Release Date
13/10/2021
แนว
สยองขวัญ
ความยาว
1.57 ชม. (117 นาที)
เรตผู้ชม
น 15+
ผู้กำกับ
ทะกะชิ ชิมิสึ (Takashi Shimizu)
Our score
7.3Suicide Forest Village | ป่า..ผีดุ | 樹海村
จุดเด่น
- บรรยากาศหลอนวังเวงจัดเต็ม
- มีฉากน่ากลัวเยอะ แต่ไม่ตุ้งแช่ เน้นเลี้ยงบรรยากาศหลอน ๆ
- นักแสดงดูดีมีเสน่ห์ และแสดงได้ในระดับที่โอเคเลย
จุดสังเกต
- เล่าแบบสไตล์หนังญี่ปุ่น ค่อย ๆ เล่าจนอาจทำให้ปูเรื่อง-เดินเรื่องช้า
- การปูพล็อตและการเล่าเรื่องยังมีอาการครึ่ง ๆ กลาง ๆ
- ครึ่งหลังมีความแฟนตาซี ยังดีที่ไม่ได้หลุดโทนมาก
-
ความสมบูรณ์ของเนื้อหา
7.3
-
คุณภาพงานสร้าง
7.6
-
คุณภาพของบท / เนื้อเรื่อง
7.1
-
การตัดต่อ / การลำดับ และการดำเนินเรื่อง
7.2
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
7.1
เรื่องย่อ หนังถ่ายทอดเรื่องราวใน “หมู่บ้านแห่งความหวาดกลัว” แม้จะเข้าสู่ยุคเรวะแล้วก็ตาม ผืนป่าที่ฟูจิแห่งนี้ก็ยังคงเป็นดินแดนต้องห้าม! ลึกเข้าไปในป่ามีหมู่บ้านที่มีคนอยู่อาศัย ที่นั่นมีกล่องคำสาปชั่วร้ายถูกปิดผนึกอยู่ซึ่งเรียกว่า “Kotori Bako” ที่จะนำความตายมาสู่ผู้ที่ค้นพบมัน! ซึ่งวัยรุ่น 5 คนค้นพบกล่องนั้นโดยบังเอิญ และเริ่มมีคนรอบตัวตายลงทีละคน พวกเขาจึงออกเดินทางไปยังป่าแห่งนั้นเพื่อหาทางหยุดคำสาปนั้นลงให้ได้ก่อนที่จะมีใครต้องตายลงไปอีก!
หลังจากที่ต้องเผชิญกับพิษโควิด-19 จนต้องเลื่อนฉายมาจากกำหนดการเดิมเมื่อกลางปี และตัดสินใจเลื่อนมาตรงกับเดือนแห่งเทศกาลฮาโลวีนพอดิบพอดี กับภาพยนตร์สยองขวัญสไตล์ญี่ปุ่น ‘Suicide Forest Village’ หรือในชื่อไทย ‘ป่า..ผีดุ’ ผลงานการกำกับของ ‘ทะกะชิ ชิมิสึ’ (Takashi Shimizu) ที่เคยสร้างความสยองแบบญี่ปุ่นแท้ ๆ ไว้ในแฟรนไชส์หนังผีสยองโคตรดัง ‘Ju-on’ และ ‘อุโมงค์ผีดุ’ (Howling Village (2019)) ภาพยนตร์เรื่องแรกในซีรีส์ “หมู่บ้านสยองขวัญที่มีอยู่จริงในประเทศญี่ปุ่น” ที่ว่าด้วยตำนานของอุโมงค์ผีสิงอินุนะกิ ที่มีอยู่จริงในจังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ที่เพิ่งฉายในไทยไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
โดย ‘Suicide Forest Village’ หรือในชื่อไทย ‘ป่า..ผีดุ’ นี้เป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ในซีรีส์เดียวกัน ที่มีธีมและวิธีการเล่าร่วมร่วมก็คือ การหยิบเอาตำนานหลอนในสถานที่หลอนที่มีอยู่จริงในญี่ปุ่นมาเป็นแกนกลางของเรื่อง และถ่ายทำในสถานที่จริง โดยคราวนี้ ได้เข้าไปถ่ายทำใน ‘ป่าอะโอกิงะฮาระ’ (青木ヶ原) ผืนป่าความกว้าง 35 ตารางกิโลเมตร อยู่บริเวณเชิงเขาฝั่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือของภูเขาไฟฟูจิ เป็นป่ารกทึบที่ไม่มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่เลย แต่เป็นป่าที่ถูกขนานนามว่า “ป่าฆ่าตัวตาย” ที่มีตำนานว่า คนที่เข้าไปฆ่าตัวตายจะหายสาบสูญไปตลอดกาล ส่วนคนที่ย่างกรายเข้าไป จะไม่มีโอกาสกลับออกมาได้อีก เพราะยิ่งเดินลึกเข้าไป ก็ยิ่งมีโอกาสหลงทาง
เพราะตั้งแต่ทศวรรษ 1950 มีการพบศพผู้เสียชีวิตที่มาฆ่าตัวตายในป่าแห่งนี้เฉลี่ยปีละประมาณนับร้อยราย กลายเป็นสถานที่ฆ่าตัวตายอันดับที่ 2 ของโลกรองจากสะพานโกลเดนเกตทีี่สหรัฐอเมริกา บวกกับตำนาน “หมู่บ้านวิญญาณ” ที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าแห่งนี้ ที่ยังมีคนอาศัยอยู่ และหมู่บ้านแห่งนี้ มีที่ตำนานที่ถูกเล่าขานว่า มีกล่องไม้อาถรรพ์ที่เรียกว่า “Kotori Bako” ซึ่งก็หยิบเอาตำนานกล่องต้องคำสาปของญี่ปุ่นโบราณมาดัดแปลง ว่ากันว่าใครที่ค้นพบกล่องนี้ จะต้องถูกคำสาปจนกระทั่งมีอันเป็นไป
ส่วนในหนังจะเริ่มเล่่าเรื่องตั้งแต่ชายชรา (Jun Kunimura) ได้ขับรถผ่านป่าอะโอกิงะฮาระ ในระหว่างนั้น เขาได้พบเห็นเด็กหญิง 2 คนที่รอดชีวิตออกมาจากป่า เขาจึงได้ช่วยเธอไว้ และอีกหลายปีต่อมา เด็กหญิง 2 คนนั้นก็คือ ‘ฮิบิกิ’ (Anna Yamada) สาวรุ่นที่มีสัมผัสพิเศษ แต่เก็บตัวเงียบ เพราะแม่ของเธอฆ่าตัวตายในป่าอะโอกิงะฮาระเมื่อหลายสิบปีก่อน และ ‘เมย์’ (Mayu Yamaguchi) พี่สาวของเธอที่เพิ่งจะแต่งงาน ซึ่งตัวหนังจะเล่าเรื่องของเมย์ และฮิบิกิ รวมทั้งแก๊งเพื่อน ๆ ของพวกเธอ ที่ต้องเผชิญกับเรื่องราวน่าขนลุก หลังจากที่ฮิบิกิได้พบกับกล่องปริศนาที่ใต้ถุนบ้าน เรื่องราวอาถรรพ์และความตายก็เริ่มคืบคลานเข้ามาหาพวกเขาทีละคน ๆ จนทำให้พวกเขาต้องเดินทางเข้าป่าเพื่อนำกล่องไปคืน และหยุดอาถรรพ์ป่าผีดุที่ดูเหมือนว่ากำลังจะคืบคลานออกมานอกป่า (และนอกกล่อง) ให้จงได้
สิ่งที่ต้องชื่นชมก็คือ บรรยากาศตลอดทั้งเรื่องของหนังที่นอกจากจะถ่ายทำได้สวยงามแล้ว ยังให้บรรยากาศชวนวังเวงได้ชนิดที่ว่าหลอนเลยแหละ ไม่ว่าจะเป็นฉากเปิดที่ถ่ายภาพมุมสูงของป่าจนสามารถเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ หรือบรรยากาศในโลเกชันต่าง ๆ ฉากในป่าที่เต็มไปด้วยความหลอนและวังเวงมาก ๆ ยิ่งผนวกกับสิ่งที่เรารู้ว่า นี่คือป่าฆ่าตัวตายจริง ๆ นะ ก็ยิ่งทำให้คิดไปใหญ่เลยว่า พวกพี่ถ่ายทำกันยังไงนะเนี่ย เพราะเอาเข้าจริง ๆ คนที่เข้าไปบางคนก็เจอศพ เจอสิ่งของของผู้ตายอะไรแบบนี้เลยด้วยซ้ำ ต้องถึงขั้นสวดมนต์บวงสรวงก่อนถ่ายทำเลยไหมเนี่ย
อีกอย่างก็คือ แค่ได้ยินตำนานป่าฆ่าตัวตาย ก็ยิ่งบวกความรู้สึกให้หลอนยิ่งขึ้นไปอีก แถมยังเล่าในบรรยากาศหลอนที่ตัวหนังมีการจัดแสงให้ดูหม่นมืดเป็นส่วนใหญ่ คือแม้แต่ตอนกลางวันก็ยังหม่น ๆ ทึม ๆ กลางคืนนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง มืดตึ้บไปเลย (555) แถมฉากหลอน ๆ ก็ทำได้น่ากลัวและโผล่ด้วยจังหวะแบบค่อย ๆ มาโดยไม่ต้องพึ่งพา Jump Scare แต่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะผู้เขียนที่จิตค่อนข้างแข็งก็ยังแอบตกใจไปหลายครั้งเหมือนกัน เป็นหนังที่ผู้เขียนคิดว่า เหมาะกับการดูในโรงหนังมาก ๆ ครับ ควรดูในโรงเลย รับรองว่า ดูจบแล้วจะรู้สึกหลอนติดตาอย่างแน่นอน แม้แต่กระทั่งตัวกล่องอาถรรพ์ ที่ทำออกมาได้ทั้งดูหลอน น่ากลัว และน่าขยะแขยงในเวลาเดียวกัน จนขนาดที่ว่า ขนาดไม่ได้จับเองยังรู้สึกขยะแขยงมือสุด ๆ
ส่วนข้อสังเกตที่สำคัญที่สุดของหนังเรื่องนี้ก็คือ ตัวหนังตลอดเกือบ 2 ชั่วโมงมีพล็อตที่ค่อนข้างซับซ้อนพอสมควรครับ แต่พอมันมาเป็นหนังสไตล์ญี่ปุ่น ที่ค่อย ๆ ปูเรื่อง เล่าเรื่อง แถมพล็อตบางส่วนดูเหมือนจะยังเล่าได้ไม่คมและชัดพอด้วย ก็เลยทำให้การเล่าเรื่องปูพล็อตใน 2 องก์แรกนั้นค่อนข้างชวนให้ซับซ้อนกับที่มาที่ไปของเหตุการณ์ต่าง ๆ อยู่พอสมควร
แถมยังเล่าด้วยจังหวะแบบหนังญี่ปุ่น แบบค่อย ๆ เล่า ค่อย ๆ คลายปมไปทีละเล็กละน้อย แถมยังออกลูกครึ่ง ๆ กลาง ๆ เล่าถึงคนนั้นที คนนี้ที เรื่องนั้นที เรื่องนี้ที แบบเหมือนจะสุดแต่ไม่สุด เหมือนจะเล่าแบบนี้ แต่ไปสรุปแบบโน้นอย่างไรชอบกล แต่ก็ถือว่ายังดีที่ตัวหนังสามารถจุดติด และหล่อเลี้ยงบรรยากาศความหลอนด้วยสถานที่ การถ่ายทำ การจัดแสง และแอ็กติง จนหลอนติดตาและน่ากลัวได้ตั้งแต่ต้นเรื่องโดยไม่ต้องมี Jump Scare
ส่วนในช่วงครึ่งหลัง ตัวหนังกลับมีอะไรเติมแต่งเข้ามามากซะจนกลายเป็นหนังสยองขวัญที่มีความแฟนตาซีอยู่มากทีเดียว จะเริ่มเห็นว่ามีการใช้ซีจีเข้ามาเพิ่มเติมมากขึ้นกว่าครึ่งแรกเยอะ ในขณะที่พล็อตและเส้นเรื่องในครึ่งหลัง จะเริ่มขมวดจนพอจะเข้าใจที่มาที่ไปได้แล้ว ภาพรวมตัวหนังในครึ่งหลังจึงมีความหลอนและซับซ้อนน้อยกว่าครึ่งแรก แต่ก็ขมวดเรื่องได้เข้าถึงง่ายและซับซ้อนน้อยกว่าครึ่งแรกอยู่มากทีเดียว ทำให้กว่าจะเข้าใจหนังทั้งเรื่อง ก็อาจจะต้องดูจนจบ (พร้อมกับนึกภาพหลอนติดตา) ไปด้วยพร้อม ๆ กัน
โดยสรุปแล้ว นี่คือหนังผีหลอน ๆ ต้อนรับฮาโลวีนที่น่าจะเหมาะกับแนวทางของคนชอบหนังญี่ปุ่นโดยแท้เลยครับ โดยเฉพาะจังหวะหลอนแบบค่อย ๆ มา ค่อย ๆ ซึมกับเนื้อเรื่องแบบไม่จำเป็นต้องมีจังหวะตุ้งแช่ แต่ใช้การปูบรรยากาศความวังเวงให้รู้สึกหลอนได้ตั้งแต่ต้นเรื่อง รวมถึงฉากการตายของแต่ละตัวละครที่เรียกได้ว่าสยองสุด ๆ ครึ่งแรกอาจทำให้รู้สึกเนือยหนืดและไม่สุด จนอาจทำให้รู้สึกไม่ชอบไปบ้าง แต่รับประกันได้ว่า ดูจบแล้วจะต้องหลอนติดตาต้อนรับฮาโลวีนได้อย่างแน่นอนครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส