[รีวิว] Megalopolis: นคราคอปโปลา ปรัมปราอาเพศ
Our score
5.2

Release Date

26/09/2024

แนว

ดราม่า/ไซไฟ

ความยาว

2.18 ช.ม. (138 นาที)

เรตผู้ชม

R

ผู้กำกับ

ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา (Francis Ford Coppola)

[รีวิว] Megalopolis: นคราคอปโปลา ปรัมปราอาเพศ
Our score
5.2

Megalopolis | นคราอาเพศ

จุดเด่น

  1. งานด้านภาพที่เต็มไปด้วยพลังและอลังการ เหมาะที่จะดูในโรงหนัง
  2. สารที่ตัวหนังใส่ไว้เกี่ยวกับอนาคต ความเป็นมนุษย์ และประเด็นการเมืองที่้เข้มข้น

จุดสังเกต

  1. การตัดต่อ วิชวลอันวุ่นวายสับสนจนบดบัง Message และเส้นเรื่องของหนังไปจนเกือบหมด
  2. งานโปรดักชันยิ่งใหญ่ แต่สุดท้ายมาพลาดกับงานกรีนสกรีนที่ทำออกมาได้ไม่เรียบร้อยเลย
  3. แอบเสียดายการแสดงของนักแสดงหลายคนที่ไม่ได้โชว์พลัง แต่มีนักแสดงบางคนกลับโชว์มากเกินไปจนน่ารำคาญ
  4. เป็นหนังที่เหมาะกับจอใหญ๋ แต่ก็เข้าถึงยากจนไม่รู้ว่าจะเหมาะกับใคร
  • คุณภาพด้านการแสดง

    4.5

  • คุณภาพโปรดักชัน

    7.9

  • คุณภาพของบทภาพยนตร์

    5.1

  • ความบันเทิง

    4.3

  • ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม

    4.4


Major Cineplex logo
สนับสนุนโดย Major Cineplex

ไม่ว่าคุณจะรู้จักหรือไม่รู้จัก เคยดูหรือไม่เคยดูผลงานหนังของผู้กำกับชั้นครูอย่าง ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา (Francis Ford Coppola) ใครที่ติดตามข่าวหนังก็คงน่าจะได้ยินข่าวความอาเพศของภาพยนตร์ไซไฟเรื่องล่าสุดที่มีชื่อว่า ‘Megalopolis’ โปรเจกต์ในฝันอายุ 40 ปีที่เขามีไอเดียมาตั้งแต่หลังกำกับ ‘Apocalypse Now’ (1979) เสร็จหมาด ๆ แต่ด้วยงานสร้างที่ทะเยอทะยาน บทก็เลยอยู่ในสถานะรอไปแก้ไป (ว่ากันว่าถูกแก้ไปแล้ว 300 ดราฟต์) จนเมื่อถึงเวลาหยิบโปรเจกต์นี้มาปัดฝุ่น ก็แทบไม่มีสตูดิโอไหนกล้าทุ่มทุนให้สร้างเลย คอปโปลาก็เลยตัดสินใจควักเงินส่วนตัว รวมทั้งเงินที่ได้จากการขายโรงกลั่นไวน์ของตัวเอง กำเงิน 200 ล้านเหรียญมาเนรมิตนคราด้วยตัวเอง เช่นเดียวกับตอนที่เขาและบริษัทอเมริกันโซโทรป (American Zoetrope) เคยควักเงินตัวเองทำหนังมิวสิคัล ‘One From the Heart’ (1982) มาแล้ว

แต่อาเพศมันยังไม่หมดแค่นั้นครับ เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า ระหว่างถ่ายทำ หนังเรื่องนี้ก็มีปัญหามาโดยตลอด พอจะเริ่มถ่ายทำ ก็ต้องเจอวิบากกรรม 9/11 ไปอีก กว่าจะได้เริ่มถ่ายทำจริง ๆ ก็ปี 2022 แล้ว ในระหว่างนั้นก็มีรายงานถึงความเอาแต่ใจของคอปโปลาทั้งในฐานะผู้กำกับ เขียนบท โปรดิวเซอร์ แถมยังเป็นเจ้าของเงินตัวเอง ตั้งแต่การที่ทีมงานไล่ออกและลาออกเพราะต้องการใช้เทคนิคการถ่ายทำแบบดั้งเดิมบ้างละ ข่าวฉาวเกี่ยวกับการกอดจูบนักแสดงประกอบบ้างละ แถมพอหนังเสร็จก็ไม่มีสตูดิโอไหนกล้าซื้อไปจัดจำหน่าย พอหนังเข้าฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 77 (The 77th annual Cannes Film Festival) คำวิจารณ์ก็ออกมาเสียงแตกอีก ยังดีที่ค่าย Lionsgate ตัดสินใจซื้อไปจัดจำหน่ายในที่สุด

Megalopolis 2024 American Zoetrope Lionsgate

‘Megalopolis’ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นใน นิวโรม (New Rome) มหานครในจินตนาการบนผืนแผ่นดินอเมริกา ที่กำลังตกอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม ซีซาร์ คาทิลินา (อดัม ไดร์เวอร์ – Adam Driver) สถาปนิกนักออกแบบเมืองผู้มีอุดมคติแรงกล้า และความสามารถในการควบคุมเวลา ต้องการที่จะรื้อและสร้างนิวโรมที่ทุกคนอยู่กันอย่างยั่งยืน ด้วยวัสดุชนิดใหม่ที่เรียกว่าเมกาลอน (Megalon) ที่เขาคิดค้นขึ้น แต่เขาต้องเผชิญกับแรงเสียดทานของนายกเทศมนตรีแฟรงคลิน ซิเซโร (จิอันคาร์โล เอสโปซิโต – Giancarlo Esposito) ที่มีแนวคิดต้องการรักษานิวโรม และกดโครงสร้างทางสังคมเอาไว้ให้เป็นเหมือนเดิม ในขณะที่ลูกสาวของเขา จูเลีย ซิเซโร (นาตาลี เอ็มมานูเอล – Nathalie Emmanuel) เองก็ต้องการพิสูจน์ว่าเมืองในฝันของซีซาร์จะกลายเป็นจริงได้หรือไม่ ท่ามกลางอุปสรรคที่ไม่ได้มาจากแค่พ่อของเธอ แต่ยังมีญาติห่าง ๆ คลอดิโอ พูลเชอร์ (ไชอา ลาบัฟ – Shia LaBeouf) และอดีตคนรัก ว้าว แพลตินัม (ออเบรย์ พลาซา – Aubrey Plaza) คอยขัดขวาง

แม้ว่าในหนังจะไม่ได้บ่งบอกอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ค่อนข้างชัดเจนว่าคอปโปลาน่าจะได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ The Catilinarian Conspiracy หรือแผนสมคบคิดของลูเซียส เซอร์จิอุส คาทิลินา (Lucius Sergius Catilina) ที่ก่อการกบฏเพื่อยึดอำนาจอาณาจักรโรมันในช่วง 63 ปีก่อนคริสตกาล ที่ชัดเจนก็คือ ตัวละครตระกูลคาทิลินา และตระกูลซิเซโรที่อยู่ในหนัง ก็อ้างอิงมาจากชื่อของศัตรูคู่แข่งในเหตุการณ์นี้นี่แหละ แต่ก็คงไม่ถึงต้องไปตามหาอ่านก่อนดูอะไรขนาดนั้นนะครับ เพียงแต่ว่าตัวหนังหยิบเอาเรื่องราวของการขัดกันในอุดมการณ์ และชื่อบุคคลมาใช้ในนิวโรม หรือกรุงโรมที่ถูกดัดแปลงให้มีความเป็นอเมริกันแบบ Modernized มาผสมเข้าความเป็นไซไฟแฟนตาซีมากกว่า

Megalopolis 2024 American Zoetrope Lionsgate

คือไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ ผู้เขียนก็ยังรู้สึกได้ถึงความบ้าพลังของคุณคอปโปลาเขานะครับ เพราะในวัย 85 กะรัดขนาดนี้ คงมีผู้กำกับไม่มากคนเลยที่จะกล้าลุกขึ้นมาทำอะไรใหญ่ ๆ ที่ผลาญทั้งเงิน เวลา ทรัพยากร แรงกายแรงใจ และเต็มไปด้วยแรงทะเยอทะยานมากขนาดนี้ เป็นงานที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานที่สะท้อนผ่านตัวหนัง และการเล่าเรื่องที่มีความเป็นนิทานปรัมปรา ละครเวทีสไตล์โรมันแต่งสูท ในขณะเดียวกันมันก็มีความเป็นหนังไซไฟแฟนตาซี ทะลุขอบไปจนถึงการเป็นหนังอาร์ตเฮาส์และหนังทดลองไปเลยก็มี เรียกว่าไม่ประณีประนอมจนดูรู้เลยว่าปู่เค้าคงไม่มานั่งเครียดเรื่องกำรี้กำไรกับหนังเรื่องนี้แล้วละมั้งนะ (และอีกอย่างคือ หนังสเกลนี้กับผู้กำกับวัยนี้ คงไม่น่าจะทำได้บ่อย ๆ นักหรอก)

อีกสิ่งที่น่าพูดถึงก็คือบรรดาวิชวล ไม่ว่าจะในแง่ขององค์ประกอบภาพ การตัดต่อ เชื่อมและเว้นจังหวะของภาพที่มีความน่าสนใจ การใส่ Superimpose หรือตัวหนังสือเพื่อเล่าเรื่อง หรือการ Dissolve ภาพในแบบหนังของคอปโปลาหลาย ๆ เรื่อง รวมทั้ง Art Direction ที่เป็นการรวมเอาวิชวลของความเป็นอเมริกันยุค 1920 สถาปัตยกรรมแบบ Art Deco เข้ากับศิลปะสไตล์กรีกโรมันที่สะท้อนผ่านเสื้อผ้าหน้าผม การคุมโทนสี การจัดแสง เสียง องค์ประกอบภาพ และงานดีไซน์เมืองนิวโรมที่ล้ำอนาคตมาก ๆ แต่ก็ยังมีเรื่องที่น่าบ่นก็คือ แม้งาน CGI และวิชวลโดยรวมจะทำออกมาได้สวยตื่นตาอลังการจนต้องดูกับจอใหญ่ แต่บางฉากก็กลับดันพลาดให้กับงาน Green Screen ง่าย ๆ ที่ดันทำออกมาได้ลอยจนน่าเกลียดเสียอย่างนั้น

Megalopolis 2024 American Zoetrope Lionsgate

แม้ว่าเราจะรู้ว่าคอปโปลามีเจตนาอันดีที่ต้องการจะสื่อสารหลากหลายประเด็น (ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ แล้วก็เชยแหละ) แต่มันก็มีอะไรที่น่าสนใจอยู่ ทั้งการเล่าเรื่องของสัจธรรมเกี่ยวกับเวลาและความไม่จีรังยั่งยืน การล่มสลายและกำเนิดใหม่ของอารยธรรม ปมการฆาตกรรมที่ทำให้แม้แต่คนที่มีหัวคิดก้าวไกลอย่างซีซาร์ยังก้าวข้ามอดีตของตัวเองไปไม่พ้น ความขัดแย้งของคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ แนวคิดโลกเก่าและแนวคิดโลกใหม่ เมืองกับความเป็นยูโทเปียและดิสโทเปีย ความรักที่ขับเคลื่อนแรงบันดาลใจ ความเกลียดชังที่แผดเผาทุกสิ่งรวมถึงตัวผู้ที่เกลียดชังนั้น รวมทั้งประเด็นเกี่ยวกับความขัดแย้งในการเมืองที่สะท้อนภาพประวัติศาสตร์โลกอย่างชัดแจ้ง ตั้งแต่สงครามโลก, สงครามเย็น โลกเสรีและสังคมนิยม เรื่อยไปจนถึงเหตุการณ์ 9/11 จากคนรุ่นเก่าตกผลึกที่ฝากเอาไว้ให้คนรุ่นหลัง และคนรุ่นอนาคตได้คิดต่อ

แต่พอมันมีความเป็นงานส่วนตัวมาก ๆ คือนอกจากตัวหนังจะโหมระดมวิชวลอันแสนพิศดาร ไม่ว่าจะบรรดางานวิชวลอันตื่นตา การตัดต่ออันหวือหวาโหวกเหวกวุ่นวาย การเล่าเส้นเรื่องอันพร่ามัวชวนสับสน และการแสดงของนักแสดงที่เต็มไปด้วยความแปลกแปร่ง มันก็เลยเป็นหนังที่ดูไม่ง่าย โดยเฉพาะครึ่งแรกที่พาคนดูเหวี่ยงผ่านการแสดงอันอึงอล และนามธรรมที่ยากจะเชื่อมโยงกับเรื่องราว ค่อย ๆ ผลักให้คนดูถอยห่างจากตัวหนังออกไปเรื่อย ๆ กว่าที่หนังจะนิ่งพอให้โฟกัสประเด็น (การเมือง) และเนื้อเรื่อง (การมุ้ง) ได้ก็ต้องรอครึ่งหลังที่มีความเข้ารูปเข้ารอยมากกว่าเป็นต้นไป จนแอบอดคิดไม่ได้ว่า หากถอดเปลือกอันหวือหวาออกไป เราอาจจะได้หนังดราม่าการเมือง (ผสมการมุ้ง) ที่สะท้อนประเด็นเกี่ยวกับสังคม ความเป็นมนุษย์ และความเป็นอนิจจังที่หนังต้องการจะสื่อ เข้าไปถึงคนหมู่มากได้ดีกว่านี้หรือเปล่านะ

Megalopolis 2024 American Zoetrope Lionsgate

อีกจุดที่ตัวหนังแอบทำได้ไม่ค่อยคุ้มค่านักก็คือการใช้บริการนักแสดงจำนวนมาก เอาแค่ที่คุ้นชื่อก็เกินนิ้วนับแล้ว คือแม้ว่าการแสดงของนักแสดงแกนหลักของหนังทั้งไดร์เวอร์, เอ็มมานูเอล และเอสโปซิโตจะอยู่ในระดับที่เรียกว่าได้ตามมาตรฐานและช่วยกันประคับประคองหนังได้ในระดับหนึ่ง แต่ความโหวกเหวกของบท ก็ทำให้การแสดงและคาแรกเตอร์ของพวกเขาเป็นไปอย่างแปลกแปร่งผิดทิศผิดทางไปหมด จะเล่นเล็กแบบหนังก็ไม่ใช่ จะเล่นใหญ่แบบละครเวทีก็ไม่เชิงอีก

ในขณะที่นักแสดงหลาย ๆ คน อาทิ ดัสติน ฮอฟแมน (Dustin Hoffman) ในบท นัช เบอร์แมน หรือแม้แต่น้าลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น (Laurence Fishburne) ที่รับบทเป็น ฟันดิ โรเมน สารถีคู่ใจของซีซาร์ (และผู้บรรยาย) กลับไม่มีบทบาทโดดเด่นอะไรนัก ในทางกลับกัน บทบาทที่ดูจะมีอะไรอยู่ กลับเป็นพลาซาที่ได้โชว์จริตการแสดงอันร้ายกาจ และลาบัฟ ที่แม้ตัวหนังจะทำให้การแสดงของเขาออกมาดูสะเปะสะปะน่ารำคาญมากกว่าโชว์ฝีมือ แต่ก็รู้สึกว่าอีตานี่เหมาะกับบทแนวอัปรีย์สีกบาลอยู่เหมือนกันนะ (55)

Megalopolis 2024 American Zoetrope Lionsgate

แม้ตัวหนังจะสะท้อนถึงความตั้งใจดี เจตนาดี และอย่างน้อย ๆ ในเนื้องานเราก็ได้เห็นพลังของคอปโปลาที่แม้จะเข้าวัย 85 กะรัตแล้ว แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความบ้าพลังสุดเหวี่ยง เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานอย่างที่ผู้กำกับรุ่นใหม่ ๆ บางคนยังไม่มีพลังมากเท่านี้ด้วยซ้ำ รวมทั้ง Message ที่เขาต้องการสื่อสารเองก็มีพลังในตัวเองที่จะส่งให้ผู้ชมเอาเก็บไปคิดต่อได้ รวมทั้งการที่ตัวหนัง (ค่อนข้าง) พิถีพิถันกับงานวิชวลที่เหมาะอย่างยิ่งกับการดูบนจอใหญ่

แต่ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ความเป็นนามธรรม ความเยอะหลากมากสิ่งที่ตัวหนังถาโถมใส่คนดูจนมากเกินพอดีในทุก ๆ องค์ประกอบ มันเลยทำให้หนังกลายเป็นนิทานปรัมปราที่เต็มไปด้วยอาเพศที่เข้ามาบดบังความตั้งใจและเจตนาอันดีเหล่านั้น จนทำให้เรื่องราวและธีมของหนังกลายเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก แต่ผู้เขียนก็แอบหวังลึก ๆ ว่าหนังมันจะพิสูจน์ตัวเองได้เช่นเดียวกับงานในอดีตของคอปโปลา ไม่ว่าจะด้วยตัวมันเอง หรือการตัดต่อใหม่ หรือเวอร์ชัน Director’s Cut อะไรก็ตาม เพียงแต่ว่า ณ ตอนนี้มันเป็นโจทย์ที่ยากจริง ๆ ว่าควรจะแนะนำหนังเรื่องนี้ให้ใครไปดู


Megalopolis 2024 American Zoetrope Lionsgate