหล่านี้ก็ทำให้เรื่องราวมันยิ่งน่าติดตามไปจนจบ
และหากมองถึงด้านคุณภาพการเล่าเรื่องและโปรดักชัน ในช่วงแรกของซีรีส์ก็ต้องบอกว่ามันยังไม่ได้ปล่อยของอะไรมากมายนัก อาจจะว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงแต่ด้อยกว่าซีรีส์ ‘WandaVision’ นิดหน่อยก็ได้ และยังมีจุดที่น่ากังขาอยู่หลายจุด อย่างคอสตูมกับภาพลักษณ์ของตัวละครต่าง ๆ ยังดูหลุดโลกหรืออยู่ในรายการเด็กมากไปหน่อย กว่าจะดูจริงจังไม่เป็นละครโรงเรียนก็ต้องไปเกือบปลายเส้นทางแม่มดแล้ว และถ้าพูดถึงความผิดคาดผิดหวังใหญ่ก็คงเป็นการนำเสนอเหล่าแม่มดแห่งซาเลมที่ชงมาอย่างเข้ม แต่ก็ถูกเอามาใช้จริงได้น่าเสียดาย
แต่ที่ต้องชื่นชมหนัก ๆ อีกเรื่องสำหรับคอหนังชาวไทยคือรอบนี้ Disney+ Hotstar เขาจัดเต็มเรื่องงานพากย์ดีจริง ๆ เพราะตรงไหนที่เป็นร้องเพลงก็แปลงเนื้อแล้วร้องได้รสชาติเดียวกับต้นฉบับเลย แล้วไม่ใช่แค่ในเนื้อเรื่องด้วย แม้แต่ฉากอินโทรแต่ละตอนก็ยังมีเพลงร้องไทยอีก สุดยอดจริง ใครชอบดูพากย์ไทยจัดได้เลย นี่คืออีกซีรีส์มาร์เวลที่ทำถึงทำดี แบบโคตรน่าจดจำ ยิ่ง 3 ตอนสุดท้ายนี่แทบจะลุกยืนปรบมือให้ทีมสร้าง