Release Date
19/11/2021
Episodes
10 Episodes
Creators
Christopher L. Yost
Casts
John Cho Mustafa Shakir Daniella Pineda
Streaming Service
Netflix
Our score
5.9[รีวิวซีรีส์] Cowboy Bebop – หมดหวัง! แค่ฝรั่งแต่งคอสเพลย์
จุดเด่น
- งานสร้างอลังการ สเปเชียลเอฟเฟกต์ทำได้ดีเนียนตา
- งานถ่ายภาพสวยงาม
จุดสังเกต
- พลอตเรื่องดูเชยแบบซีรีส์อเมริกันที่ต้องปูภารกิจหลักให้ตัวละครและพยายามยัดเยียดปมในอดีตของตัวละครตั้งแต่ตอนแรกตามสูตรสำเร็จมากเกินไป
- พยายามยัดปมครอบครัวเยอะจนเกินจำเป็น
- การตีความคาแรกเตอร์จากแอนิเมะมาเป็นซีรีส์ไลฟ์แอ็กชันยังมีปัญหาจนเสน่ห์หายไปหมด
- มุกตลกไม่ค่อยทำงานเท่าที่ควร
-
ความลงตัวของบทซีรีส์ ไม่เนือย ไม่ง่วง
5.5
-
คุณภาพงานสร้าง สเปเชียลเอฟเฟกต์อลังการ
8.0
-
คุณภาพนักแสดง แสดงดี มีเสน่ห์ ชวนให้มองและติดตาม
5.0
-
ความน่าติดตามของแต่ละตอน ชวนให้ดูต่อเนื่องแบบลากยาว
5.5
-
ความคุ้มค่าเวลาในการติดตามชม
5.5
‘Cowboy Bebop’ คือแอนิเมชันซีรีส์ปี 1998 ที่เปิดศักราชใหม่ให้โลกได้รู้จักกับแอนิเมะไซไฟสุดล้ำจากญี่ปุ่นที่โดดเด่นทั้งงานดีไซน์คาแรกเตอร์ เรื่องราวสุดล้ำที่ผสมผสานปรัชญาอัตถิภาวะนิยม (existentialism) เข้ากับธีมเรื่องที่ได้รับแรงบันดาลใจทั้งจากหนังไซไฟ หนังคาวบอยและหนังฟิล์มนัวร์ ไปจนถึงธีมสกอร์อันโดดเด่นของโยโกะ คันโนะ (Yoko Kanno)
และถือเป็นแอนิเมะซีรีส์ระลอกแรกที่ตีตลาดต่างประเทศได้สำเร็จโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จและหนึ่งในผลงานที่ส่งผ่านแรงบันดาลใจให้กับหนังฮอลลีวูดอย่าง ‘The Matrix’ จนชินนิจิโระ วาตานาเบะ (Shinichirō Watanabe) เคยได้รับเชิญไปกำกับตอนหนึ่งใน ‘The Animatrix’ มาแล้วดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเมื่อเน็ตฟลิกซ์ บริการสตรีมมิงเจ้าดังจะเห็นโอกาสอันดีในการหยิบเพชรเม็ดงามมารีเมกฉบับไลฟ์แอ็กชันที่เราได้ดูกันอยู่ขณะนี้
เรื่องราวของ ‘Cowboy Bebop’ จะเป็นการตามติดชีวิตของนักล่าค่าหัวอวกาศประกอบด้วย สไปค์ สปีเกิล (รับบทโดย จอห์น โช John Cho) หนุ่มลูกเล่นแพรวพราวที่ถนัดทั้งอาวุธปืนและมีดบินแต่มีความลับดำมืดที่แม้แต่คู่หูของเขาก็ยังไม่รู้ เจ็ต แบล็ก (รับบทโดย มุสตาฟา ชาเคียร์ Mustafa Shakir) คู่หูร่างยักษ์ของสปีเกิล อดีตตำรวจที่เสียแขนจากการจับกุมผู้ร้ายจนหันมาเป็นนักล่าค่าหัวและ เฟย์ วาเลนไทน์ (รับบทโดยแดเนียลลา พีเนดา Daniella Pineda) นักล่าค่าหัวสาวที่สูญเสียความทรงจำ โดยพวกเขาต้องร่วมกันจับกุมนักโทษตามหมายจับเพื่อส่งทางการและรับเงินรางวัล
โปรเจกต์ ‘Cowboy Bebop’ ถูกพัฒนามาด้วยความระมัดระวังในหลายด้านทั้งประเด็นการฟอกขาว (White Washing) ที่เคยเกิดขึ้นกับโปรเจกต์รีเมกจากงานภาพยนตร์หรือแอนิเมะของเอเซียเลยจำเป็นต้องแคสต์นักแสดงเชื้อสายเอเซียอย่างจอห์น โชมารับบทนำ ไปจนถึงกลัวคำกล่าวหาว่าเป็นการดัดแปลงโดยปราศจากจิตวิญญาณของบทประพันธ์ต้นฉบับจนถึงขั้นให้ชินนิจิโระ วาตานาเบะ ผู้กำกับแอนิเมะต้นฉบับและโยโกะ คันโน ผู้ประพันธ์เพลงต้นฉบับมาร่วมงานในตำแหน่งโปรดิวเซอร์ร่วมและคอมโพสเซอร์ของซีรีส์
และถ้ายังกลัวไม่เหมือนแอนิเมะซีรีส์ก็ยังคงไว้ซึ่งไตเติลเปิดเรื่องและองค์ประกอบหลายอย่างจากแอนิเมะทั้งเสื้อผ้าและทรงผมที่แม้ของสไปค์ สปีเกิลจะไม่ได้ออกเขียว ๆ เหมือนต้นฉบับแต่ก็คงความยุ่งบนหัวของจอห์น โช แต่ที่หนักสุดคือการที่มันถูกกำกับให้นักแสดงแสดงโอเวอร์แอ็กติ้งเหมือนแอนิเมะจนดูแปร่งปร่าพิกล แต่กระนั้นผลลัพธ์ของซีีรีส์ฉบับนี้ก็ยังคงห่างไกลจากซีรีส์ไลฟ์แอ็กชันที่จะเป็นความหวังให้ผู้ชมที่รอดูการรีเมกที่เข้าท่าอยู่ดี
ยกตัวอย่างประการแรกแม้ว่าอาจจะไม่ยุติธรรมนักแต่การคัดเลือกนักแสดงมีผลต่อสายตาคนดูจริง ๆ เริ่มที่่จอห์น โชที่แม้จะพยายามฟิตหุ่นและดูกระฉับกระเฉงแค่ไหนแต่ด้วยสังขารที่แม้จะยังไม่ถึงขั้นชราแต่พอต้องมารับบทสไปค์ สปีเกิลที่แอนิเมะพยายามปั้นให้ดูเป็นหนุ่มทะเล้นกวนโอ๊ยและเสน่ห์แพรวพราว โชกลับไม่สามารถมอบสิ่งนั้นให้ผู้ชมได้เลยแต่กลับไปเน้นดราม่าและบุคลิกดูกวน ๆ แต่ไร้เสน่ห์ดึงดูดแทน มิหนำซ้ำเรายังต้องมานั่งลำใยกับบทรำพึงรำพันรักเก่าที่แทบไม่ทำให้เรื่องเดินหน้าสักเท่าไหร่อีกต่่างหาก
มิหนำซ้ำด้วยพล็อตเรื่องที่คราวนี้ดูงงมากที่ซีรีส์พยายามดึงดาวน์ลงเรื่อย ๆ และเน้นเรื่องรักในอดีตของสปีเกิลที่แม้ว่าใบหน้าของ เอเลนา ซาไทน์ (Elena Satine) ในบทจูเลีย คนรักเก่าของสปีเกิลจะสวยแค่ไหน แต่มันทำความสนุกหดหายไปเยอะมาก แทนที่บทสปีเกิลจะส่งเสริมอาชีพแต่กลับดึงให้จอห์น โชเหมือนหนุ่มที่สวมเสื้อผ้าผิดไซซ์และฝืนแสดงให้ดูตลกแทนไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งที่จริงจอห์น โชก็เริ่มจากนักแสดงสายตลกแต่พออยู่ใน ‘Cowboy Bebop’ ทุกอย่างดูผิดที่ผิดทางไปหมดได้ยังไงก็ไม่รู้นะครับ
อีกตัวละครที่แคสต์ได้ขัดใจคนดูสุด ๆ คือเฟย์ วาเลนไทน์ที่ในแอนิเมะดูเป็นสาวเซ็กซี่มากเพราะถูกดีไซน์มาให้อยู่ในชุดที่เน้นทรวงทรงพร้อมผมสีม่วงตัดสั้นอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งที่จริงการแคสต์แดเนียลลา พีเนดามาแสดงก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ผิดเพราะเธอก็ถือว่าเซ็กซี่และมีเสน่ห์แบบสาวละตินผิวขาวอยู่ เพียงแต่ผู้สร้างเลือกเติมแต่งเธอเยอะไปหน่อยทั้งลุคที่พยายามไม่เน้นเรื่องทรวดทรงจนชุดออกมาดูไม่เสริมส่งกับลุคของพีเนดานัก
ที่สำคัญคือทรงผมทำให้หน้าของเธอดูบวมมากกว่าจะออกแนวเซ็กซี่และแม้ในบางซีนจะมีชุดราตรีสีแดงแหวกอกที่ทำให้เธอดูดีอยู่บ้างบวกกับซีนเลสเบียนที่ไม่รู้ว่าซีรีส์จะใส่เข้ามาทำไม รวมถึงการเลือกแนะนำคนดูว่าเฟย์เป็นนักล่าค่าหัวแต่แรกยังเป็นการทำลายโอกาสที่เราจะได้เห็นพัฒนาการของตัวละครผิดกับแอนิเมะที่เธอเป็นเซียนไพ่และนักต้มตุ๋นมาก่อนและจับพลัดจับผลูมารวมทีมที่ทำให้เห็นมิติต่าง ๆ ในการเปลี่ยนแปลงของตัวละครที่ชวนให้หนุ่ม ๆ ตกหลุมรักเธอได้มากกว่าฉบับซีรีส์คนแสดงเสียอีก
คนที่ดูจะรอดตัวไปแบบใส ๆ กลับเป็นมุสตาฟา ชาเคัียร์ในบทเจ็ต แบล็กที่ซีรีส์ดูจะให้ความสำคัญกับตัวละครนี้มากกว่าในแอนิเมะอย่างเห็นได้ชัด ด้วยปริมาณดราม่าที่เน้นเรื่องครอบครัวที่ล้มเหลวกับความพยายามอยากจะเป็นพ่อที่ดีก็ยังพอทำให้ซีรีส์มีรสชาติดราม่าซึ้ง ๆ อยู่บ้างและที่สำคัญน่าจะเป็นตัวละครเดียวที่สามารถเอาตัวรอดจากความน่าเบื่อของแอ็กชันซ้ำ ๆ ได้แม้เมื่ออยู่รวมทีมกันครบ 3 คนแล้วเราจะยังไม่รู้สึกถึงความผูกพันและเคมีที่มีต่อกันเท่าไหร่ก็ตาม
อีกประเด็นที่ ‘Cowboy Bebop’ ฉบับนี้มาผิดทางมาก ๆ คือการเปลี่ยนโทนการเล่าเรื่องที่พยายามเหลือเกินที่จะยัดเยียดดราม่าครอบครัวเข้ามาตั้งแต่ระดับที่เราพอเล่าได้อย่างเฟย์ วาเลนไทน์กับดรามาเรื่องแม่ปลอมของเธอหรือไปถึงความลับในองค์กรซินดีเคทที่พยายามวางปมครอบครัวให้เริ่มและจบภายใน 15 นาทีจนงงว่าจะยัดเข้ามาทำไม ส่วนกรณีของเจ็ต แบล็กยังถือว่าพอจะชูรสชาติให้เรื่องราวได้บ้าง
แต่ในภาพรวมแล้วเรากลับเห็นแนวคิดการเล่าเรื่องที่ดูเฉิ่มเชยและเป็นสูตรสำเร็จของฮอลลีวูดในซีรีส์เรื่องนี้ จนงงว่าตอนดู ‘Cowboy Bebop’ ฉบับแอนิิเมะเขาไม่เห็นกันเหรอว่าการเล่าเรื่องมันล้ำแค่ไหนนอกจากเรื่องเทคโนโลยีที่มาก่อนกาลหรือการเอาปรัชญามาปนกับความเป็นไซไฟได้ลงตัวแล้วมันยังมีทั้งความตื่นเต้นจากฉากแอ็กชัน มีทั้งความตลกจากบุคลิกกวน ๆ ของสไปค์ สปีเกิล ไปจนถึงความเซ็กซีของเฟย์ วาเลนไทน์
จนเหมือนคนทำไปลอกการบ้านและเลือกองค์ประกอบต่าง ๆ มาแค่ชื่อตัวละครกับเหตุการณ์ในแอนิเมะแต่กลับยัดลงในพล็อตเรื่องเชย ๆ ดูทึม ๆ และพยายามยัดประเด็น LGBTQ+ มาเหมือนกลัวว่าซีรีส์จะดูเชยเกินเหตุ แต่ที่น่าเคืองที่สุดคือมันกลับเปลี่ยนการผจญภัยที่น่าตื่นตาตื่นใจสู่ซีรีส์ไซไฟคนคลั่งรักของสไปค์ สปีเกิลที่ซีรีส์ถึงขนาดอุทิศตอนที่ 9 ทั้งตอนเพื่อเล่าประเด็นความลับของสปีเกิลที่ไม่มีใครอยากรู้ได้น่าเบื่อมาก
และแม้ตอนนี้ยังเดาอนาคตไม่ได้แต่หากมีซีซัน 2 เชื่อว่าทีมผู้สร้างต้องทบทวนแนวทางการสร้างสรรค์แล้วล่ะว่าทำไมซีซันแรกถึงออกมาเป็นซีรีส์ชายวัยกลางคนคลั่งรักที่มีนักแสดงแต่งคอสเพลย์เป็นตัวละครจาก ‘Cowboy Bebop’ แบบนี้แทนที่จะเป็นซีรีส์คาวบอยอวกาศผจญภัยสุดมันต่อยอดจากฉบับแอนิเมะอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส