Release Date
07/11/2021
ความยาว
1 ซีซัน 9 ตอน ตอนละ 45 นาที
Our score
10.0Arcane
จุดเด่น
- งานภาพ งานศิลป์ สวยมาก การสร้างอารมณ์ผ่านภาพเสียงและตัวละครทำได้ดีมาก เนื้อเรื่องเริ่มจากง่าย ๆ และค่อย ๆ บิวต์ใหญ่ขึ้นได้สนุกและอยากติดตามต่อ เล่าเรื่องดีไม่ต้องรู้จักเกมมาก่อนก็ยังชอบมาก
จุดสังเกต
-
บท
10.0
-
โปรดักชัน
10.0
-
การพากย์
10.0
-
ความสนุกตามแนวหนัง
10.0
-
ความคุ้มค่าการรับชม
10.0
เรื่องย่อ: ทุกตำนานย่อมมีจุดเริ่มต้น ผลงานจากผู้สร้าง ‘League of Legends’ สู่ซีรีส์แอนิเมชันที่บอกเล่าต้นกำเนิดของ 2 แชมเปี้ยนที่โด่งดัง และเมืองที่กำลังเผชิญกับสงครามปะทุ
ตามที่เรื่องย่อของเน็ตฟลิกซ์ได้เกริ่นมา ‘Arcane’ เป็นแอนิเมชันซีรีส์ที่อิงจากตัวละครในเกม ‘League of Legends’ (LoL) ซึ่งเป็นเกมแนว MOBA ของทีมงาน Riot Games ที่มีมาตั้งแต่ปี 2009 และได้รับความนิยมเรื่อยมา โดยมีการใช้ตัวละครที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันกว่า 140 ตัว ที่มีความสามารถและประวัติของตัวเองที่แข็งแรงพอประมาณอยู่แล้ว เมื่อเอามาขยายเป็นเรื่องเล่าอย่างซีรีส์ก็ยิ่งเข้าทาง
และแม้จะมีตัวละครให้เลือกใช้เป็นร้อยตัว แต่ทีมงานผู้สร้างอย่าง Riot Games และ Fortiche Production ก็เข้าใจจุดอ่อนจุดแข็งในการเล่าเรื่องสำหรับผุ้ชมวงกว้างดี และเลือกหยิบ 2 ตัวละครยอดนิยมอย่าง วาย และ จิงซ์ มาชูโรงเพื่อนำพาเข้าสู่โลกของ LoL ที่ใช้ชื่อตอนแรกว่า ‘Welcome to the Playground’ ที่สื่อถึงการเข้าสู่โลกของเกม และแทนสายตาของตัวละครทั้งสองที่ยังเด็กยังอ่อนประสบการณ์ และโลกใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งยังเป็นสนามเด็กเล่นที่สนุกสนามในตัวพวกเขาก่อนพบเนื้อแท้ของโลกความจริง
คือสำหรับคนเล่นเกมมาก่อนคงไม่ต้องคิดเยอะ นี่จะเป็นแอนิเมชันที่คุณปลาบปลื้มอย่างแน่นอนเพราะมันเติมเต็มเรื่องราวของแต่ละตัวละครที่เคยเล่นมา รู้สึกความมีชีวิตจิตใจในตัวพวกเขามากขึ้น ได้เห็นแง่มุมต่าง ๆ ก่อนที่พวกเขาจะโตขึ้นมากลายเป็นตัวละครที่รู้จักว่าผ่านอะไรมาบ้าง แล้วยังเพลินในการมองหาว่าคนไหนเป็นตัวละครจากในเกมบ้างที่เป็นกำไรเฉพาะสำหรับคนที่เล่นเกม และผู้สร้างเองก็ยังเสริมด้วยตัวละครที่ไม่มีในเกมเข้ามาอย่างน่าสนใจทำให้คนที่รู้จักตัวละครมาก่อนก็ยังคาดเดาเรื่องได้ยากและดูสนุก
และสำหรับคนที่ไม่ใช่แฟนเกมล่ะ
ส่วนตัวนั้นอยู่ในกลุ่มนี้เลย คือรู้จักเกมชื่อนี้แต่ไม่เคยเล่นและไม่รู้จักแชมเปี้ยนในเกม สิ่งที่สัมผัสประทับใจแต่แรกแน่นอนว่าไม่ใช่ตัวเรื่องราว แต่มันคือ งานภาพ ที่สวยมาก ๆ เป็นงานกราฟิกสามมิติที่เลียนแบบสไตล์ภาพวาดดิจิทัล คือดูแค่ตัวอย่างก็อยากดูแล้ว และพอยิ่งตระหนักว่าเน็ตฟลิกซ์มักจะมีงานคุณภาพกลางค่อนต่ำมากตามจำนวนคอนเทนต์ในบริการที่มหาศาล แต่กับแอนิเมชันนี่เน็ตฟลิกซ์มักให้โอกาสสตูดิโอเจ๋ง ๆ ได้ปล่อยของ ได้ลองงานแจ๋ว ๆ ออกมาเพียบอยู่เสมอ และต้อมยอมใจว่า Riot ที่จัดเจนในการผลิตสื่อบันเทิงมาจัดหนักกับเรื่องนี้ชนิดว่ากะเปลี่ยนมาตรฐานใหม่ให้กับแอนิเมชันซีรีส์กันเลยทีเดียว
ไม่ใช่แค่สไตล์ภาพที่สวยงาม ยังมีการออกแบบศิลป์ การใช้แสงในฉากต่าง ๆ การวางองค์ประกอบภาพ (Mise-en-scène) ที่ดี เรียกว่าเอามาทำภาพพักหน้าจองาม ๆ ได้เยอะมาก ไม่เพียงแค่นั้นการเคลื่อนกล้อง การหามุมกล้อง การเลือกจังหวะเร่งหรือทำสโลว์โมชันเองก็สวยแปลกตา อะไรที่หนังปกติทำไม่ได้หรือทำได้ยาก แอนิเมชันมันทำได้แล้วมันทำได้ตื่นตา เร้าอารมณ์ดีเสียด้วย วัดกันว่าถ้า ‘Spider-Man: Into the Spider-Verse’ (2018) เคนทำบรรทัดฐานใหม่มาอย่างไร ‘Arcane’ ก็ยกระดับความเป็นงานศิลปะที่ดูเพลิดเพลินใจและบรรเจิดดวงตามากขึ้นไปอีกจริง ๆ
ฉากต่อสู้เองก็ทั้งสวยและมัน มีฉากการต่อสู้ดี ๆ ที่น่าพูดถึงเยอะมาก ในตอนที่ 1 ฉากการตีกันของเด็กข้างถนน ตัวการ์ตูนแต่ดันทำให้เรารู้สึกเจ็บตามได้นี่มันยิ่งกว่าหนังคนแสดงบางเรื่องเสียอีก หรือมาตอนหลัง ๆ การดวลกันของเอ็กโกกับจิงซ์ในเสี้ยววิแต่อัดภาพในอดีตตัดสลับปัจจุบันได้โคตรเจ๋ง ได้คิดแถมยังลุ้นไม่หาย คือมันมีแต่ความตระการตาในอารมณ์จริง ๆ สำหรับเรื่องนี้
ฝั่งเนื้อเรื่องเองก็เป็นจุดแข็งที่มาเจอเอาตอนดูจริง เพราะไม่คิดว่าหนังจากเกมจะทำอะไรได้ดีนัก ยิ่งด้วยตัวเกมมีองค์ประกอบที่เอามาหยิบเล่นได้เยอะมาก ตัวละครเยอะมาก คนเล่นเกมก็มีความกระหายแบบหนึ่ง คนดูหนังปกติก็มีความกระหายอีกแบบหนึ่ง การสมดุลทั้ง 2 ด้านให้ดีมันเลยยากมาก แต่ซีรีส์เรื่องนี้ทำได้ดีมาก ๆ ดีขนาดว่าความลึกของเนื้อหาที่ให้คิดไตร่ตรองในการเมืองหลายระดับในเรื่องนั้นแพรวพราวไม่แพ้ ‘Game of Thrones’ เลยทีเดียว
ประเด็นความหวาดกลัวต่อเวทมนตร์ของนักวิทยาศาสตร์ชนชั้นสูงในเมืองพิลโทเวอร์ ขณะเดียวกันก็ยังมีความขัดแย้งระหว่างเมืองชั้นบนกับเมืองสลัมชั้นล่างของชาวซวน ทั้งในเรื่องชนชั้น เศรษฐกิจ อาชญากรรม ปัญหาสังคม เฉกเช่นที่พบเจอได้ในโลกปัจจุบัน แม้แต่ในระดับตัวละครเองเราก็เห็นความต่างชั้นทางความคิดจากประสบการณ์ที่ต่างกันจนแบบยากพูดว่าใครถูกใครผิดเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ ยิ่งการสร้างพาวเดอร์เด็กขี้กลัวคนหนึ่งให้กลายเป็นจิงซ์ ที่ร้ายระดับโจ๊กเกอร์ในแบทแมน แต่เราก็เกลียดตัวละครนี้ไม่ลง เป็นอะไรที่ยอดมาก
ซีนโต๊ะอาหารในตอนสุดท้ายของซีรีส์เป็นอะไรที่ต้องปรบมือให้จริง ๆ พาลเอานึกถึง ‘The Dark Knight’ (2008) ในบางมุมเลยทีเดียว
ในแง่การสร้างเนื้อหาแบบผู้ใหญ่ที่เยี่ยมยอดนี้ แม้จะไม่ยอดเยี่ยมเท่า ‘Game of Thrones’ แต่กับการดัดแปลงเกมมาไต่เนื้อหาระดับน้อง ๆ ซีรีส์ชิงบัลลังก์ได้เช่นนี้ต้องบอกล่ะว่าไม่ธรรมดา
เรื่องราวจแม้ะเล่าผ่านสายตาของวาย เด็กกำพร้าในสลัมที่ได้รับการดูแลจาก แวนเดอร์ หัวหน้าของเมืองชั้นล่าง ซึ่งเรื่องมันเริ่มจากที่วายและเพื่อน ๆ ได้พา พาวเดอร์ น้องเล็กของกลุ่มไปทำภารกิจขโมยของในพิวต์โทเวอร์ครั้งแรก แต่เกิดความผิดพลาดจนกลายเป็นปัญหาที่สร้างความเดือดร้อนตามมาถึงเมืองชั้นล่าง และบานปลายเผยให้เห็นรอยแผลที่คาอยู่ใจกลางผู้คนแต่ละกลุ่ม ว่ามักมีผู้ประสงค์ร้ายซ่อนซุ่มในเงามืดคอยผลักดันหายนะสู้ทั้งอาณาจักรอยู่เสมอไม่ว่าจะในหมู่คนเมืองสลัมหรือชนชั้นสูงเองก็ตาม
แต่เมื่อดูไปเรื่อย ๆ เราจะถูกแทนสายตาเข้าไปยังตัวละครต่าง ๆ ได้ตามความเชื่อเรา บางคนอาจเป็นจิงซ์ บางคนเป็นวาย หรืออาจเป็นใครสักคนในเรื่อง และไม่ใช่ว่าเราแทนตัวเองลงไปแล้วมันจะเป็นตัวละครสีขาวในใจเรา หากแต่เราจะยอมรับเรียนรู้ความผิดบาปของตัวละครแต่ละตัวไปด้วย การดูซีรีส์เรื่องนี้จึงเป็นการค้นหาตัวเองและยอมรับความต่างของมนุษย์ได้ เพื่อจุดหมายเดียวกันว่าจะทำอย่างไรให้โลกใบนี้ไม่มีน้ำตาแห่งความเสียใจอีก นี่คือสิ่งที่เยี่มยอดที่สุดที่คิดว่าซีรีส์เรื่องนี้ได้สร้างขึ้นสำหรับโลกใบนี้เลยทีเดียว
แม้เนื้อหาจะมีเรื่องใหม่ ๆ ให้ผู้ชมทำความเข้าใจเยอะ แต่หัวใจการเล่าเรื่องก็ยังไม่ด้อยลงเลย เพราะประเด็นความสัมพันธ์ของตัวละครนั้นก็น่าสนใจ และถูกบิวต์จนเราอินได้จัด ๆ เลย ถึงมุกจะไม่ได้ใหม่มากและเป็นไปตามสูตรพอประมาณ แต่พอประกอบกับจังหวะการเล่า การขยี้ด้วยภาพ การสร้างสีหน้าแววตาสื่ออารมณ์ตัวละครที่ถ่ายทอดได้ชัด และดนตรีที่โหมใส่ (เพลงประกอบก็เพราะและเข้ากับซีรีส์มาก) มันเลยเปี่ยมพลังอารมณ์ท่วมท้นได้สุด ๆ ไปเลย
และ ณ ตอนนี้จบซีซันแรกแล้ว บอกได้เลยว่านี่คือแอนิเมชันที่จัดจ้านในด้านสไตล์ เป็นศิลปะที่เคลื่อนไหวได้ แค่ดูและฟังก็เหมือนได้เสพรสนิยมชั้นยอดแล้ว หนำซ้ำในด้านเนื้อหาก็ยังเยี่ยม จะดูเอาสนุกก็ได้ จะดูเอาครุ่นคิดก็ยิ่งดี
โดยรวมเห็นพ้องว่านี่เป็นแอนิเมชันซีรีส์ที่ดีที่สุดในโลกขณะนี้ (IMDB ให้ 9.4/10 และ Rotten Tomatoes ให้ 100% ในขณะนี้) และนับเพียงความเป็นซีรีส์มันก็เป็นเรือธงเรื่องใหม่ของเน็ตฟลิกซ์ที่เชิดหน้าชูตาได้ไม่แพ้ใครเลยทีเดียว ใครชอบงานภาพอาร์ต ๆ แต่เล่าเรื่องสนุกด้วย ชวนมาชมเลยครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส