[รีวิว] The Last Duel ดวลชีวิต ลิขิตชะตา – เริ่มจากหนังศักดิ์ศรีนักรบลงท้ายที่#metoo

Release Date

28/10/2021

Runtime

152 Minutes

Director

Ridley Scott

Cast

Matt Damon Adam Driver Jodie Comer Ben Affleck

[รีวิว] The Last Duel ดวลชีวิต ลิขิตชะตา – เริ่มจากหนังศักดิ์ศรีนักรบลงท้ายที่#metoo
Our score
9.0

[รีวิว] The Last Duel ดวลชีวิต ลิขิตชะตา – เริ่มจากหนังศักดิ์ศรีนักรบลงท้ายที่#metoo

จุดเด่น

  1. บทหนังเล่ามุมมองของ 1 เหตุการณ์ได้น่าสนใจและตอบโจทย์กับสิ่งที่หนังจะสื่อกับคนดู
  2. โจดี โคเมอร์ กับ อดัม ไดรเวอร์ คือแสดงฝีมือได้เด็ดขาดสมควรได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลมาก ๆ
  3. เซอร์ไพรส์มากที่หน้าหนังเน้นเป็นหนังประวัติศาสตร์แมน ๆ แต่เนื้อในพูดเรื่องสิทธิสตรีได้เข้มข้นมาก ๆ

จุดสังเกต

  1. หากจะเลือกดูเพราะหนังมีฉากแอ็กชันอาจผิดหวังได้เพราะนี่คือหนังดรามาเน้นบทสนทนาเชือดเฉือนมากกกว่า
  2. บทหนังเลือกสื่อสารเรื่องสิทธิสตรีเป็นหลัก ดังนั้นใครต้องการความสมเหตุสมผลเป็นหลักอาจต้องทำใจหน่อย
  • บทหนังลงตัว เล่าเรื่องดีน่าสนใจ

    9.0

  • งานสร้างอลังการ เนี๊ยบทุกจุด

    9.0

  • นักแสดงโคตรคุณภาพประชันบทบาทกันสุด ๆ

    9.0

  • ความสนุกของหนังในแนวพีเรียตดรามา

    9.0

  • ความคุ้มค่าตั๋ว

    9.0

หากพูดถึงชื่อผู้กำกับริดลีย์ สก็อตต์ (Ridley Scott) นอกจาก ‘Alien’ และ ‘Blade Runner’ หนังไซไฟในตำนานแล้ว หนึ่งในผลงานชิ้นโบว์แดงที่ยังอยู่ในใจคอหนังหลายคนคงหนีไม่พ้น ‘The Gladiator’ เพราะนอกจากจะเป็นหนังพีเรียดโรมันเรื่องแรกของสก็อตต์ มันยังเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จทั้งในตารางหนังทำเงินและบนเวทีออสการ์ในฐานะภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเพียงเรื่องเดียวและทำให้เขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับหนังแนวนี้อีก 2-3 เรื่องแต่ทุกเรื่องล้วนมีจุดศูนย์กลางที่ผู้ชายเป็นหลัก

https://youtu.be/8nR8bNrS-9M
สนับสนุนข้อมูลโดย Major Cineplex

สำหรับ ‘The Last Duel’ มีศูนย์กลางและที่มาจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสถึงคดีสุดท้ายที่ตัดสินด้วยการดวลกันถึงชีวิตในปี 1386 ระหว่าง ฌอง เดอ คารูจส์ (รับบทโดยแมต เดมอน Matt Damon) กับ ฌาร์ค เลอ กรีส์ (รับบทโดย อดัม ไดรเวอร์ Adam Driver) 2 อัศวินในรัชสมัยของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 6 (รับบทโดย อเล็กซ์ ลอว์เธอร์ Alex Lawther) ที่ท่ามกลางไฟสงครามระอุกลับมีคดีชิงรักหักสวาทระหว่างพวกเขาเมื่อเลอ กรีส์ ถูกกล่าวหาว่าข่มขืน แม่นางมาเกอร์ริต เดอ คารูจส์ (รับบทโดย โจดี โคเมอร์ Jodie Comer) จนศาลตัดสินด้วยการให้ทั้งคู่ได้แลกชีวิตพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามที่กล่าวไปข้างต้น

แต่แท้จริงแล้วตัวหนังเลือกจะบอกเล่า “มุมมอง” ของเหตุการณ์เพื่อขับเน้นสารที่สำคัญมากนั่นคือสิทธิสตรีในประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของฝรั่งเศส โดยบทภาพยนตร์ที่แมต เดมอนกับเบน แอฟเฟล็ก (Ben Affleck) สองนักแสดงในหนังมาร่วมเขียนกับ นิโคล โฮลอฟเซเนอร์ (Nicole Holofcener) เลือกใช้วิถีของ ‘ราโชมอน เอฟเฟกต์’ คือการเล่าเรื่องราวเหตุการณ์จาก 3 มุมมองโดยเริ่มจากฝั่งผู้ชาย 2 คนแล้วลงท้ายที่มุมมองของมาเกอร์ริตที่หนังเคลมและให้น้ำหนักมากกว่าเหตุการณ์ในมุมมองของ 2 บุรุษอย่างชัดเจน

ฺBeartai Buzz รีวิว The Last Duel
Adam Driver
ฺBeartai Buzz รีวิว The Last Duel
Matt Damon

แม้จะยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะการเล่าเรื่องแบบ ‘ราโชมอน เอฟเฟกต์’ เคยถูกหยิบไปใช้จนเฝือตั้งแต่หนังดราม่าทหารเครื่องบินตกใน ‘Courage Under Fire’ ของผู้กำกับเอ็ดเวิร์ด ชวิก (Edward Schwick) ที่เป็นหัวหอกให้หนังอเมริกันได้หยิบวิธีเล่าของ ‘Rashomon’ หนังญี่ปุ่นปี 1950 ของ อากิระ คุโรซาวา ไปใช้กันแพร่หลายหรือจะเป็นการข้ามฟากไปที่ประเทศจีนกับ ‘Hero’ หนังมิือสังหารที่ซ่อนแผนฆ่าฉินอ๋องของผู้กำกับจางอี้โหมวที่ใช้สีสันมาแบ่งโทนการเล่าเรื่องได้อย่างวิจิตรพิศดาร

แต่สำหรับ ‘The Last Duel’ แม้จะเล่าโดยการแบ่งด้วยไตเติลแต่ละมุมมองให้คล้ายกับเราอ่านหนังสือ สิ่งที่ต้องยอมรับว่าเป็นความเจนมือของริดลีย์ สก็อตต์จริง ๆ คือการ ‘เลือกเล่า’ ที่เขาแม่นยำในการเล่าเรื่องทั้งการนำเสนอข้อมูลจากคนละฝั่งมุมมองได้อย่างพอดิบพอดีครบถ้วนและเปี่ยมอารมณ์ทั้งงานกำกับและการลำดับภาพที่เป๊ะมากไม่มีสะดุดเลย

แต่ที่ถือเป็นไฮไลต์จริง ๆ คือการรู้ว่าหนังมันจะสื่อประเด็นอะไรซึ่งแม้เราจะคุ้นเคยกับโครงสร้างแบบราโชมอน เอฟเฟกต์ดีว่ามุมมองสุดท้ายคือความจริง แต่ด้วยเนื้อหาที่ซับซ้อนเพราะไม่เพียงแค่มันจะนำเสนอ ‘เรื่องจากฝั่งมาเกอร์ริต’ แต่มันยังต้องทำหน้าที่บอกเล่าประเด็นการถูกล่วงละเมิดทางเพศและความด้อยค่าของผู้หญิงในสังคมยุคนั้น สก็อตต์สามารถนำเสนอเหตุการณ์ในมุมมองสุดท้ายออกมาได้บีบอารมณ์ตลอดทุกนาทียันเฟรมสุดท้ายของหนังที่เหมือนฉุดคอเสื้อคนดูมาถามว่าการดวลครั้งนี้มีผู้ชนะจริง ๆ หรือ ?

ฺBeartai Buzz รีวิว The Last Duel
Ben Affleck
ฺBeartai Buzz รีวิว The Last Duel
Jodie Comer

และแน่นอนว่าในหนังที่เข้มข้นขนาดนี้หากขาดนักแสดงยอดฝีมือตัวหนังก็ยากที่จะประสบความสำเร็จในการนำพาเรื่องราวให้เข้าถึงหััวจิตหัวใจคน เริ่มที่ดาราดังอย่างแมต เดมอนที่ไม่ต้องพิสูจน์ฝีมืออะไรอีกแล้วด้วยการเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้กลายเป็นนักรบเถื่อนสุดเกรี้ยวกราดและแสดงด้านมืดอย่างไม่ลดละก็ทำให้ฌอง เดอ คารูจส์กลายเป็นตัวละครนำที่มีโทนสีเทาและเดาไม่ถูกว่าจะมาดีมาร้ายกันแน่ ส่วนเบน แอฟเฟล็กที่มารับบทเคานต์ปิแอร์ ดาลองซง ที่แม้บทไม่มากแต่เป็นตัวแทนขุนนางศักดินาที่น่าหมั่นไส้จนอยากเขวี้ยงทุเรียนใส่เป็นอย่างยิ่ง

และสำหรับเอ็มวีพีของหนังคงต้องยกให้ 2 นักแสดงดาวรุ่งคืออดัม ไดร์เวอร์กับโจดี โคเมอร์ สำหรับไดร์เวอร์ที่เริ่มจากมหากาพย์ ‘Star Wars’ และค่อย ๆ ได้พื้นที่แสดงฝีมือมากขึ้นในหนังฟอร์มดีก็ไม่ทำให้แปลกใจเลยที่เขาจะทำให้ตัวละครที่ดูเป็นผู้ร้ายมาก ๆ อย่างฌาร์ค เลอ กรีส์ มีส่วนผสมทั้งเสน่ห์อันตราย และความโหดร้ายที่มีแรงเสน่หาเป็นตัวขับเคลื่อน แม้การข่มขืนจะเป็นสิ่งผิดแต่พอผ่านการตีความของไดร์เวอร์มันกลับทำให้เห็นว่าเลอ กรีส์มีความเป็นมนุษย์มาก ๆ แม้จะอยากเกลียดก็ดันเกลียดไม่ลงเสียอีก

ทีนี้มาถึงโจดี โคเมอร์ที่เพิ่งมี ‘Free Guy’ หนังตลกที่ขายทั้งเสน่ห์ความสวยเท่เซ็กซี่แต่น่ารักของตัวละครออกฉายไปเมื่อต้นเดือนตุลาคม มาใน ‘The Last Duel’ โคเมอร์เหมือนอัปสกิลการแสดงของตัวเองแบบผิดหูผิดตา แม้ความสวยจะเป็นเหมือนจุดขายหลักแต่การถ่ายทอดสารเรื่อง #metoo โดยอาศัยเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ต่างหากที่ถือเป็นงานหินงานยาก แต่เธอก็ทำได้ด้วยความเข้าใจในตัวละครและทีละน้อย จากโฟกัสตอนแรกของผมที่ตั้งใจไปดูฉากดวลเอาชีวิต กลับกลายเป็นว่่าเราอยากเอาใจช่วยให้มาเกอร์ริตได้ชนะคดีในยุคที่ผู้ชายคือผู้ตัดสินผิดถูกเสียมากกว่า แม้เอาเข้าจริงเมื่อดูจบเราจะไม่สามารถฟันธงได้ว่ามุมมองของใครคือเรื่องจริงก็ตาม

ฺBeartai Buzz รีวิว The Last Duel
กดที่ภาพเพื่อเช็กรอบฉายและซื้อบัตรชมภาพยนตร์