Release Date
26/12/2024
ความยาว
7 ตอน ตอนละประมาณ 50 นาที
Our score
8.5Squid Game ซีซัน 2
จุดเด่น
- การเล่าเรื่องหลายเส้นเรื่องดูเสถียรขึ้นกว่าเดิม
- นักแสดงทั้งหลักและรับเชิญถูกให้พื้นที่การจดจำที่ดี
- คุมมู้ดกับโทนให้ดูจริงจังสมจริงขึ้น อินได้ง่ายกว่าซีซันก่อนที่แฟนตาซีหน่อย ๆ
จุดสังเกต
- การใช้งานดราม่าอาจยังไม่พีกเท่าซีซันแรก เพราะเน้นการหลอกล่อและสร้างพัฒนาการตัวละครมากกว่า น่าจะไปเข้มจริง ๆ ซีซันถัดไป
- โปรดักชันอาจดุดรอปลงเล็กน้อยเนื่องจากยังเป็นการนำเสนอเกมครึ่งแรกที่อลังการน้อยกว่าที่ควรอยู่แล้ว
- แม้บทจะค่อนข้างเก็บจุดโหว่ได้ดี แต่บางช่วงก็ยังต้องการคำอธิบายดี ๆ อีกนิดเช่นกัน
-
บท
8.5
-
โปรดักชัน
7.5
-
การแสดง
8.0
-
ความสนุกตามแนวหนัง
8.5
-
ความคุ้มค่าการรับชม
9.0
เรื่องย่อ: ซองกีฮุน ผู้ชนะจากเกมรอบก่อน ตัดสินใจใช้เงินทั้งหมดเพื่อตามล่าเหล่าคนในหน้าปริศนาเพื่อหยุดเกมนรก ทว่าในการเข้าร่วมครั้งใหม่นี้ ประสบการณ์ในรอบก่อนของกีฮุนอาจไม่ช่วยให้เขาเป็นผู้คุมเกมอย่างที่เขาคิด
‘Squid Game’ กลายเป็นคอนเทนต์เรือธงระดับโกลบอลของเน็ตฟลิกซ์ไปแบบเหนือความหมายในปี 2021 และทำให้ผู้กำกับ ฮวังดงฮยอก (Hwang Dong-hyuk) เป็นที่รู้จัก เช่นเดียวกับทีมนักแสดงโดยเฉพาะ อีจุงแจ (Lee Jung-jae) ที่กลายมาเป็นนักแสดงระดับที่ฮอลลีวูดอยากร่วมงานไปโดยปริยาย โดยส่วนตัวมองว่าในซีซันแรกนั้นแม้จะมีจุดดีหลายอย่าง ทั้งเกมการเล่นที่แปลกตาเพราะใช้การละเล่นเด็กของเกาหลีมาใช้ พาร์ทดราม่าที่ใช้ตัวละครแต่ละตัวได้คุ้มค่า และงานโปรดักชันที่ทำค่อนข้างถึง ทว่าการเล่าเรื่องในสเกลที่ใหญ่ยังมีปัญหา มีตัวละครประกอบหลายร้อยคน มีเส้นเรื่องที่พยายามโยงหลายทางทั้งฝั่งผู้เล่นที่แบ่งก๊กแบ่งฝ่าย กลุ่มผู้คุมเกมที่มีธุรกิจค้าอวัยวะเถื่อนแอบแฝงซ่อนเร้น ตำรวจที่แผงตัวเข้ามาสืบคดี จนทำให้การเล่าเรื่องถูกดึงเป๋ไปเป๋มาและรู้สึกขาดความกลมกล่อมต่อเนื่องเป็นเนื้อเดียวกันนัก
แต่ในซีซันที่ 2 นี้ (และอาจนับรวมภาค 3 ที่จะเป็นตอนจบของเรื่องราว) ผู้กำกับฮวังดงฮยอกได้เวลาคิดโจทย์การเล่าเรื่องที่ชัดเจนขึ้น คือเล่าผ่านสายตาหลักของกีฮุนที่ต้องการยับยั้งเกม กลายเป็นจุดสนใจหลักที่กินเนื้อหาส่วนใหญ่ของเรื่องทำให้ผู้ชมมีโฟกัสที่ง่ายในการตามเรื่อง ทั้งนี้ความน่าสนใจคือเรื่องราวในซีซันนี้เราจะเห็นการเดินทางทางความคิดและพัฒนาการของตัวละครของกีฮุน จากชายขี้แพ้ที่เป็นผู้ชนะโดยมือเปื้อนเลือดในซีซันแรก กลายมาเป็นผู้ล้างแค้นที่ทรงคุณธรรมในตอนต้นของซีซันนี้ โจทย์ของเรื่องคือกีฮุนจะรักษาความถูกต้องอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของเขาไปได้ไกลถึงไหน เมื่อคนคุมเกมนั้นต้องการทดสอบอุดมการณ์สูงส่งเลอเลิศของกีฮุนโดยตรง ผ่านตัวเกมที่มีการปรับปรุงใหม่
ส่วนเส้นเรื่องประกอบนั้นก็เสริมด้วยฝั่งตำรวจที่รอดชีวิตอย่างฮวังจุงโฮ ที่แสดงโดย วีฮาจุน (Wi Ha-joon) ในภาคก่อน ที่กลับมาเพื่อตามหาพี่ชายที่หายไปในการเล่นเกมรอบก่อน ๆ ซึ่งตอนจบซีซันที่แล้วได้เฉลยว่าคือหัวหน้าฝั่งตัวร้ายผู้สวมหน้ากากสีดำ ที่แสดงโดย อีบยุงฮอน (Lee Byung-hun) นั่นเอง
การเชื่อมเส้นเรื่องระหว่างจุนโฮกับกีฮุนเพื่อตามหาเกาะลึกลับนั้นทำได้ดูสมจริงและมีโทนที่ซีเรียสมากขึ้น คือกีฮุนใช้เงินตั้งแก๊งออกตามล่าหาผู้เชิญชวนเล่นเกมที่รับบทโดย กงยู (Gong Yoo) ตามสถานีรถไฟใต้ดิน ส่วนจุงโฮก็ขอให้ลุงเจ้าของเรือประมงที่เคยช่วยชีวิตเขาตระเวนออกตามหาเกาะที่ใช้เล่นเกมอิงจากพิกัดที่ลุงเคยพบเขาลอยคอในทะเลหลังถูกยิง คือมันดูเป็นการค้นหาที่มีความเป็นไปได้ ช่วยกำหนดโทนเรื่องที่จะไม่หลุดไปฝั่งแฟนตาซีจัด อย่างที่เคยนำเสนอผมสีแดงเพลิงของกีฮุนในฉากจบของซีซันก่อน การตามหากงยูยังทำให้การเดินเรื่องมีลูกเล่นอะไรใหม่ ๆ มาใช้ มันคือธริลเลอร์แบบหนังตระกูล ‘Saw’ ที่อยู่ในโลกความจริงแบบไม่ต้องอิงพื้นที่แฟนตาซีบนเกาะลึกลับ ทำให้รู้สึกว่าองค์กรชั่วร้ายนั้นมันไม่ใช่เพียงความฝันของเหล่าผู้เล่นอีกต่อไป
แต่แม้จะบอกว่ามันเล่าเรื่องได้ดีขึ้น ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องชอบ ขณะที่ถ้ามองในแง่ของโครงสร้างการเล่าเรื่องในฐานะหนังไตรภาคที่เป็นเนื้อเดียวกันหมดมันเป็นการเล่าเรื่องที่ดีเลยในการเชื่อมถึงกัน แต่เชื่อว่าจะมีบางคนที่รู้สึกว่าซีซันนี้ใช้เวลาปูเรื่องกว่าจะเข้าเกมนั้นนานเกินไป ซึ่งถ้าตั้งใจมาดูเกมลุ้นตายที่เป็นจุดเด่นอย่างเดียว และคาดหวังเพียงให้มันเป็นเพียงซีซันแรกอีกเวอร์ชันหนึ่ง มันก็คงรู้สึกได้ว่าเมื่อไหร่หนังจะเริ่มจริงเสียที อันนี้ก็ต้องบอกว่าโดยส่วนตัวไม่ได้มองว่าการปูเรื่องแบบนี้เป็นปัญหาแต่อย่างใดแถมดีเสียด้วย
และเมื่อมาถึงในส่วนของเกมนั้น ผู้กำกับก็ยังสามารถคุมเวลาที่ให้ตัวละครแต่ละคนจนไปถึงแต่ละกลุ่มได้ดี มันไม่ชวนสับสนนานว่าใครเป็นใครและมีบุคลิกท่าทีอย่างไรในการเล่นเกม เพราะเพียงเกมโกโกวาที่รอบนี้ใช้แปลไทยเป็นการละเล่นเออีไอโอยูซึ่งแปลกหูแปลกตาพอสมควรนั้น เราก็แทบรู้จักเอกลักษณ์ของตัวละครหลักได้ครบแล้ว ทั้งยังมีปมดราม่าใหม่ ๆ ของการสร้างตัวละครมาให้ลุ้น เช่น ตัวละครที่เป็นทรานส์ซึ่งหาได้ยากยิ่งในสังคมเกาหลี หรือตัวละครที่รู้จักกันมาก่อนเล่นเกม ทั้งคู่ความสัมพันธ์แม่ลูก แฟน หรือเพื่อนสนิท ซึ่งทำให้เราอินกับเกมได้ไวกว่าซีซันก่อนที่คนแปลกหน้าต้องมาสร้างความผูกพันกันตั้งแต่ศูนย์ผ่านเกมต่าง ๆ
นอกจากนั้นในส่วนของผู้เล่นตัวปัญหาก็มีบุคลิกหลากหลายน่าสนใจทั้งลุงคนใหญ่คนโตที่วางท่าว่าคนอื่นผิดไปหมด แรปเปอร์คนดังที่ทำตามใจตัวแถมเอาแน่เอานอนไม่ได้ หรือร่างทรงที่อาศัยความเชื่อสร้างทีมของตัวเองขึ้นมา และสำหรับกีฮุนสถานะผู้ที่เคยเล่นเกมมาก่อนของเขา ทำให้เขาต้องแบกรับความคาดหวังจากทั้งคนที่อยากชนะได้เงินเยอะ ๆ และคนที่อยากออกจากเกมทั้งที่ยังมีชีวิต ก็นับเป็นอุปสรรคใหม่ที่พระเอกไม่เคยต้องเผชิญมาก่อน รวมถึงกติกาใหม่ที่สามารถโหวตหยุดเล่นเกมได้ในแต่ละรอบก้ทำให้เกิดเกมจิตวิทยาใส่กันได้อีก มันทำให้การเล่าเรื่องมันยังสดใหม่แม้จะเป็นเกมคล้ายเดิมก็ตาม
ถึงจะมีจุดดีที่แก้ไขจากซีซันแรกได้ดีขึ้นหลายอย่าง ก็ต้องยอมรับว่ามีบางอย่างที่มันด้อยลงเช่นกัน ส่วนหลัก ๆ ที่เห็นชัดเลยคือเกมที่ใช้เล่นมันไม่ค่อยมีเอกลักษณ์พิเศษอย่างการละเล่นเด็กที่เป็นวัฒนธรรมแปลกตา แต่กลายเป็นเหมือนงานกีฬาสีและการละเล่นที่เจอทั่ว ๆ ไปมากกว่าเดิม ความอลังการของเกมในซีซันนี้ก็ถูกนำเสนออย่างธรรมดาไปเสียหน่อย ซึ่งอาจแก้ต่างได้ว่ามันเป็นเพียงเกมครึ่งแรกเท่านั้นต้องรอดูเกมครึ่งหลังในซีซัน 3 ด้วย เพราะอย่างซีซันแรกเกมช่วงแรกอย่างการละเล่นแกะน้ำตาลนั้นก็ไม่ได้อลังการแต่อย่างใดเหมือนกัน และยังมีพวกพาร์ทดราม่าที่พอเป็นช่วงการปูเรื่องไปสู่ซีซันจบแท้จริงมันเลยอาจยังพร่อง ๆ อยู่ ไม่สามารถเน้นได้เข้มข้นเท่าซีซันแรกที่มีเวลาซัดเต็ม ๆ แบบ 9 ตอน แต่ซีซันนี้มีเพียง 7 ตอน แถมมีเวลาสำหรับตัวเกมจริง ๆ น้อยลงไปอีกด้วย
โดยสรุปซีซัน 2 นี้เป็นการบิ้วที่ทำได้น่าสนใจมาก มีความเดือดในแบบที่ท้าทายจิตใจของตัวเอกมากขึ้น เห็นพัฒนาการที่ใช้เล่าเรื่องได้เข้มข้นน่าสนใจ และเป็นการจบซีซันที่ทำให้ต้องถอนหายใจแรงด้วยความลุ้น จนรอแทบไม่ไหวว่าเรื่องราวจะเดินต่อไปอย่างไร