Release Date
10/10/2024
แนว
สยองขวัญ/แอ็กชัน
ความยาว
1.50 ช.ม. (110 นาที)
เรตผู้ชม
น 15+
ผู้กำกับ
ทวีวัฒน์ วันทา
Our score
7.8ธี่หยด 2 | Death Whisperer 2
จุดเด่น
- ใช้รากฐานจากภาคแรกมาต่อยอดเป็นหนังแอ็กชันสยองขวัญได้ระทึกและมันมาก ๆ
- จับเอาไสยศาสตร์แบบไทย ๆ มาเสนอในรูปแบบแฟนตาซีได้เร้าใจและดูน่ากลัว
- ณเดชน์คือ MVP ของภาคนี้อย่างชัดเจน พี่แฉะ องอาจ ก็เป็น Sidekick ที่มีความน่าสนใจ
- ในขณะที่น้องนีน่าคือ MVP ด้านฉากสยองขวัญที่เล่นได้เป็นธรรมชาติมาก
- งานภาพ เสียง โปรดักชันทำออกมาได้ดี สมราคารางวัลสุพรรณหงส์
จุดสังเกต
- พล็อตสยองขวัญสูตรสำเร็จที่ค่อนข้างดรอปจากภาคที่แล้วพอสมควร
- ไดอะล็อกบางส่วนที่ยังติดความเป็นละคร แต่นับว่าดีกว่าภาคแรก
- มีตัวละครค่อนข้างเทอะทะมากเกินไป และบางตัวละครดูมีความสำคัญน้อยไปหน่อย
-
คุณภาพด้านการแสดง
7.8
-
คุณภาพโปรดักชัน
7.7
-
คุณภาพของบทภาพยนตร์
7.2
-
ความบันเทิง
7.8
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
8.3
เมื่อปีที่แล้ว ‘ธี่หยด’ (2566) หนังสยองขวัญไทยที่ดัดแปลงจากเรื่องเล่าออนไลน์จากกระทู้พันทิป และหนังสือนิยาย ‘ธี่หยด…แว่วเสียงครวญคลั่ง’ โดย กฤตานนท์ กลายเป็นหนังสยองขวัญไทยที่สร้างปรากฏการณ์ฮิตในบ้านเราแบบชนิดที่เรียกว่าปากต่อปากจนกลายเป็นไวรัล และตัวหนังก็ทำรายได้ในระดับที่เรียกว่าเกินคาด จนสามารถปิดรายได้งาม ๆ ไปที่ 502 ล้านบาท กลายเป็นหนังไทยร้อยล้านอีกเรื่องของปีนั้นไปเลย และแน่นอนว่า ‘ธี่หยด 2’ ก็ตามออกมาติด ๆ แบบไม่ปล่อยให้รอนาน โดยในภาคนี้ยังคงได้ คุ้ย ทวีวัฒน์ วันทา ผู้กำกับจากภาคแรก รวมทั้งนักแสดงชุดเดิม พร้อมด้วยนักแสดงชุดใหม่มาสานต่อบทสรุปเรื่องราวความเฮี้ยนของผีชุดดำกันอีกรอบ
‘ธี่หยด 2’ เล่าเรื่องต่อเนื่องห่างจากภาคแรก 3 ปี หลังจากการตายของแย้ม (รัตนวดี วงศ์ทอง) ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะกลับมาปกติ มีแต่ยักษ์ (ณเดชน์ คูกิมิยะ) พี่ชายคนโตที่ยังคงออกตามล่าผีชุดดำ เพื่อต้องการแก้แค้นให้กับน้องสาวและปกป้องครอบครัวจากการคุกคามของผีร้าย หยาดและจ่าปพันธ์ (องอาจ เจียมเจริญพรกุล) ล่วงรู้เบาะแสว่า ผีชุดดำนั้นถูกเลี้ยงโดยหมอผีลึกลับที่ชื่อว่าตาพวง ซึ่งกบดานอยู่ในดงขโมด ป่าลึกลับที่เต็มไปด้วยอาถรรพ์และอันตรายรอบตัว ในขณะเดียวกัน หยาด (เดนิส เจลีลชา คัปปุน) ก็กำลังจะแต่งงานกับประดิษฐ์ (พีรวิชญ์ อรรถชิตสถาพร) สมาชิกครอบครัวที่กำลังเตรียมงานแต่งงานให้ทั้งคู่จึงรอความหวังว่ายักษ์จะรอดชีวิตกลับมาร่วมงานพิธีมงคลสมรสอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ก่อนที่ผีชุดดำจะกลับมาคุกคามครอบครัวนี้อีกครั้ง
ภาคนี้เป็นเรื่องราวที่ได้แรงบันดาลใจจากตัวละคร รวมทั้งการดัดแปลงโครงเรื่องบางส่วนจาก ‘ธี่หยด…สิ้นเสียงครวญคลั่ง’ นิยายภาคจบที่หยิบเอาเรื่องราวของลุงยักษ์มาขยายเป็นตัวละครหลักในภาคนี้ รวมเข้ากับตำนานปอบตาพวง ที่เคยถูกบันทึกเอาไว้ในหนังสือวชิรญาณวิเศษ เล่มที่ 8 แผ่นที่ 10 ซึ่งถือเป็นเอกสารชิ้นแรกของสยามที่มีการบันทึกเรื่องราวตำนานของปอบตาพวง หรือผีปอบแห่งเมืองอุตรดิตถ์ ที่ถูกนำมาดัดแปลงด้วยการเพิ่มเรื่องราวเชิงประวัติศาสตร์ และดัดแปลงให้กลายเป็นคาแรกเตอร์จอมขมังเวทย์ที่มีแบ็กกราวนด์เชื่อมโยงกับผีชุดดำ รวมเข้ากับเรื่องราวการออกผจญภัยไล่ล่าตาพวงและผีชุดดำ
ถ้าภาคแรกคือหนังสยองขวัญที่ขับเคลื่อนด้วยความน่ากลัวของผีชุดดำ ฉากโหดเสียวสันหลัง การดีไซน์เสียงคำว่า ‘ธี่หยด’ และเพลง “โปรดเถิดดวงใจ” ของ ทูล ทองใจ ที่กลายเป็นความหลอนหลังดูหนังจบ รวมทั้งเหตุการณ์และเส้นเรื่องที่คิดมาเพื่อเล่นกับโลเคชันบ้านของครอบครัวใน จ. กาญจนบุรี (และทำให้บ้านเหมือนเป็นตัวละครตัวหนึ่งไปด้วยโดยปริยาย) ส่วนภาคนี้มีความแตกต่างด้วยการขยายเรี่องราวออกไปผจญภัยนอกสถานที่มากขึ้น ตัวหนังก็เลยมีส่วนผสมของหนัง Action-Horror ที่ผสมกลิ่นความเป็นหนังผจญภัยในป่าอาถรรพ์เร้นลับที่แอบชวนให้นึกถึง ‘The Mummy’ (1999) หรือนิยาย ‘เพชรพระอุมา’ ในขณะที่โลเคชันโรงแรมก็ชวนให้นึกถึงบรรยากาศโรงแรมผีแบบ ‘The Shining’ (1980) ที่มีบรรยากาศแตกต่างออกไปจากภาคแรกมากพอสมควร
และมันก็ทำให้ภาคนี้กลายเป็น ‘ภาคแห่งการแก้แค้น’ ของพี่ยักษ์อย่างแท้จริงเลยครับ และเรียกว่าเปลี่ยนกันตั้งแต่วินาทีแรกของหนังด้วย เพราะเปิดมาเราก็จะได้เห็นพี่ยักษ์ในมาดของ แอช วิลเลียมส์ ใน ‘Evil Dead’ ที่ไม่ได้มีดีแค่ปืนลูกซองบรรจุลูกปืนพิสมร แต่เราจะได้เห็นณเดชน์ออกมาซัดผี คือซัดแบบประเคนหมัดเท้าเข่าศอกแบบไม่มียั้ง แถมอีกอย่างที่ตัวหนังขยายจากภาคแรกแล้วเอามาใช้ในภาคนี้ได้เต็มเบอร์ก็คือการดีไซน์ให้ผีพูดได้ แถมพ่วงด้วยคาแรกเตอร์พี่ยักษ์ที่แสนจะปากจัด ก็เลยทำให้เราได้เห็นพี่ยักษ์ออกมายืนด่าผีกันโต้ง ๆ เป็นอะไรเวรี่เซอร์เรียลแต่โคตรมัน
แล้วอีกอย่างที่ผู้เขียนทึ่งก็คือ แม้บรรยากาศมันจะเต็มไปด้วยความสยองเดือด ๆ ผู้กำกับก็ยังอุตส่าห์แทรกมุกจังหวะนรกผิดที่ผิดเวลา แต่ถูกจังหวะเอาไว้เรียกเสียงฮาตูมใหญ่ได้อีกต่างหาก เอากับเขาสิ แต่พาร์ตผีในโรงแรมนี่ก็เรียกได้ว่าค่อนข้างกลับไปใช้แนวทางสยองแบบซีเรียสค่อนข้างเยอะเหมือนกัน โดยเฉพาะฉากของแม่เย็น หยาด และน้องยี่ที่ลุ้นหลังเกร็งเหมือนกัน ก่อนจะเจอกับจุดไคลแม็กซ์ที่กลับมาเป็น Action-Horror โดยเฉพาะช่วง 30 นาทีสุดท้ายนี่คือแบบว่านรกแตกสลัด ๆ เป็นการสู้ผีที่สะใจโคตร ๆ แต่ก็ยังมีพาร์ตดราม่าซึ้ง ๆ เกี่ยวกับครอบครัวเข้ามาแทรกอารมณ์ด้วยนิดหน่อย
อีกจุดที่ผู้เขียนชอบและดีไซน์ออกมาได้มันมาก ๆ ก็คือ การหยิบเอาความเป็นไสยศาสตร์ที่แทรกไว้เล็ก ๆ ในภาคแรก มาขยายเป็นพล็อตแฟนตาซีแบบไทย ๆ ตั้งแต่ตำนานผีสางนางไม้ เจ้าป่าเจ้าเขา รวมทั้งการเล่นกับไอเทมของขลังแบบไทย ๆ ที่ถูกนำมาใช้เป็นอาวุธกำราบผี จำพวกน้ำมนต์ ตะกรุด ง้วนดิน ฯลฯ ได้อย่างสนุกมือและเจ๋งมาก แถมยังทำออกมาไม่ดูกาวหรืองมงายดีด้วย รวมทั้งการมีจ่าปพันธ์ที่กลับมาทำหน้าที่เป็น Sidekick ให้ข้อมูลด้านไสยศาสตร์ให้กับพี่ยักษ์ ทำให้ตัวหนังเป็นการต่อสู้แนวแอ็กชันแฟนตาซีระหว่างจอมขมังเวทย์และภูติผีปีศาจ รวมถึงความเท่ของพี่ยักษ์ที่มีความเป็นแอนตีฮีโร่ที่ชวนให้นึกถึง จอห์น คอนสแตนติน ใน ‘Constantine’ (2005) อยู่นิด ๆ ด้วยเหมือนกันนะ
ถ้าจะมีข้อสังเกตเกี่ยวกับภาคนี้ แน่นอนว่าพอตัวหนังมันเปลี่ยนทิศทางไปจากภาคแรกอย่างชัดเจน นึกทรงประมาณ ‘Joker’ (2019) ที่เปลี่ยนไปเป็น ‘Joker: Folie à Deux’ อะไรแบบนั้นแหละ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่มันก็ทำให้สิ่งที่เป็นจุดแข็งอย่างความสยองขวัญลดลง จริงอยู่ที่หนังเรื่องนี้รู้มือและรู้ตัวว่าต้องการจะหยอดอรรถรสใหม่ ส่วนผสมใหม่ลงไปในหนังเพื่อไม่ให้ซ้ำทางกับภาคแรกมากเกินไป
สิ่งที่เกิดขึ้นในภาคนี้ก็คือ แนวทางความสยองขวัญที่ค่อนข้างลดลงระดับหนึ่ง มันเป็นหนังที่ใช้สูตรความสยองขวัญ และการเน้นจังหวะ Jump Scare ที่ดูเล่นท่าง่ายกว่าภาคแรกที่ดูมีการครีเอตมากกว่า รวมทั้งปัญหาเรื้อรังมาที่มีมาตั้งแต่ภาคแรกจนถึงภาคนี้ ทั้งการมีตัวละครที่ดูเยอะเกินไปจนทำให้ไดอะล็อกและเรื่องราวดูเทอะทะ หลายตัวละครที่ดูน่าจะมีบทบาทก็มาเร็วไปเร็วมาก (เพราะต้องพึ่งพาการเขียนบทเพื่อ ‘ลีน’ ออกไปทีหลัง) รวมทั้งไดอะล็อกบางช่วงของบางตัวละครที่ยังดูมีความเป็นละคร ๆ อยู่ แต่ยังดีที่ภาคนี้ปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิมจากภาคแรกมากพอสมควรแล้วล่ะ
ในพาร์ตการแสดง ด้วยความที่ภาคนี้คือ ‘The พี่ยักษ์ Strike Back’ คนที่มีบทบาทที่สุดในภาคนี้ก็คงหนีไม่พ้น ณเดชน์ คูกิมิยะ ที่ต่อให้เป็นผู้ชายก็อยากชมว่าเท่โคตร ๆ ครับ เป็นพี่ยักษ์ที่ทั้งหล่อ ทั้งปากจัด รักครอบครัว แถมยังเก่งในทางบู๊จนอยากเชียร์ให้แบร์รีได้เล่นหนังแอ็กชันอีกเยอะ ๆ เลย ส่วนตัวละครที่กลับมาอย่างเซอร์ไพรส์ก็คือ พี่แฉะ องอาจ ในบทจ่าปพันธ์ ที่กลายเป็น Sidekick เป็นคู่หูสู้ผีกับพี่ยักษ์ไปเรียบร้อย และอีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือน้องยี่ ที่รับบทโดยน้องนีน่า ที่ต้องรับบททั้งผีเข้า ทั้งโดนผีหลอกได้ออกมาเป็นธรรมชาติมาก ๆ สมแล้วล่ะที่เป็นสาวน้อยมหัศจรรย์แห่งยุค
อีกจุดที่ตัวหนังทำได้ดีขึ้นอย่างชัดเจนก็คือเรื่องของการดีไซน์งานด้านภาพที่เรียกว่าแปลกตาไปจากหนังผีไทยทั่วไป หรือแม้แต่ภาคแรกอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ รวมถึงจุดที่ถือว่าอัปเกรดได้ดีขึ้นกว่าภาคแรกอย่างเห็นได้ชัดก็คือการมิกซ์เสียง ทั้งบรรดาเพลงสกอร์ที่ทำออกมาได้หลอนแตก รวมทั้งเสียงบรรยากาศ เสียงปืนของพี่ยักษ์ที่ดังชัดออกมาเป็นลูก ๆ จะดูระบบปกติก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าจะไปให้สุดก็คงต้องไปดูระบบ IMAX เลยครับ เพราะเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่ถ่ายทำด้วยสัดส่วนภาพพิเศษสเกล 1.90:1 ทั้งเรื่อง ได้ภาพที่เต็มตากว่าระบบปกติ 26% และยังเป็นหนังไทยเรื่องเดียวที่อัปเกรดระบบการมิกซ์เสียงรอบทิศทาง 12 Channel เข้าไปอีก คือระบบปกติก็ว่าโคตรลั่นแล้วนะ ไม่ต้องพูดเลยว่าปืนพี่ยักษ์ใน IMAX นี่จะลั่นกว่าขนาดไหน
โดยรวม ๆ มันไม่ได้เป็นหนังไทยที่ขายความสดใหม่ในด้านพล็อต การนำเสนอ หรือขายความสมบูรณ์แบบหมดจดอะไรขนาดนั้นหรอกครับ จะว่าไปแล้วมันก็คือการเอา Branding ความเป็นธี่หยด และคาแรกเตอร์พี่ยักษ์มาย้ำเน้นให้แข็งแรงขึ้น อะไรที่ภาคแรกทำได้ดีก็รักษาไว้ ส่วนอันไหนที่จับจุดได้ว่าคนอยากจะเห็นก็เอาจุดเด่นตรงนั้นมาชูขายเลย และมันก็ดูจะค่อนข้างได้ผลด้วย มันเป็นหนังที่สามารถเสิร์ฟความบันเทิงทั้งสยอง มัน ฮา ดราม่าได้อย่างครบรสและทำถึงอย่างที่หาได้ยากในหนังสยองขวัญไทยยุคนี้ เป็นหนังแอ็กชันสยองขวัญที่งัดผีกันแบบนรกแตก ลูกซองกระสุนพิสมรแตกได้อย่างสะใจสะอารมณ์ตั้งแต่นัดแรกจนถึงนัดสุดท้าย ก็จะไม่แปลกใจเลยหากภาคนี้จะเก็บรายได้ผ่านร้อยล้านอีกภาค และดูเหมือนว่าพอจะมีศักยภาพในการขยายออกมาเป็นจักรวาลหนังได้ซะด้วยสิ