Release Date
21/10/2021
Runtime
155 Minutes
Director
Denis Villeneuve
Cast
Timothée Chalamet Rebecca Ferguson Zendaya Jason Momoa Javier Bardem Oscar Isaac Josh Brolin Dave Bautista
Our score
9.7[รีวิว] Dune – เกินกว่าหนังไซไฟ ไม่เสียแรงรอข้ามปี
จุดเด่น
- หนังเล่าได้อย่างลงตัวทั้งเนื้อหาที่ลึกซึ้งและความสนุก
- งานดีไซน์ในหนังมีความสร้างสรรค์และใช้วัฒนธรรมที่หลากหลายมาสร้างสิ่งใหม่ได้แปลกตาและอลังการมาก
- สกอร์ของฮานส์ ซิมเมอร์ มาสเตอร์พีซอีกแล้ว
- ชวนกรี้ดทั้งความงามสง่าและดรามาตรึงอารมณ์ของ รีเบคกา เฟอร์กูสัน
- เจสัน โมโมอา เท่มาก ๆ
จุดสังเกต
- ช่วงแรกอาจต้องอดทนทำความเข้าใจโลกในหนังหน่อย ถ้าผ่านไปได้ก็สนุกกับหนังได้ยาว ๆ
-
บทหนังเล่าดีและสนุกลงตัว
10.0
-
งานสร้างอลังการ วิช่วลสุดปัง
10.0
-
นักแสดงสุดเจ๋ง เข้าถึงบทบาท
9.5
-
จังหวะหนังดูสนุก ไม่มีช่วงย้วย
9.0
-
คุ้มค่าตั๋ว-เสียตังค์ได้ไม่เสียดาย
10.0
ประสบการณ์ส่วนตัวของผมที่มีต่อ ‘Dune’ ในฉบับของผู้กำกับเดวิด ลินช์ (David Lynch) คงหนีไม่พ้นคำว่าเหวอแตกและง่วงหงาวหาวนอน ! แม้จะยอมรับว่าหนังฉบับปี 1984 ที่เมืองไทยอุตส่าห์ตั้งชื่อว่า ‘สมรภูมิจ้าวจักรวาล’ จะมีความทะเยอทะยานและงานโปรดักชันที่ดูไม่ขี้เหร่เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีการสร้างที่ยังไม่รุดหน้าเท่าทุกวันนี้ จนส่วนตัวเองก็เชื่อไปแล้วว่านิยายเรื่องนี้ของ แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต (Frank Herbert) คงไม่ใช่ของง่ายและน่าจะเป็นยาขมไม่น้อยสำหรับใครที่คิดจะหยิบมาสร้างเป็นภาพยนตร์ แต่แล้วก็มีคนลองดีจนได้ และการตลาดก็ปั้นหน้าหนังซะกลายเป็นไซไฟผจญภัยเกินหน้าความเซน (Zen) ของนิยายไปหลายช่วงตัวแต่ในเมื่อมีชื่อของ เดอนีส วิลล์เนิฟว์ (Denis Villeneuve) ผู้กำกับชาวแคนาดาที่ฝีมือไม่ธรรมดาหยิบมาทำหนังคงยากที่จะห้ามใจไม่ให้ลองของกันอีกสักที
จุดเริ่มต้นเรื่องราวของ ‘Dune’ คือ”สไปซ์”ทรัพยากรทรงคุณค่าแห่งดาวอาร์ราคีสที่เดิมจักรพรรดิ์พาดิชาห์เคยให้ตระกูลฮาร์คอนเนนปกครองและทำหน้าที่สกัดสไปซ์ส่งออกให้ผู้มีอำนาจ แต่แล้ววันดีคืนดีจักรพรรดิ์ก็มอบหมายให้ตระกูลอเทรดีส อันสูงศักดิ์เดินทางไปดูแลหัวเมืองอย่างอาร์ราคีสและผลิตสไปซ์ป้อนเข้าส่วนกลาง แต่แท้จริงแล้วมันคือแผนของจักรพรรดิ์ที่ต้องการรวบอำนาจและกำจัดคู่แข่งทางการเมืองอย่าง เลโท อเทรดีส (รับบทโดยออสการ์ ไอแซค Oscar Isaac) รวมถึงเหล่าฟรีเมนผู้ครองทะเลทรายแห่งอาร์ราคีสให้สิ้นซาก
โดยความหวังเดียวของดาวอาร์ราคีสฝากไว้ที่ พอล อเทรดีส (ทีโมธี ชาลาเมต์ Timothée Chalamet) บุตรของเลโทที่ถูกฝึกให้ใช้วิชาแห่งเสียงจาก เจสสิกา อเทรดีส (รีเบคกา เฟอร์กูสัน Rebecca Ferguson) สนมเอกของเลโทและแม่ของพอลที่สืบทอดลัทธิเกสเซอริต กลุ่มสตรีทรงอำนาจคอยชักใยความเป็นไปทางการเมืองโดยอาศัยมนตร์ดำ และโดยปริยายที่พอลจะกลายเป็นผู้ถูกเลือกที่ชาวฟรีเมนเชื่อมาตลอด แต่มหาศึกครั้งนี้ไม่่ง่ายและยิ่งโหดหินเมื่อ บารอนวลาดิเมียร์ ฮาร์คอนเนน (สเตลลาน สการ์สการ์ด Stellan Skarsgard) และกองทัพจ้องขยี้ทัพของอเทรดีสและยึดอาร์ราคีสด้วยความอำมหิต
ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว ‘Dune’ ไม่ใช่ของกล้วย ๆ ที่ใครจะเอามาทำภาพยนตร์ดี ๆ ได้แต่ก็ด้วยแพชชันของเดอนีส์ วิลล์เนิฟว์ที่เป็นแฟนนิยายมาทั้งชีวิต และสำหรับบทหนังวิลล์เนิฟว์ร่วมเขียนกับอีริค รอธ (Eric Roth) มือเขียนบทระดับตำนานจาก ‘Forrest Gump’ และ จอห์น สเปตส์ (Jon Spaihts) นักเขียนบทหนังไซไฟมือฉมังจาก ‘Prometheus’ มารังสรรค์บทหนังโดยดัดแปลงจากนิยายเล่มแรกแต่จะเล่าเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นในหนังภาคนี้
แต่ถึงจะกำหนดว่าหนังจากนิยายเล่มแรกจะแบ่งเป็น 2 ภาคและหนังเรื่องนี้คือเรื่องราวเพียงครึ่งแรกเท่านั้นแต่เนื้อหาและหัวใจของเรื่องราวกลับถูกเก็บได้ครบถ้วนทั้งเกมการเมืองสกปรก อำนาจนายทุนไปจนถึงองค์ประกอบของความเป็นไซไฟที่เชื่อมโยงเนื้อหาแฟนตาซีเพ้อฝันเข้ากับปัญหาความเหลื่อมล้ำในโลกใบนี้ตามเจตนารมย์ของแฟรงค์ เฮอร์เบิร์ตได้ไม่มีตกหล่นและวิลเนิฟว์ยังสามารถถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ลงตัวและดูสนุกเกินคาด
นอกจากนี้หนังยังขายความอลังการ (Spectacular) ของงานวิชวลได้อย่างสร้างสรรค์และน่าประทับใจซึ่งแทนที่จะเอาคอมพิวเตอร์เนรมิตรมันเสียทุกอย่าง แต่งานดีไซน์แบบจับต้องได้ (Practical) ตั้งแต่เสื้อผ้าหน้าผมไปยันการออกแบบงานสร้างสุดวิจิตรพิศดารหลากวัฒนธรรมผสมผสานทั้งเสื้อผ้าแบบอาหรับ ชุด งานพิธีและสถาปัตยกรรมแบบอิสลามต่างหากที่ทำให้ ‘Dune’ ฉบับนี้เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และอาจเป็นต้นแบบให้เกิดงานดีไซน์แบบพหุวัฒนธรรมต่อไปได้ไม่รู้จบ
และด้วยทักษะการใช้งานวิชวลเล่าเรื่องอย่างช่ำชอง คราวนี้วิลล์เนิฟว์เลือกเอากล้อง อเล็กซาไอแมกซ์ (Alexa Imax) มาถ่ายทอดทั้งความกว้างขวางของทะเลทรายและความวอดวายของสงครามเลยผลักดันให้งานภาพของหนังไปไกลกว่าแค่งานตีหัวเข้าบ้านจนทำให้วลี “See It In IMAX” ไม่น่าเกินเลยสำหรับ ‘Dune’ แม้แต่น้อย เพราะมันไม่เพียงสร้างความใหญ่โตให้ภาพบนจอแบบไร้ความหมายแต่ยังผลักดันและขับเน้นพลังของงานภาพและเรื่องราวได้ทรงพลังมาก ๆ
ปิดท้ายที่งานรวมดาราของหนังซี่งก็ต้องยอมรับว่า รีเบคกา เฟอร์กูสัน ดูจะได้ความโดดเด่นจากหนังไปเยอะที่สุดทั้งจำนวนช็อตที่ปรากฎกายหรือกระทั่งความสำคัญในหนังและเธอก็ถ่ายทอดบทบาทได้อย่างโดดเด่นจริง ๆ ส่วนทีโมธี ชาลาเมต์ก็ฉายเสน่ห์อย่างเต็มเปี่ยมและถ่ายทอดเคมีความโรแมนติกกับเซนดายาได้อย่างลงตัว แต่ตำแหน่งนักแสดงที่สาว ๆ จะกรี้ดที่สุดเห็นจะเป็น เจสัน โมโมอา (Jason Momoa) ในบท ดันแคน ไอดาโฮ ที่มาลุคหนุ่มล่ำเคราเตียน ๆ พร้อมคิวบู๊มัน ๆ เท่ ๆ ที่บอกเลยว่าสาว ๆ มีละลายแน่นอน
คงไม่ต้องอวยอะไรกันให้มากมายอีกแล้วนอกจากอยากเชิญให้คุณไปพิสูจน์ด้วยตาตนเองใครสะดวกโรงหนังธรรมดาก็ยังให้อรรถรสอยู่แต่หากต้องการมีประสบการณ์ร่วมกับหนังแบบสุด ๆ ผมแนะนำให้ดูในโรงไอแมกซ์ครับ เชื่อเถอะว่าดูแล้วจะนึกไม่ออกเลยว่าเราจะดูหนังสเกลนี้ ทำได้ดีขนาดนี้ในจอเล็ก ๆ ได้ยังไง
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส