Release Date
01/10/2021
ความยาว
90 นาที
Our score
7.5The Guilty
จุดเด่น
- การแสดงของเจก จิลเลนฮาลแบบแบกทั้งเรื่องเพราะเน้นตัวละครเดียวถ่ายทอดทุกอย่างผ่านเสียงโทรศัพท์ ท้าทายทั้งนักแสดงทั้งคนดู บทตีแผ่สังคมและยังชวนอึ้งกับจุดหักมุมในแต่ละครั้งด้วย แอบมีดารารับเชิญดังหลายคนเลยต้องดูเฉลยในเครดิตจบ
จุดสังเกต
- ฉากเดียวแทบทั้งเรื่องรวมกับข้อจำกัดในเรื่องการเล่าที่ต้องฟังเป็นหลัก อาจไม่ถูกจริตบางคน แต่เอาจริงมันยังได้อารมณ์ลุ้นระทึกและยากคาดเดาได้ดีอยู่นะ
-
บท
8.0
-
โปรดักชัน
7.0
-
การแสดง
8.5
-
ความสนุกตามแนวหนัง
8.0
-
ความคุ้มค่าการรับชม
7.5
เรื่องย่อ: เช้าวันหนึ่ง ณ ศูนย์รับเรื่อง 911 โดยโอเปอเรเตอร์ โจ เบย์เลอร์ พยายามช่วยชีวิตผู้ที่โทรเข้ามาซึ่งตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง แต่เขากลับได้พบว่าอะไร ๆ ไม่เป็นไปอย่างที่คิด และยิ่งถลำดำดิ่งกับการช่วยชีวิตคนตรงหน้าอย่างหลงทาง ในขณะที่เวลามีชีวิตรอดของเหยื่อก็ขมวดเข้ามาทุกที
น่าจะเป็นการหวนกลับมาทำหนังแนวดราม่าตำรวจที่เคยสร้างชื่ออีกครั้งของผู้กำกับผิวดำคนดังอย่าง อังตอน ฟูกัว (Antoine Fuqua) ที่หลายคนก็น่าจะยังคงจำได้ดีอย่าง ‘Training Day’ (2001) หรือเรื่องหลังหน่อยก็ ‘Brooklyn’s Finest’ (2009) และน่าจะเป็นครั้งแรกที่เขามาทำหนังลงบริการสตรีมมิงชื่อดังอย่างเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งก็เป็นความร่วมมือที่น่าสนใจทีเดียว
แม้จะน่าเสียดายนิดหน่อยที่ฟูกัวไม่ได้ทำหนังออริจินัลลงเน็ตฟลิกซ์ แต่เป็นนำหนังเดนมาร์กชื่อเรื่องเดียวกันของ กุสตาฟ โมลเลอร์ (Gustav Möller) เมื่อปี 2018 มารีเมก แถมบางคนยังอาจนึกไปถึงหนังอย่าง ‘The Call’ (2013) ที่ ฮัลลี เบอร์รี (Halle Berry) แสดงนำในบทพนักงานประจำสายด่วน 911 เข้าเสียอีก
แต่เอาเข้าจริงในขณะที่ ‘The Call’ จะนำเสนอในแนวทางธริลเลอร์ชัดเจนมีการตัดสลับเหตุการณ์คู่ขนานในที่ตัวเอกทำงานและภายนอกที่เป็นที่เกิดเหตุ ‘The Guilty’ กลับเด่นที่ธีมที่ต้องการเล่า โดยเอารูปแบบของดราม่าธริลเลอร์มาเป็นอาภรณ์เสียมากกว่า และความเด็ดดวงที่สุดก็คงไม่พ้นการที่หนังท้าทายนักแสดงและผู้ชม ด้วยการให้เห็นภาพแค่ในห้องทำงานของตัวเอกเป็นหลักโดยแทบไม่เคยตัดภาพออกไปยังโลกภายนอกเลยด้วย
ทุกอย่างที่เราได้รับรู้จะผ่านเสียงการสนทนาที่เราต้องจินตนาการเอาเองว่าปลายสายจะมีบุคลิกอย่างไร มีความสัมพันธ์แบบใดกับตัวเอก และตอนนี้เหตุการคับขันนั้นดำเนินไปอย่างไรแล้ว โดยทั้งนี้ตัวช่วยของเราในการรับรู้เรื่องราวก็มีเพียงสีหน้าท่าทาง อารมณ์น้ำเสียงของตัวเอกเท่านั้น
ความท้าทายที่ต้องแบกหนังเพียงลำพังแบบนี้ น่าจะเป็นของโปรดสำหรับนักแสดงสายฝีมืออย่าง เจก จิลเลนฮาล (Jake Gyllenhaal) เลยทีเดียว ด้วยก่อนหน้าไม่นานเขาก็เพิ่งมีผลงานชั้นดีร่วมกับฟูกัวมาแล้วในหนังหมัดมวยดราม่าเรื่อง ‘Southpaw’ (2015) พอมาเรื่องนี้เขาต้องรับบท โจ เบย์เลอร์ ตำรวจที่มีปัญหาชีวิตบางอย่างจนทำให้เขาดูเคร่งเครียดเหมือนคนสติแตกอยู่ตลอดเวลา
ความกระวนกระวายจนพาลเอานิสัยแย่ ๆ ใส่เพื่อนร่วมงานและคนรอบข้าง ทำให้เขาดูเป็นตัวละครตำรวจสีเทา ๆ ที่เรายังไม่รู้ว่าเขาทำผิดพลาดในชีวิตอะไรมา ซึ่งหนังจะค่อย ๆ เผยให้เราทราบเรื่องราวของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ ไปพร้อมกับสถานการณ์สายหญิงสาวที่โทรมาร้องไห้ขอความช่วยเหลือจากการถูกลักพาตัว ที่ยิ่งเรื่องเดินไป ข้อมูลยิ่งมากขึ้นและความรุนแรงของคดีก็ยิ่งน่าหวาดหวั่นขึ้นด้วย พอผสมกับความไม่นิ่งขาดสติของตัวเบย์เลอร์เข้าด้วยแล้ว มันก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่ลงทุกที
และการที่ผู้ชม (รวมถึงเบย์เลอร์) ต้องคิดไขสถานการณ์ผ่านเพียงเสียงบอกเล่าต่าง ๆ ทางโทรศัพท์เท่านั้น มันก็เลยเป็นรสชาติใหม่ ๆ สำหรับหนังแนวสืบสวน ที่เอาลูกเล่นนี้มาสนองตอบต่อธีมหรือสาระที่ต้องการเน้นย้ำได้อย่างน่าสนใจ น่าเสียดายเพียงว่าการคลี่คลายคดีกับการคลายปมในใจของเบย์เลอร์ที่เป็นธีมใหญ่ของเรื่องมันไม่ได้สอดรับกันนัก คือมันก็พอแถให้ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องเดียวกันสะท้อนซึ่งกันและกันชัด ๆ มันจะสวยกว่านี้แน่นอน
พอดูจบมาถึงเครดิตนักแสดงก็ยิ่งได้ว้าวขึ้นอีก เพราะในบรรดาเสียงทางโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาล้วนมีนักแสดงดังมารับเชิญเช่น อีธาน ฮอว์ก (Ethan Hawke) ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด (Peter Sarsgaard) และ พอล ดาโน (Paul Dano) เป็นต้น นี่จึงเป็นข้อแนะนำอีกอย่างว่าควรเปิดดูเสียงภาษาอังกฤษไปเลยคุ้มกว่า ส่วนใครมาตอนไหนเป็นตัวละครอะไรบ้าง อันนี้ไว้เป็นความสนุกในการทายและลุ้นของแต่ละคนเองเลยครับ
ส่วนตัวคิดว่าไม้เด็ดของหนังอีกอย่างคือบทสรุปที่ขึ้นเป็นเสียงข่าว และคำบรรยาย ที่มันกัดสังคมได้แสบดีจริง ๆ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส