Release Date
02/12/2021
ความยาวหนัง
110 นาที
ผู้กำกับ
พชร์ อานนท์
นักแสดง
จาตุรงค์ พลบูรณ์ เจริญพร อ่อนละม้าย จารุวัฒน์ เชี่ยวอร่าม วราวุธ โพธิ์ยิ้ม
Our score
3.2[รีวิว] หอแต๋วแตกแหกโควิดปังปุริเย่ – ไม่ใช่หอจดหมายเหตุตรงไหนเอาปากกามาวง !
จุดเด่น
- เป็นการรวมกระแสดรามาทั้งหลายในปี 2021 เหมือนหอจดหมายเหตุในรูปแบบภาพยนตร์
- โดม กับ ตั้ม เดอะสตาร์ มีความเป็นนักแสดงสูงมากเล่นเป็นกะเทยได้คือสุด ๆ
- ครึ่งแรกของหนังทำได้สนุก ยังพอหัวเราะไปกับหนังได้
จุดสังเกต
- เน้นมุกเกาะกระแสจนทิศทางหนังดูสับสน
- ครึ่งแรกยังพอสนุก แต่ครึ่งหลังดูวนเวียนและเรื่องไม่คืบหน้าเท่าที่ควร
- หลายองค์ประกอบทำให้ภาพของ LGBTQ+ ออกมาในทางลบอย่างไม่ช่วยไม่ได้โดยเฉพาะซีน ไบร์ท วิน ที่ทำออกมาในรูปแบบเกย์หื่นมากเกินไป
- บางมุกดูแล้วสะอึกมากกว่าน่าหัวเราะเช่นมุก ผู้กำกับโจ้คลุมถุงดำผู้ต้องหาที่ส่วนตัวมองว่าแรงไปหน่อยและดูประหลาดเมื่อมาอยู่ในหนัง
-
บทหนัง เอ่อ....มันมีบทด้วยเหรอ ?
1.0
-
คอสตูม พรอบเน้นเยอะ...สไตล์หอแต๋วแตก ดูกันให้ตาแตก.กกก
4.0
-
นักแสดงแรดเต็มติ่งสไตล์ชาวหอ(แต๋วแตก)
4.0
-
ิิเทียบสเกลความเริ่ดซ่องแตกกับหนังในแฟรนไชส์
4.0
-
ต๊าซซซซพอจะซื้อตั๋วดูในโรงไหม
3.0
เดินทางมาถึงภาคที่ 8 แล้วสำหรับแฟรนไชส์หนัง ‘หอแต๋วแตก’ ของพชร์ อานนท์ ผู้กำกับที่หยิบจับทุกกระแสโซเชียลมาทำหนังได้แบบทันทีทันใดและด้วยอายุของหนังชุดนี้ที่เดินทางมาร่วม 14 ปีก็น่าจะพอยืนยันสถานะการเป็นป๊อปคัลเจอร์ในตัวมันเองซึ่งเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ทั้งการล้อเลียนหนังและเพลงดัง ๆ ไปจนถึงข่าวการเมือง และแน่นอนว่าปี 2021 ก็มีวัตถุดิบเด็ด ๆ มากพอที่พชร์ อานนท์จะเอามาหยิบใส่ในหนังภาคที่ 8 ที่เน้นธีมของโรคระบาดอย่างโควิด – 19 เป็นแกนหลักสำคัญของเรื่อง
สำหรับหนังในภาคนี้ เจ๊แต๋ว (รับบทโดย จตุรงค์ พลบูรณ์) กับอาโคย (รับบทโดย วีรดิษฐ์ ศรีมาลัย) ต้องมาดูแลโรงแรมชื่อสตรีท โฮเทล (Street Hotel) แต่หลังจากเจ๊แต๋วดันไปปาร์ตี้ของเพื่อนที่กลายเป็นแหล่งแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้โรงแรมต้องถูกกักบริเวณแถมยังมีเหตุการณ์ประหลาดทั้งสัตว์เลี้ยงของแขกที่ถูกควักไส้ไปกิน ซึ่งนอกจากการกลับมาของอารยา (ติ๊ก กลิ่นสี) กับสาวรับใช้คนสนิท (ศิตางค์ บัวทอง) คู่แค้นของเจ๊แต๋วแล้ว เธอยังต้องรับรองพระมหาเทวีเจ้า (แม่หญิงลี) ที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยไม่แพ้กัน งานนี้เจ๊แต๋วเลยต้องพึ่งทั้งหน้าเก่าอย่างผีแพนเค้ก (โก๊ะตี๋ อารามบอย) และหน้าใหม่อย่างคู่ดูโอแก้ม (โดม จารุวัฒน์) กับวิชญาณี (ตั้ม วราวุธ) มาสืบหาความจริงก่อนที่โรงแรมของเธอจะมีผีดิบเพ่นพ่าน
สำหรับเรื่องบทยอมรับว่าทำใจไว้ก่อนดูแล้วครับว่ามันต้องเป็นแกงโฮะเหตุบ้านการเมืองและกระแสต่าง ๆ เข้ามาแบบไม่สนความต่อเนื่องอะไรนัก ซึ่งมองเผิน ๆ เราก็ต้องยอมรับว่าพชร์ อานนท์เขาช่างสังเกตและหยิบจับประเด็นดังในโลกโซเชียลมาเล่นในหนังได้แบบครบถ้วนกระบวนความเพราะนอกจากฉาก (ที่กำลังจะกลายเป็นอดีต) พส. ไพรวัลย์ สุวรรณโน มาเล่นมุกในหนังที่ถูกตัดออกแล้ว ทุกอย่างอยู่ครบที่มาเป็นภาพก็มีทั้งปาร์ตี้ดีเจมะตูมที่กลายเป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์ กรณีไลฟ์สดก่อนหนีออกจากโรงพยาบาลของคุณณวัฒน์ อิสรไกรศรี กระแสความดังของซีรีส์ ‘Squid Game’และหนัง ‘ร่างทรง’ หรือกรณีของรัฐบาลจะเชิญลิซา แบล็กพิงค์มาร่วมงานปีใหม่ที่ภูเก็ตไปจนถึงกรณีของผู้กำกับโจ้ครอบถุงดำที่ดูหนักมือไปหน่อยในความคิดผม
หรือที่มาเป็นคำพูดก็มีทั้งข่าวของลุงพลบ้านกกกอก มุกที่จริงแล้วฉันเป็นผู้บริหารของละครสั้นคุณธรรมที่ตอนแรกพชร์ อานนท์พยายามทาบทามพลอย ชิดจันทร์มาเล่นฉากหลังเอนด์เครดิตแล้วแต่ไม่สำเร็จ หรือกรณีวัคซีนขาดแคลนของรัฐบาลไปจนถึงความดังของซีรีส์วายที่ขอหยิบยืมตัวละครไบร์ตวินมาเซอร์วิสแฟน ๆ แม้ไม่ใช่ตัวจริงมาเล่นแต่นิกกี้ ณฉัตรกับโดม เพชรธำรงชัยก็หมั่นเซอร์วิสซะจนเกินหน้าจนวายแทบกลายเป็นเอ็กซ์อยู่แล้ว และที่ขาดไม่ได้ก็บรรดาเน็ตไอดอลที่ขนกันมาหมดแอปพลิเคชันแบบจิ้มเลือกนึกหน้าใครนี่มาหมดเลยซึ่งเราคงไม่ต้องสาธยายกันล่ะนะครับว่ามีใครบ้าง
และแน่นอนว่าในแมื่อตั้งใจจะล้อเหตุบ้านการเมืองก็แน่นอนล่ะว่า “พลอตหนังก็แค่ทฤษฎี” เพราะในทางปฏิบัติแล้วอ้างอิงจากคำสัมภาษณ์ของคุณพชร์เองที่ยอมรับว่าตัวเองทำงานแบบไม่มีบท เราก็เลยเห็นเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ถูกเรียงร้อยต่อกันเพื่อรองรับมุกตลกและที่เห็นมาตลอดคือท่าทีทีเล่นทีจริงที่อนุญาตให้คนดูได้เห็นอาการหลุดของนักแสดงหรือการด่ากันแบบหลุดคาแรกเตอร์บ้างซึ่งตรงนี้ยอมรับว่าเป็นเสน่ห์และเป็นลายเซ็นของหนังชุดหอแต๋วแตกที่ยากจะมีใครเลียนแบบนะครับและคุณพชร์ก็รักษาเอกลักษณ์ตรงนี้ไว้ได้ดี
แต่กระนั้นหากมองแบบคนดูทั่วไปเลยที่ต้องการความบันเทิงจาก ‘หอแต๋วแตกแหกโควิดปังปุริเย่’ ก็แน่นอนว่าคือความสนุกและความเบาสมองซึ่งยอมรับเลยว่าช่วงครึ่งแรกหนังทำหน้าที่ได้ดีมาก ๆ เรียกเสียงหัวเราะจากคนดูได้ต่อเนื่องอีกทั้งตัวละครใหม่อย่างพระมหาเทวีเจ้ากับนางทิพย์ก็ดูเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์พอจะโฮลด์คนดูให้อยู่กับเรื่องได้ แต่เพียงไม่นานหลังฉากปาร์ตีที่หนังจะเข้าสู่การเล่าเรื่องอย่างจริงจัง อยู่ดี ๆ ทิศทางหนังก็เป๋ไปมาระหว่างจะเล่าพล็อตผีในหอซ้ำ ๆ ซาก ๆ เหมือนที่ผ่านมากับการพยายามยัดบทบาทให้บรรดาเน็ตไอดอลและมุกล้อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ซะจนหนังไร้ทิศทางและความสนุกก็ดร็อปลงไปเยอะเหลือเกินหากเทียบแค่ ‘พจมานสว่างคาตา’ ของพชร์ อานนท์เองที่ฉายปีก่อนและเล่นกับกระแสของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ดีกว่า
นอกจากบรรดานักแสดงเก่า ๆ จะตบเท้ากลับมารับบทเดิมของตนแล้วนักแสดงใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามาก็มีความน่าสนใจและน่าเสียดายอยู่ในทีเช่นคู่หูเดอะสตาร์ โดม จารุวัฒน์ กับ ตั้ม วราวุธ ที่มาแต่งหญิงและเล่นเป็นกะเทยได้คือมาก ๆ (หมายถึงเหมือนมาก ๆ นะครับ) ทั้งคู่แทบจะเป็นไฮไลต์ในการเรียกเสียงฮาหลักของหนังจนแทบจะเป็นบทนำแทนเจ๊แต๋วอยู่มะรอมมะร่ออยู่แล้วแต่เนื่องจากหนังต้องแบ่งเวลาให้นักแสดงคนอื่น ๆ ที่ฝีมือก็ไม่มากเท่าจนน่าเสียดายในผลงานการแสดงที่ทั้งคู่ทุ่มเทขนาดนี้
หรือจะเป็นนิกกี้ ณฉัตรกับโดม เพชรธำรงชัย ที่ความจริงแล้วพชร์ อานนท์สามารถทำให้คู่ตัวละครไบร์ทวินในฉบับของเขาที่ใส่ยูนิฟอร์มไลน์แมนเป็นได้มากกว่าแค่คู่เกย์หื่นที่แต่ละมุกบอกตามตรงว่าดูด้วยความไม่สบายใจเลย เพราะหลายครั้งที่หนังผลักพวกเขาให้กลายเป็นวัตถุทางเพศและไม่ยกระดับภาพลักษณ์ของกลุ่ม LGBTQ+ นักจนน่าเสียดาย อีกอย่างการใส่ยูนิฟอร์มสปอนเซอร์ของหนังยังอาจทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ดูไม่ค่อยดีเท่าที่ควรอีกด้วย
แต่ในหลายส่วนที่ไม่ชอบก็ยังมีจุดที่น่าชื่นชมเล็ก ๆ น้อย ๆ นะครับโดยเฉพาะการล้อวงการบันเทิงนี่แหละ แต่ขอข้ามซีน’Squid Game’ นะครับอันนั้นเล่นง่ายไปหน่อย แต่กับซีน ‘ร่างทรง’ นี่เป็นไม่กี่ครั้งที่เห็นเลยว่าการล้อเลียนก็สามารถเล่าเรื่องให้หนังคืบหน้าได้จนอดสงสัยไม่ได้ซีนนี้น่าจะอยู่ในแผนตั้งแต่ตอนถ่ายทำแล้วหรือเปล่า ? แต่ผลลัพธ์ของมันก็ออกมาดีกว่าคิดไว้เยอะเลย
หรือจะเป็นการนำไอดอลที่มีปมด้อยด้านการพูด อย่างหนูรัตน์กับอีกท่านที่มีลักษณะไม่ต่างกันมาแสดงหนัง และทำให้ซีนนั้นมีความคิดสร้างสรรค์ ด้วยการเอารูปแบบของหนังเงียบมาปรับใช้ทั้งการขึ้นแคปชันและทำซับไตเติลซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะและเป็นการเซอร์วิสแฟน ๆ ไปในตัว และที่น่าชื่นชมคือสามารถดันทุรังให้กลายเป็นการเล่าเรื่องในหนังได้อีกด้วยอันนี้ถือว่าชื่นชมเลยนะครับ
สรุปแล้ว ‘หอแต๋วแตกแหกโควิดปังปุริเย่’ ก็คงเหมาะกับผู้ที่ติดตามแฟรนไชส์นี้มาตลอดและกลุ่มคนดูที่เป็นผู้ใหญ่หน่อยเพราะหนังมีฉากล่อแหลมเยอะมาก ส่วนการตัดฉากพระมหาไพรวัลย์ออกก็ดูจะเหมาะแล้วกับการฉายโรงในช่วงนี้ ซึ่งผมไม่ได้หมายถึงช่วงปลายปีนะครับ หมายถึงช่วงที่รัฐบาลนี้ปกครองนั่นแหละ เพราะต่อให้หนังเรื่องอื่นจะมีพระตบหัว พระเล่นหวย หรือพระนั่งขี้ยังไง การให้พระที่ดูจะเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลมาปรากฎตัวก็ดูไม่เหมาะกับหนังนักเพราะเอาจริง ๆ การที่หนังเลือกให้มีซีนฉีดวัคซีนตอนท้ายก็เป็นการบอกกลาย ๆ ว่าซีนด่าบิ๊กตู่น่ะมันก็แค่ “อำกันขำ ๆ เล่น ๆ” เหมือนการบริหารงานของรัฐบาลนั่นแหละครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส