Release Date
18/11/2021
แนว
แอ็กชัน/ระทึกขวัญ/สยองขวัญ
ความยาว
1.38 ชม. (98 นาที)
เรตผู้ชม
R (ความรุนแรง/คำหยาบคาย/เพศ)
ผู้กำกับ
Rodo Sayagues (โรโด ซายาเกวซ)
Our score
7.9Don’t Breathe 2 | ลมหายใจสั่งตาย 2
จุดเด่น
- ตัวหนังเล่นกับเรื่องของศีลธรรม ความดีความชั่วได้แตกต่างจากภาคแรก
- ฉากแอ็กชันฉลาด ๆ เต็มไปหมด โดยเฉพาะลุงบอดกับน้องฟีนิกซ์ที่ฉลาดเป็นกรด
- การออกแบบฉากและแสงทำออกมาได้ฉลาดและสวยมาก ๆ
- พล็อตเรื่องมีความพลิกล็อกไปมาเดายากพอสมควร
จุดสังเกต
- ตัวละครดูเก่งโอเวอร์ไปนิด
- ฉากแหวะในบางจุดก็แอบไม่เข้าใจว่าจะแหวะไปเพื่ออะไร
- มีบางจุดที่แอบลอกภาคแรกมา ซึ่งจะมองว่าเป็นการเคารพภาคแรกก็ได้ หรือจะมองว่าไม่ค่อยมีมุกใหม่ ๆ ในภาคนี้ก็ได้เหมือนกัน
-
ความสมบูรณ์ของเนื้อหา
7.6
-
คุณภาพงานสร้าง
8.6
-
คุณภาพของบท / เนื้อเรื่อง
7.4
-
การตัดต่อ / การลำดับ และการดำเนินเรื่อง
7.2
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
8.7
เรื่องย่อ ‘นอร์แมน นอร์ดสตอร์ม’ (Stephen Lang) อดีตทหารผ่านศึกตาบอด ที่รับดูแลเด็กหญิงคนหนึี่ง พร้อมกับฝึกให้เธอเอาตัวรอด แต่แล้ววันหนึ่ง บ้านของนอร์แมนก็ถูกบุกรุก โดยมีเป้าหมายเป็นเด็กหญิง นอร์แมนจึงต้องคว้าอาวุธและใช้ทุกสิ่งที่มีออกตามล่าอีกครั้ง เด็กสาวคนนี้เป็นอะไรกับนอร์แมน และดูเหมือนพวกเขาจะล่วงรู้อดีตของนอร์แมนแล้วด้วย!
หลังจากที่ลุงบอดได้ฝากความลุ้นระทึก (และน้ำกะทิ) ไว้ในหนังแอ็กชันทริลเลอร์ ‘Don’t Breathe’ ภาคแรกเมื่อปี 2016 โน่น จนสามารถทำกำไรอื้อซ่าได้แบบพลิกความคาดหมาย ฟาดรัว ๆ 157 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างแค่ 10 ล้านเหรียญ มาปีนี้ ลุงบอด ‘นอร์แมน’ กลับมาอีกครั้งกับเรื่องราวการผจญภัยใหม่เอี่ยมและใหญ่กว่าเดิมของลุงบอด ใน ‘Don’t Breathe 2’ หรือ ‘ลมหายใจสั่งตาย 2’ (แต่ไม่มีน้ำกะทิแล้วนะคราวนี้ (555)
ภาคนี้ยังคงขนทีมงานและนักแสดงชุดเดิมกลับมาทำงานกันอีกครั้ง ทั้งผู้อำนวยการสร้าง ‘แซม ไรมี’ (Sam Raimi) ผู้กำกับไอ้แมงมุมโซนี่ และ ‘โรเบิร์ด ทาเพิร์ต’ (Robert Tapert) ผู้อำนวยการสร้างร่วมหนังผีอมตะ ‘The Evil Dead’ ก็กลับมานั่งแท่นคุมเช่นเคย ส่วน ‘เฟเด อัลวาเรซ’ (Fede Alvarez) ผู้กำกับจากภาคแรก ‘โรโด ซายาเกวซ’ (Rodo Sayagues) ก็ยังคงจับมือกันเขียนบทเหมือนเคย แต่คราวนี้ เฟเดขอแตะมือให้ ‘โรโด ซายาเกวซ’ สลับลงมานั่งแท่นกำกับในภาคนี้แทน และแน่นอนว่า ‘สตีเฟน แลง’ (Stephen Lang) ก็ยังกลับมารับบทลุงบอดยอดนักสู้ คนอึดผู้ไม่รู้จักคำว่าตายอีกครั้งเช่นเคย
เรื่องราวในภาคนี้ก็ยังคงเดินเรื่องผ่านลุงบอด ‘นอร์แมน นอร์ดสตอร์ม’ (Stephen Lang) อดีตทหารผ่านศึกสงครามตาบอดสุดแกร่ง ที่เคยลุยเดี่ยวกำจัดโจรปล้นบ้าน 3 คน (และมาพร้อมกับน้ำกะทิ) ในภาคก่อน เหตุการณ์ผ่านมาหลายปี ลุงบอดได้ย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่อย่างสันโดษ พร้อมกับ ‘ฟีนิกซ์’ (Madelyn Grace) เด็กหญิงกำพร้าที่ลุงบอดรับมาเลี้ยงเพราะว่าพ่อแม่ของเธอเสียชีวิตจากเหตุไฟไหม้บ้าน แต่แล้วก็มีเหตุเมื่อเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่มีข่าวแก๊งอาชญากรรมค้าอวัยวะ และพวกมันกำลังมาลักพาตัวน้องฟีนิกซ์ไป ลุงบอดจึงต้องออกโรงตามล่าเพื่อช่วยฟีนิกซ์ให้ได้ พร้อมกับการเผชิญหน้ากับความผิดบาปในอดีตของตัวเขาเองด้วย
แม้ว่าภาคที่แล้วจะทำให้เรารู้สึกว่าลุงบอดนั้นเป็นชายแก่โรคจิต เป็นปีศาจที่น่ากลัว แถมยังตายยากตายเย็นซะเหลือเกิน แต่สิ่งที่ถือว่าแตกต่างออกไปจากภาคที่แล้วอย่างสิ้นเชิงแล้ว ในภาคนี้เราจะได้เห็นเรื่องราวและความรู้สึกของลุงบอดมากขึ้นจากภาคก่อนอีกพอสมควรเลยครับ หลายคนพอทราบว่า ลุงบอดในภาคนี้จะพลิกมาเป็นพระเอกเพื่อปกป้องน้องฟีนิกซ์ แต่จริง ๆ แล้วในความคิดผู้เขียน ลุงแกก็ไม่ได้ถึงขนาดกับเป็นพระเอกอะไรหรอกนะครับ เพราะมุมโหด ๆ โรคจิตของลุงบอดแกก็ยังคงมีอยู่
แต่คราวนี้เราจะได้เห็นอีกมุมของลุง ที่เรียกได้ว่าเป็นธีมสำคัญอย่างหนึ่งของบทหนังเลย ก็คือเรื่องของความกำกวมทางศีลธรรมของตัวละครต่าง ๆ ในเรื่องนี่แหละครับ จริง ๆ ก็ไม่ใช่แค่ลุงนะครับ แต่เราจะได้เห็นตัวละครหลาย ๆ ตัวที่มีความเทา ๆ ในจิตใจ เราจะได้เห็นปมและการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนมาจากความนึกคิดแบบเทา ๆ ของตัวละครทั้งหลายที่คอยขับเคลื่อนตัวหนังไปตลอด
เราจะได้เห็นว่า จริง ๆ แล้วคนดีก็อาจเลือกเป็นคนดี เพราะมีเจตนาโคตรชั่ว ส่วนคนชั่วก็อาจต้องทำชั่วเพราะมีเจตนาอยากจะทำทุกอย่างให้ถูกต้องแม้ว่าวิธีการอาจจะดูชั่วร้ายไปหน่อย แล้วไอ้ความถูกต้องที่นำพามาได้นั้นมันจะสามารถชดเชยความชั่วที่ตัวเองเคยทำไว้ได้หรือไม่ แล้วสรุปว่า ใครและเจตนาแบบไหนกันแน่ที่จะระบุว่าใครคนไหนเป็นคนดีหรือคนชั่ว นั่นก็เลยทำให้ตัวบทหนังค่อนข้างให้รายละเอียดกับตัวละครบางตัวได้อย่างน่าสนใจและให้รสชาติที่แตกต่างจากภาคแรก (ที่แค่ออกมาปะฉะดะกันเฉย ๆ ) พอสมควรเลย แล้วก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังมีความพลิกล็อกไปมาแบบชนิดที่เรียกว่ายากจะคาดเดาเลยแหละ
แม้ความยาวของภาคนี้จะใกล้ ๆ กับภาคแรก (ภาคแรกสั้นกว่า 10 นาที) สิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกว่าแตกต่างอีกอย่างหนึ่งก็คือ จังหวะการเดินเรื่องที่ช้ากว่าภาคแรกประมาณหนึ่งเลยครับ ในภาคที่แล้วนี่คือเดินเรื่องเร็วแบบสับตีนแตก ส่วนในภาคนี้ดูจะมีจังหวะผ่อนมากขึ้น แต่แม้จะเดินเรื่องช้าลง แต่ก็ไม่ได้ย้วยยืดยาดจนผิดปกติ ในหลาย ๆ ช็อต การเดินเรื่องช้าก็ทำให้การดำเนินเรื่องมีความตึงเครียดและลุ้นมากยิ่งขึ้น อย่างเช่นจังหวะที่ต่อสู้กันในบ้าน ที่มีการใช้ช็อตลองเทกเข้ามาเดินเรื่อง ซึ่งก็สามารถทำได้อย่างสวยงามตามท้องเรื่อง
ในภาคที่แล้ว ผู้เขียนรู้สึกชอบบ้านของลุงบอดมาก ๆ ครับ เพราะว่าเป็นการคิดบทและออกแบบโปรดักชันที่ทำให้บ้านกลายเป็นดินแดนลับแลอะไรบางอย่างที่มีความคล้ายกับเขาวงกตหน่อย ๆ คือเข้าไปแล้วไม่มีใครรอดออกไปได้ แล้วตัวบ้านเองก็มีฟังก์ชันที่เอื้อต่อบทแอ็กชันด้วย
ซึ่งพอมาถึงภาคนี้ ตัวบ้านใหม่ของลุงบอด ที่ผู้กำกับเผยว่าต้องการให้คล้ายกับปราสาทในนิยาย ก็ยังคงมีความลับแล และยังมีฟังก์ชันที่ให้ลุงบอดและน้องฟีนิกซ์ได้ใช้เป็นเครื่องมือสร้างความได้เปรียบในยามคับขันได้เป็นอย่างดี ลุงบอดยังคงจำรายละเอียดในบ้านทุกตำแหน่งได้ ส่วนน้องฟีนิกซ์ก็จะใช้บ้านนี่แหละเป็นจุดหลบหนีได้อย่างฉลาดมาก และในภาคนี้ด้วยความที่ลุงบอดจะต้องออกนอกบ้านไปตามหาน้องฟีนิกซ์ที่ถูกลักพาตัว เราก็จะได้เห็นหลาย ๆ โลเกชันที่จัดแสงออกมาได้สวย โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่ถือว่าทำออกมาได้สวยแปลกตาดีทีเดียวครับ
อีกจุดที่ผู้เขียนมองว่าแปลกใหม่ดีก็คือฉากแอ็กชันครับ ในภาคนี้เราจะได้เห็นการผจญภัยของลุงบอดในการตามล่าแก๊งโจรที่ลักพาตัวน้องฟีนิกซ์ไปเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง โดยรวม ๆ ก็ต้องถือว่าทำออกมาได้ดีครับ โดยเฉพาะตัวของลุงบอดเอง ที่คราวนี้จะได้ใช้ปฏิภาณไหวพริบในการใช้ไอเทมที่ได้มาในการออกตามไล่ล่าโจรจนถึงรังได้แม้ว่าจะตาบอดก็ตาม โดยเฉพาะการใช้เสียง (และคลื่นเสียง) เป็นไอเท็มหลักในการออกแบบฉากแอ็กชัน และช่วยให้ลุงมีความได้เปรียบในการออกไปซัดกับผู้ร้าย (ที่คราวนี้จะเก่งพอ ๆ กัน) ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ไม่ได้ดูเป็นเหยื่อให้ลุงบอดไล่กระทืบเหมือนภาคที่แล้ว รวมถึงน้องฟีนิกซ์ที่ใช้ความฉลาดในการพลิกสถานการณ์จวนตัวเฉียดตายได้ในหลาย ๆ ครั้งจนต้องร้องเหยดกันเลยทีเดียว
อีกความต่างที่เห็นได้ชัดจากภาคที่แล้วคือ มีความเป็นแอ็กชันทริลเลอร์ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ ซึ่งก็ยังคงความโหดดิบไว้ได้อย่างครบครัน ที่เพิ่มเติมก็คือมีฉากแหวะเพิ่มขึ้นมาพอให้มีกลิ่นสยองขวัญ (แม้จะไม่เข้าใจบางจุดว่าแกจะแหวะไปทำไมวะเนี่ย) และถ้าสังเกตดี ๆ เราจะได้เห็นหลาย ๆ ฉากที่คิดขึ้นเพื่อเคารพภาคแรกไว้ด้วยใครที่ดูภาคแรกมาแล้วจะรู้เลยว่าฉากไหนบ้าง ซึ่งจะมองว่าเป็นกิมมิกก็ได้ หรือจะมองว่าเป็นข้อสังเกตที่ทำให้ตัวหนังแอบมีความไม่สดใหม่ก็พอได้อยู่เหมือนกัน
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเองก็มีข้อสังเกตนิดนึงครับ แม้ว่าตัวละครหลายตัวจะถูกปูพื้นมาว่าถูกฝึกมาเป็นอย่างดี คือไม่ไก่กาว่างั้นเถอะ แต่ในมุมของผู้เขียนเองก็รู้สึกว่าตัวละครหลาย ๆ ตัวนี่มันก็ดูเก่งโอเวอร์ไปนิดเหมือนกันนะ แถมตายยากตายเย็นกันทั้งนั้น แต่โดยรวม ๆ ก็ต้องถือว่าทำออกมาได้ดูสนุกแปลก และยังคงลุ้นระทึกไม่แพ้ภาคแรกครับ
ส่วนใครที่สงสัยว่าจะต้องดูภาคแรกก่อนจะดูภาคนี้ไหม ผู้เขียนคิดว่า จริง ๆ แล้วไม่จำเป็นก็ได้ครับ แม้ว่าตัวหนังจะมีความเชื่อมโยงกับภาคแรก และมีฉากที่หยิบยืมมาจากภาคแรกอยู่บ้าง และเนื้อหาก็เกิดหลังจากภาคแรกนั่นแหละ แต่ด้วยความที่ตัวพล็อตเรื่องนั้นไม่ได้ปะติดปะต่อกับภาคแรกมากนัก เพราะฉะนั้นใครที่ยังไม่เคยดูภาคแรกเลย ก็สามารถตีตั๋วเข้าไปดูในโรงก่อน แล้วค่อยออกมาหาดูภาคแรกตามหลังก็ยังได้ (ภาคแรกมีใน Netflix จ้า) อ้อ แล้วก็อย่าลืมรอดู End Credits ท้ายเรื่องด้วยนะครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส